ลานประลองที่หนึ่ง หลี่หมิง แห่งสำนักบูรพาวายุ ปะทะ ไป๋หยุนเซิง แห่งดาราม่วงส่องฟ้า!สองเงาร่างยืนประจัญหน้ากันกลางลาน ลมรุนแรงพัดกรูราวหมื่นพายุคลุ้มคลั่งหนึ่งคือบุรุษชุดฟ้าเงินเย็นชาแฝงพลังอหังการอีกหนึ่งคือชายหนุ่มในชุดม่วงเข้ม ดวงตาแหลมคมดั่งเหยี่ยว ถุงมือคริสตัลข้างขวากำลังสั่นเบาๆ“ข้ารอศึกนี้มานาน…เทพกระบี่อัสนี!” ไป๋หยุนเซิงเอ่ย ดวงตาฉายแววร้อนแรงหลี่หมิงเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ“ข้าไม่สนใจชื่อเสียง…เพียงต้องการข้ามเจ้าไปพบผู้ที่ควรประมือจริงๆ”สองเงาร่างพุ่งเข้าปะทะในพริบตา!หมัดฟ้าคราม!กระบี่วายุคราม!แสงสีฟ้าสลับม่วงระเบิดกลางลานประลอง พื้นลานแตกร้าวด้วยแรงปะทะ ทุกกระบวนท่าคมเฉียบไร้ความลังเลเสียงกระบี่ผสานเสียงหมัดดังสนั่น ทั้งสองรุกและรับอย่างไม่หยุดหย่อน ร่างหนึ่งเคลื่อนไหวราวลมกรด อีกคนพุ่งทะยานดั่งพายุโหมหลายสิบกระบวนท่าผ่านไป ทั้งสนามยังไร้ผู้ได้เปรียบ…แต่หลี่หมิงยังคงไม่เร่งฝีมือ ใบหน้าของเขายังสงบนิ่ง“พอเพียงแล้ว...ข้าต้องเก็บแรงไว้ให้เขา” เขาพึมพำเบาในชั่วพริบตานั้นเอง เขาวาดกระบี่หนึ่งจังหวะเล็กเงากระบี่ปลิววูบ…ไม่ได้โจมตีตรงตัวไป๋หยุนเซิง
ภายหลังเหตุการณ์อันปั่นป่วนในลานประลองสงบลง เวลาค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปดังเงาราตรีที่เลื้อยคลานอย่างเชื่องช้า จวบจนธูปบนแท่นทองคำมอดไหม้ลงไปหนึ่งก้าน เสียงระฆังทิพย์จากยอดตำหนักดังก้องขึ้นสามครั้ง ประกาศถึงการสิ้นสุดของการทดสอบเข้าสู่ตำหนักมังกรเมฆาในปีนี้ท่ามกลางความเงียบสงบที่ปกคลุมลานประลอง สายตานับพันยังจับจ้องไปยังเวทีด้วยจิตใจลุ่มลึก เฝ้ารอผลแห่งการทดสอบที่จะชี้ชะตาผู้เยาว์อัจฉริยะทั้งหลายพลันนั้น เสียงอันหนักแน่นแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ ก็พลันดังก้องกังวานออกมาจากเกี้ยวทิพย์บนยอดแท่นบรรพชน ม่านพลังเรืองรองเบิกออก เผยให้เห็นแสงสีทองอบอุ่นที่แผ่ไพศาล“ผลการทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ ได้รับการตัดสินโดยผู้อาวุโสแห่งตำหนักมังกรเมฆาทั้งหกและผู้อาวุโสเจ็ดอย่างรอบคอบ ผลลัพธ์เป็นดังนี้”เสียงนั้นหยุดไปเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ“ผู้ผ่านการคัดเลือก เข้าสู่รอบศิษย์ใหม่แห่งตำหนักมังกรเมฆา มีจำนวนทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน”ผู้คนทั่วทั้งลานเงียบสงบลงแทบจะในพริบตา ทุกสายตาจับจ้องไปยังเวทีกลางอย่างพร้อมเพรียง ดวงใจของเหล่าผู้ชมที่ยังคงเต้นแรงจากการประลองก่อนหน้า บัดนี้กลับระทึกด้วยความคา
ณ เบื้องในของหอโอสถฟ่าน ห้วงอากาศภายในร้านอบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรหอมจาง กลิ่นหอมนี้มิได้แรงจนฉุน แต่กลับคล้ายหมอกบาง ๆ ที่โอบล้อมผู้คนด้วยความอบอุ่นดุจอ้อมกอดของมารดา บนพื้นไม้เคลือบยาขัดสีเข้มแวววาว เงาสะท้อนของเรือนไม้แกะสลักประณีตประดับมุกบางเบาดูสง่างามนักเบื้องหน้ากลางโถงกว้างของร้าน ยามนี้มีชายร่างอ้วนท้วมหัวโล้นผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้จันทน์ดำขนาดใหญ่ หลังตรง มือสองข้างท้าววางบนที่วางแขนด้วยท่วงท่าสงบมั่นคง เขาคือ “เถ้าแก่ฟ่าน” เจ้าของหอโอสถฟ่านผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองซูไห่ อาภรณ์ที่สวมใส่เป็นผ้าไหมสีฟ้าอ่อนปักลายเมฆครามด้วยเส้นไหมเงิน เนื้อผ้าดูหรูหราแต่ไร้การโอ้อวดเกินงาม ที่ข้างเขายืนอยู่คือชายชราเกศาขาวโพลนรวบขึ้นอย่างเรียบร้อย ใบหน้าเปี่ยมด้วยเมตตา สายตาอบอุ่นดั่งสายน้ำฤดูใบไม้ผลิ เขาคือ “เถ้าแก่หลิน” ผู้ดูแลร้านอย่างใกล้ชิด เสมือนแขนขาของเถ้าแก่ฟ่านไม่ห่างกันนัก อวี้หลานบิดาของอวี้เหวิน ยืนอยู่ด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย เสื้อผ้าธรรมดาแต่งดงามอย่างเรียบง่าย สองมือประสานอยู่ด้านหน้า ใบหน้าแม้มีริ้วรอยแห่งกาลเวลา ทว่าในแววตากลับเปล่งประกายอ่อนโยนและมั่นคงทั้งส
ใต้แสงจันทร์ซึ่งทอดผ่านผ้าม่านโปร่งเบาบนชั้นสองของหอโอสถ ห้องพักเรียบง่ายซึ่งใช้ไม้หอมคุณภาพดีในการก่อสร้างพลันอบอวลไปด้วยกลิ่นจาง ๆ ของชาดอกเหมย เสียงลมโชยอ่อนพัดผ้าม่านไหวเบา ราวปลายนิ้วของสตรีกำลังเกลี่ยผิวน้ำในบ่อหยกอวี้เหวินนั่งอยู่บนเสื่อฟางที่ปูเรียบกลางห้อง เบื้องหน้าเขาคือโต๊ะเตี้ยไม้ท่อนกลม มีถ้วยน้ำชาที่แห้งสนิทวางอยู่หนึ่งใบ เขาเหม่อมองเปลวเทียนที่ไหววูบ ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอแต่ลึกล้ำ ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความคิดอันซับซ้อน ดุจบ่อบาดาลที่ซ่อนความเคลื่อนไหวใต้ผิวเรียบสงบ...วันนี้ ผ่านพ้นไปเช่นนี้เองสายตาของอวี้เหวินทอดผ่านม่านแห่งความทรงจำย้อนกลับไปยังลานทดสอบในช่วงเช้าตรู่ ที่ซึ่งเขาก้าวเท้าเข้าไปยังด่านแรกภายใต้สายตานับพันคู่แท่นศิลาอันใหญ่โตตั้งตระหง่านเบื้องหน้า เย็นเยียบประหนึ่งภูเขาน้ำแข็ง หากแต่เขากลับยืนนิ่งเพียงครู่ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พลังภายในกายแปรเปลี่ยนไปตามกระบวนการของ “หมัดอัคนีสังหาร” ฝ่ามือทั้งสองกำแน่น เส้นเลือดขอดนูนใต้ผิวหนังตูม!เสียงหมัดกระแทกแท่นศิลาอื้ออึงราวฟ้าคำราม พริบตานั้นเอง ตัวเลข “1500 จิน” ปรากฏขึ้นกลางแท่น ดั่งสลักด้วยอักขระเพลิ
เวลาล่วงผ่านไปเนิ่นนาน แสงแดดยามเช้าทอดตัวผ่านม่านเมฆบางเบา ประกายสีทองอ่อนตกกระทบลงบนพื้นหินแกะลายของลานเบื้องหน้า ดั่งพรมแสงจากสวรรค์ที่โปรยปรายลงมาอย่างเงียบงัน ศิษย์ใหม่ทั้งสิบเจ็ดคนค่อย ๆ ทยอยมารวมตัวกันจนเต็มครบ พวกเขาสนทนาแลกเปลี่ยนกันอย่างออกรส บ้างหัวเราะ บ้างชี้ชวนมองไปยังสถาปัตยกรรมของตำหนักที่งามวิจิตรเกินบรรยาย ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความตื่นเต้นและความหวังที่กำลังผลิบานอยู่ในดวงใจของแต่ละคนพลันนั้น เสียงหนึ่งดังกังวานขึ้นกลางลานประลอง ราวเสียงวสันต์ต้องใบไม้ในฤดูเปลี่ยนผัน"ศิษย์ใหม่ทั้งหลาย จงตั้งใจฟังให้ดี" เสียงนั้นมิได้ดังเกรี้ยวกราด แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจแห่งผู้ผ่านพ้นกาลเวลา เสียงนั้นคือของผู้อาวุโสเหอจิ้งหลาน บุรุษชราในชุดผ้าแพรย้อมสีฟ้าหม่น ปักลายมังกรทะยานด้วยด้ายทองอย่างวิจิตร ขณะเขาก้าวเดินออกมาจากเงาวิหาร ทุกย่างก้าวแม้จะดูเชื่องช้า ทว่าเปี่ยมไปด้วยความมั่นคงดั่งหินผาฤดูแล้ง เส้นเคราสีขาวสะอาดของเขาปลิวไหวตามลม ดวงตาลึกล้ำราวเวิ้งเหวาของคืนเดือนดับ ทว่าทอประกายอ่อนโยนยามทอดมองศิษย์รุ่นใหม่เหล่านี้"วันนี้ เป็นวันลงทะเบียนเข้าสำนักอย่างเป็นทางการของพวกเจ้า จากนี้ไป
ในยามนั้นเอง ภายในหอคัมภีร์ ณ อีกด้านหนึ่ง ร่างอรชรในชุดขาวบางเบาราวม่านหมอกกำลังก้าวเดินอย่างสง่างาม เซี่ยชิงหลัว ใบหน้างดงามปานภาพวาด ขาวผ่องราวหิมะแรกของปี ทุกย่างก้าวของนางดูเหมือนสายลมเยือกเย็นโอบรัดนางพินิจม้วนคัมภีร์ทีละเล่ม สีหน้าเงียบขรึม หากแต่แฝงความตั้งใจแน่วแน่ เคล็ดวิชาหิมะนิรันดร์ที่นางบ่มเพาะอยู่เป็นเพียงพื้นฐาน นางต้องการสิ่งที่จะเสริมพลังหิมะให้ยิ่งลึกซึ้งยิ่งขึ้นจนในที่สุด นางเลือกได้สองวิชา หนึ่งคือ “สายลมเหมันต์พัดพราย” เคล็ดวิชาการเคลื่อนไหวซึ่งผสานกับพลังเยือกเย็น อีกวิชาคือ “ม่านน้ำแข็งพิสุทธิ์” ซึ่งเป็นวิชาป้องกันชั้นเยี่ยมที่สร้างเกราะน้ำแข็งไร้รูปร่างโดยพลังจิตในอีกมุมหนึ่ง หลัวเทียนอี้ ชายหนุ่มในชุดดำเรียบปราศจากลวดลาย ดวงหน้าเยือกเย็นคล้ายไร้อารมณ์ ยืนอยู่เบื้องหน้าชั้นคัมภีร์ที่แผ่กลิ่นอายประหลาด เขาหยิบม้วนหนึ่งขึ้นโดยไม่ลังเล พลังลึกลับที่แผ่ออกมาคล้ายจะแผ่กลืนเข้าไปในมิติจูซงเทียน ร่างผอมซีดในชุดคลุมสีม่วงดำ ลูกปัดกระดูกแขวนแนบที่เอว เขากำลังอ่านคัมภีร์ที่แผ่กลิ่นอายวิญญาณล่องลอยอย่างตั้งใจ มันคือวิชาเรียกขานวิญญาณเสริมพลังให้การควบคุมของเขาล้ำลึกย
ใต้แสงจันทร์ซึ่งลอยเด่นเหนือผืนนภา ทาบเงาจางบนศาลาหลังน้อยซึ่งสงบราวถูกตัดขาดจากเสียงแห่งโลก อวี้เหวินยืนอยู่เบื้องหน้าประตูเรือนพักอันดับหนึ่งแห่งศิษย์ใหม่ พลางทอดมองไปยังลานหินที่เงียบงัน เขาสำรวจพื้นที่โดยรอบเล็กน้อย พบว่ามีเรือนย่อยด้านข้างอีกสองหลัง และลานฝึกอันเป็นพื้นที่ท้าทายโดยเฉพาะที่จัดไว้ให้เจ้าของเรือนแห่งนี้“สถานะของเจ้าของเรือนพัก...สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด”คำพูดของศิษย์พี่หลิ่วเฉินยังคงดังก้องอยู่ในใจอวี้เหวินหลุบตาลงแผ่ว พึมพำในใจ ‘นับจากคืนนี้ ข้าคงไม่อาจผ่อนพักได้อีกแล้ว’ภายในห้องพักกลางเรือน กล่องหยกสีฟ้าอ่อนสามกล่องถูกวางลงบนโต๊ะ เขาเปิดกล่องแรกออกอย่างระมัดระวัง แผ่นหยกขาวสะอาดปรากฏต่อสายตา ด้านบนสลักคำว่า “เกราะเหล็กสังวาลย์”เขาลูบเบา ๆ ที่ผิวหยก ดวงตาเริ่มแน่วแน่ลง ขณะที่สายลมยามราตรีพัดลอดเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ《เกราะเหล็กสังวาลย์》วิชานี้จัดเป็นวิชาเสริมร่างระดับ ปฐพีขั้นสูง อาศัยการขับเคลื่อนพลังของเส้นเอ็น กระดูก และกล้ามเนื้อทั่วร่าง สร้างการประสานประหนึ่งสวมเกราะเหล็กอันมองไม่เห็นไว้ภายในแบ่งออกเป็น 4 ขั้นขั้นแรก เรียกว่า หนังกายสวมเกราะ ต้องฝ
ณ สนามประลองกลางเขตเรือนพักศิษย์ใหม่ แสงจันทร์สาดส่องลงบนลานหินสีขาวสะอาดตา บรรยากาศเงียบสงัดก่อนพายุใหญ่จะมาเยือน ศิษย์ใหม่จำนวนมากทยอยมารวมตัวกันรอบสนามประลอง เสียงซุบซิบและความตื่น เต้นแพร่กระจายไปทั่วแสงอรุณเจือหมอกจางยามรุ่งสางยังไม่ทันจางหาย เสียงกระทบกันของฝ่าเท้ากับพื้นลานหินก็สะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ลานประลองหน้าศาลาศิษย์ใหม่ตึงเครียดขึ้นทันตาเมื่อสองร่างยืนประจันหน้า ม่านหมอกสีเงินอ่อนล่องลอยเหนือพื้นราวมีชีวิต ม่านกลิ่นวิญญาณเย็นยะเยือกราวอสูรก็แผ่ซ่านออกจากอีกฝั่งจูเทียนซงยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ดวงตาสีหมอกสลัวส่องแสงเยียบเย็น ชุดคลุมม่วงดำพลิ้วไหวในลมเช้า ลูกปัดกระดูกที่เอวส่งเสียงแผ่วเบายามเขาขยับนิ้ว คลื่นอาฆาตแห่งวิญญาณแฝงอยู่ในแววตาและรอยยิ้มจางนั้นตรงข้ามเขา เซี่ยชิงหลัวยืนอย่างสงบ ดุจธารหิมะในค่ำคืนเงียบงัน ผ้าขาวบางเบาราวม่านหมอกคลี่พลิ้วรอบร่างนางอย่างอ่อนโยน ผิวพรรณเปล่งประกายเยือกเย็น ริมฝีปากหยักบางดั่งกลีบเบญจมาศแรกผลิ ดวงเนตรดั่งน้ำแข็งพันปีไม่ไหวติง"ข้ายังจำได้ดี วันที่เจ้าพาข้าพ่ายแพ้ลงกลางสายตาผู้คน" เสียงของจูเทียนซงดังกังวาน เจือรอยเย็นเยียบ "วันนี้
ประตูไม้เก่าเก็บของเพิงพักส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกผลักเปิดออก เสาไม้ผุกร่อนเอียงตามแรงลมประหนึ่งจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ กลิ่นอับชื้นจากเศษฝุ่นและไม้เก่าภายในชวนให้นึกถึงเพิงร้างไร้ผู้คน อวี้เหวินก้าวเข้าสู่ที่พักชั่วคราวนั้นอย่างระมัดระวัง แขนแข็งแรงประคองร่างบางในชุดขาวของสตรีเบื้องหน้าไว้แนบอก ราวกับกลัวเพียงแรงสะเทือนเพียงน้อยจะทำให้นางแตกสลายยามเมื่อร่างบอบบางถูกวางลงบนฟูกฟางเก่าเนื้อดี มือแกร่งค่อยประคองจัดท่าให้สตรีผู้นั้นนั่งลงอย่างนุ่มนวล แม้ใบหน้างามล่มเมืองจะถูกผืนแพรบางสีขาวปิดบังไว้ ทว่ารัศมีแห่งความงามราวเทพธิดาจำแลงก็มิอาจซ่อนเร้นได้ นางนั่งสงบนิ่งราวกับภาพวาดจากปลายพู่กันของจิตรกรสวรรค์ แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลงมาเป็นลำ เส้นผมดำขลับยาวสลวยดั่งน้ำตกจากผา สูบประกายจากผิวขาวผ่องราวหิมะแรกต้องแสง จนบุรุษผู้พบเห็นมิกล้าแม้แต่จะสัมผัสอวี้เหวินสูดลมหายใจลึก มือหนึ่งค่อยเอื้อมไปปลดปมเสื้อคลุมเนื้อละเอียดทางด้านหลัง นิ้วมือที่เคยชาชินกับการจับดาบในสนามรบ กลับสั่นระริกเมื่อสัมผัสผืนผ้าบางเบาดุจกลีบเมฆ เสื้อคลุมสีขาวนวลค่อยๆ ร่วงหล่นจากบ่า เผยแผ่นหลังขาวเนียนราวมรกตไร้ตำหนิ นุ่มละ
ใต้ฟ้าค่ำ...ทะเลไร้คลื่นลมกลับโหมกระหน่ำด้วยกลิ่นอายแห่งการประทะอันเกรี้ยวกราด ริมฝั่งเกาะร้างท่ามกลางม่านรัตติกาล อวี้เหวินยืนนิ่งกลางพื้นทรายที่แตกร้าวเป็นตาข่ายโลหิต เบื้องหน้าเขา ร่างอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหลิวหงกลับทรุดตัวลงอย่างยากจะหยัดยืน พลังที่เคยแข็งแกร่งเช่นขุนเขา บัดนี้กลับสั่นคลอนดั่งเสาหลักบ้านทรุดโทรมแววตาของอวี้เหวินเรืองแสงสีทองอ่อน ภายในนั้นแฝงไว้ด้วยรังสีแห่งเพลิงอัคคีและประกายแห่งอัสนีบาต มือขวาของเขาแน่นราวคีมเหล็ก ทั่วกายแผ่ไอร้อนระอุ สะท้อนกับเส้นผมยาวสลวยสีดำสนิทราวกับถูกเพลิงล้อมรอบ...กายาเขาถูกห่อหุ้มด้วยไอพลังสีน้ำเงินเข้มปนประกายทองแดง เสมือนชุดเกราะเงาไร้รูปลักษณ์ ขณะที่กล้ามเนื้อภายใต้ชุดคลุมสีทมิฬที่ขาดวิ่นเต้นระริกด้วยพลังดั่งภูตอัสนีแฝงสิง"เตาอัสนีวิบัติ" ขั้นที่สองระดับกลางยามเลื่อนถึงขั้นนี้ กายาของอวี้เหวินแปรเปลี่ยนเสมือนร่างเทพอัสนี ทุกฝีก้าวหนักแน่นปานทุ่มแผ่นดินทุกหมัดเปี่ยมด้วยพลังกระชากวิญญาณพลันเขากระโจนพุ่งเข้าหาร่างหลิวหงอีกครา มือซ้ายสะบัดเป็นวิถีกงล้อแห่งสายฟ้า มือขวากำรอบเป็นหมัดเพลิงคำราม“หมัดอัคนีสังหาร!”เสียงหมัดซัดผ่านอากาศรา
อวี้เหวินในยามนี้ ทรุดเข่าลงเบื้องหน้าหาดคลื่นซัด... ดวงตาเคยคมดุจมีดกระบี่ บัดนี้พร่าเลือนราวหมอกเช้า เสียงฟ้าครวญลมร้องกลับกลายเป็นเพียงเสียงแผ่วเบาในโสตประสาทของเขา จิตใจของเขาถูกกัดกร่อนราวเหล็กที่แช่กรด คลื่นความมืดมนปะทะซัดเข้าราวพายุพัดจิต “เฮ้! เจ้าหนู อวี้เหวิน... เจ้าไหวรึไม่!?” เสียงหนึ่งดังขึ้นภายในมโนสำนึก..แหบพร่าแต่แฝงไปด้วยความร้อนรน ห้วงเสียงนั้นคือซ่งเหยียนเฟย... สหายจากมิติสร้อยคอ ผู้เคยปากกล้าท้าโลกหล้า ซ่งเหยียนเฟยกำลังจะก้าวออกจากมิติมา เเต่ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็ถูกตรึงแน่นด้วยพลังลึกลับ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้เพียงปลายนิ้ว เขายังเพียรเรียกหาเสียงแล้วเสียงเล่า “บัดซบ... ไออสูรหน้าคน!” ซ่งเหยียนเฟยสบถพลางตวัดฝ่ามือไปมาในมิติจำกัด “หากข้าก้าวออกไปได้ละก็..ท่านปู่ผู้นี้จะฉีกกระชากร่างมันจนกระดูกแหลก!” แต่เสียงของเขา กลับสะท้อนอยู่เพียงในเงาจิต ไม่อาจเข้าถึงจิตอวี้เหวินที่กำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงว่างอันไร้ปลาย..เข่าทั้งสองแนบทราย ดวงหน้าหล่อเหลาหม่นหมอง ผมยาวหลุดรุ่ยคลอเคลียหน้าผาก ดั่งรัตติกาลที่คลุมร่างเทวะให้กลายเป็นมนุษย์ผู้ตกสู่ขุมนรก เสียงของซ่งเหยียนเฟยยัง
ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเหนือชายฝั่งอันวิเวก เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังเป็นจังหวะอ้อยอิ่ง ทว่าภายใต้ความสงบนั้น คือบรรยากาศที่ตึงเครียดประหนึ่งสายฟ้าเงื้อมคมรอจู่โจม ร่างในชุดดำของอวี้เหวินยืนนิ่งประหนึ่งเงาสลัวในม่านรัตติกาล สองตาจับจ้องไปยังบุรุษตรงหน้า ผู้ซึ่งบัดนี้หาใช่เพียงชายวัยกลางคน หากแต่ครึ่งหนึ่งของใบหน้ากลับกลายเป็นอสูรอันน่าสะพรึง ร่างกายแปรเปลี่ยน กล้ามเนื้อปูดโปน เกล็ดสีดำสนิทผุดขึ้นราวอสรพิษจำแลง เงาของง้าวดำในมือขยับไหวเพียงนิด กลับแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาราวกับทะลวงอากาศ อวี้เหวินไม่กล่าววาจาใดให้เปลืองถ้อยคำ ขณะที่จันทราเบื้องบนยังไม่ทันเคลื่อนคล้อยจากยอดฟ้า เขาก็พุ่งออกประหนึ่งอัสนีสาดฟาด! หมัดแรกพุ่งทะลวงอากาศเป็นประกายเพลิง ปะทะตรงกับเคียวมารของหลิวหง เสียงดังสนั่นดั่งเหล็กกล้ากระทบหินผา แรงสั่นสะเทือนสะท้านไปทั่วร่างของหลิวหงจนเขาต้องถอยหลังพลางยกเคียวขึ้นยันตัวไว้ กลับถูกแรงมหาศาลผลักให้ลอยขึ้นจากพื้นไปเล็กน้อย “โอ้…” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังแผ่ว ราวเสียงกระซิบของปีศาจร้าย “…เจ้ามีเรี่ยวแรงเหนือกว่าเด็กหญิงผู้นั้นเสียอีก เช่นนี้...การสังหารเจ้าจึงนับว่าคุ้มค่าม
ใต้เงาราตรีแห่งฟากฟ้าปราศจากจันทร์ ดวงดาวพลันหลบเร้นอยู่หลังม่านเมฆทะมึน เสียงลมหอบหวิวผสานกับเสียงคลื่นที่ซัดกระแทกชายฝั่งมิได้สงบลงเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางกลิ่นเค็มของไอทะเลและกลิ่นคาวโลหิตที่ฟุ้งกระจาย ฉากการประมือของสองสายเลือดมนุษย์กับสัตว์อสูรและมารชั่วคลุ้งไปทั่วชายหาดอันเคยสงบงาม กลับกลายเป็นแดนประหัตประหารที่เต็มไปด้วยหลุมลึก โขดหินที่ถูกแรงกระแทกจนแหลกละเอียด ต้นไม้ชายฝั่งก็ถูกถอนราก เศษกิ่งใบปลิวว่อนราวใบไม้ร่วงในวสันต์ “โฮกกกก!!!” เสียงคำรามอันบ้าคลั่งของ หลงหมิ่น แผดก้องดั่งเสียงมังกรโกรธเกรี้ยว มันมีบาดแผลลึกหลายแห่ง โลหิตสีครามสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนพื้นทราย แต่แทนที่จะอ่อนแรงลง พลังของมันกลับพวยพุ่งขึ้น ร่างมหึมาพุ่งทะยานดั่งเงาวารีใต้สมุทรอันเชี่ยวกราก ลำคอและเขี้ยวยาวเปล่งประกายด้วยพลังอาภรณ์วารีอันเข้มข้น มุ่งสังหารเด็กหนุ่มตรงหน้าโดยไร้ความปรานี! อวี้เหวิน ไม่คิดหลบ ร่างของเขาสวมเสื้อคลุมดำแนบลู่กับลม เส้นผมยาวสะบัดอย่างองอาจ สองดวงตาคมกล้าฉายแววสงบ เย็นเยียบยิ่งน้ำแข็งแต่เร่าร้อนด้วยเพลิงภายใน “มาเถิด! ข้ากำลังร้อนมืออยู่พอดี!” ทันใดนั้น! กำปั้นข้างขวาของเ
ภายใต้เงาจันทราซีดเซียวที่ทอดแสงนวลลงบนผืนน้ำทะเลอันมืดมิด กลิ่นไอเค็มยังคงล่องลอยเคล้าคลอกับลมราตรี อวี้เหวินยืนหยัดดุจขุนเขาที่มิหวั่นไหวเบื้องหน้าบุรุษวัยกลางคน ดวงตากลับฉายแววกระวนกระวายราวถูกเพลิงแผดเผา แสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้าคมคายราวสลักเสลา เงาร่างในอาภรณ์ดำสนิทดุจเงามัจจุราชขยับเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยร่องรอยแห่งความระแวงแคลงใจ “เหตุใดข้าจึงมิได้ยินเสียงของมัน…?” น้ำเสียงของเขานั้นเยือกเย็น ทว่าในแววตาแฝงความเคร่งเครียดและจับสังเกตอย่างลึกซึ้ง เป็นคำถามที่ราวกับเขาโยนหินลงสระ เพื่อรอดูคลื่นสะท้อนกลับมาจากคำพูดของชายผู้นั้น ชายวัยกลางคนผู้มีผิวคล้ำจากแสงแดด มองสบตาอวี้เหวินพลางขมวดคิ้ว สีหน้าร้อนรนแฝงความกลัว “ท่านจอมยุทธ์!” เขากล่าวเสียงสั่น “ท่านอย่ารอช้าเถิด วันนี้มันมิได้ส่งเสียงคำรามก้องเช่นทุกครา แต่กลับคลานขึ้นฝั่งโดยไร้สุ้มเสียง…ข้าหวั่นว่า มันตั้งใจจะลิ้มลองเลือดเนื้อมนุษย์แล้ว!” เขากลืนน้ำลายฝืดคอ ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “และ...จุดที่มันขึ้นมานั้น มีเด็กคนหนึ่งอยู่พอดี!” คำพูดสุดท้ายดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางอ
เบื้องหน้าแมกไม้สูงใหญ่ที่โอบล้อมบึงใสกลางป่า เงาสะท้อนของเมฆสีเทารางเลือนวาดทับผิวน้ำดั่งม่านหมอกชะล้างใจ เมื่อเสียงสายลมโอบพัดใบไม้ให้ไหวเอน เด็กน้อยเบื้องข้างขอนไม้ก็ก้มหน้าลงแผ่วเบา คล้ายกำลังรวบรวมใจเพื่อกล่าวต่อ “เมื่อเดือนก่อน…” เสียงของเขาแผ่วพร่า ราวกลัวว่าหากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาแล้ว ความเศร้าที่ซุกซ่อนจะพรั่งพรูไม่อาจห้าม “มีคนจากภายนอกกลุ่มหนึ่งมาถึงหมู่บ้าน…” ดวงตาเล็กจ้องมองบึงอย่างเหม่อลอย สะท้อนแววอ้างว้างเจือปนระลึกถึง “พวกเขาสวมอาภรณ์ดูสง่า บางคนมีกระบี่แนบกาย บางคนมีกระบี่หลังสะพาย บางคนมีดวงตาที่เปล่งแสงราวจิตวิญญาณไม่ธรรมดา… ข้าคิดว่าพวกเขาคงเป็นผู้ฝึกปราณที่มีฝีมือ” เขาสูดหายใจเข้าแผ่วเบาก่อนหลุบตามองดินร่วนใต้เท้า “แต่ไม่กี่วันให้หลัง พวกเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครล่วงรู้ว่าพวกเขาไปทางใด ไม่มีแม้เสียงร่ำลา… แม้แต่ร่างก็ไม่ปรากฏให้เห็น” เสียงแผ่วพร่าของเด็กน้อยพลันสั่นไหว น้ำใสคลอหน่วยดวงตากลมโตก่อนหยาดหยดลงบนหลังมืออันสั่นเครือ เขาปาดน้ำตาอย่างเงียบงัน ก่อนพึมพำด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบา “หนึ่งในนั้น… คือคนที่ข้ารู้จัก” ดวงตาน้อยคู่นั้นค่
อวี้เหวินยังคงจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ ราวกับต้องการอ่านความจริงจากลึกในดวงจิตของอีกฝ่าย เฒ่าเจียนสูดลมหายใจลึก ก่อนเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “ราวหนึ่งเดือนก่อน ข้าออกเรือไปยังทะเลทางทิศตะวันตก จุดนั้นห่างจากชายฝั่งไกลพอควร ตั้งใจเพียงจะหาปูหาหอยไปขายแลกเบี้ย… แต่สิ่งที่ข้าเจอนั้น…” เขาหยุดนิ่ง ขยับถ้วยชามาแนบอก มือทั้งสองสั่นไหวเล็กน้อย “มัน… มันใหญ่โตราวกับเนินเขาเคลื่อนที่ได้ ลำตัวเรียวยาว ราวงูทะเลที่คลานบนผืนน้ำ… แววตามันวาววับ เยียบเย็นดั่งคมดาบในหิมะขาว ข้าแน่ใจว่า มันไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งที่ผู้คนเล่าขาน… ‘เงามังกรใต้สมุทร’…” อวี้เหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสบตากับเซี่ยชิงหลัวซึ่งนิ่งฟังอยู่ข้างกาย แม้นใบหน้านางจะถูกผ้าขาวบางปิดบัง แต่เพียงแค่ดวงตางามที่ทอแววบางอย่างเจือแสงครุ่นคิด เขาก็รู้ได้ในบัดดลว่านางเองก็เข้าใจในสิ่งเดียวกัน “ท่านเคยได้ยินชื่อมันหรือไม่?” อวี้เหวินเอ่ยเสียงต่ำ เฒ่าเจียนพยักหน้าเบา ๆ “เคย… เคยได้ยินจากพวกชาวเรือเฒ่าในอดีต พวกเขาเรียกมันว่า ‘หลงหมิ่น’ …อสูรโบราณที่สืบสายโลหิตแห่งอสรพิษทะเลจากยุคดึกดำบรรพ์ มันไม่ค่อยปรากฏตัวบนผิวน้ำ และไม
ยามอรุณรุ่งแผ่แสงอ่อนบางลงแตะต้องริมขอบฟ้า เฉกเช่นม่านทองที่คลี่คลุมผืนนภา สีฟ้าเรื่อแซมประกายสีส้มจางไล้ผ่านยอดไม้ และแนบอิงผิวคลื่นเบื้องล่าง จนผืนน้ำคล้ายพลิ้วไหวไปด้วยแสงทองนั้น สายลมยามเช้าพัดเอื่อยพาไอเค็มของทะเลโชยมาแตะปลายจมูก อ่อนโยนและเย็นสบายนัก ใต้เงาไม้ริมชายฝั่ง ร่างบอบบางในอาภรณ์สีขาวนวลนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างขอนไม้ ดวงหน้างดงามราวภาพวาดยังคงเคลิ้มในห้วงนิทราอย่างสงบเสงี่ยม แสงแดดเบาบางส่องต้องผ่านซอกกิ่งไม้ แผ่วพาดลงบนเรียวแก้มนวลเนียนประหนึ่งหยาดหิมะแรกของฤดูหนาว ดวงตางามล้ำคู่นั้นพลันขยับกระพริบไหว ลืมขึ้นอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา ราวกลีบบุปผาที่แย้มรับแสงแรกของวัน เมื่อสติกลับคืน คิ้วเรียวเล็กพลันขมวดเข้าหากันอย่างแผ่วเบา ราวกับผืนน้ำต้องลมแผ่ว รำลึกขึ้นได้ว่าตนเอ่ยปากจะร่วมเฝ้ายามเคียงข้างบุรุษผู้นั้น ทว่ากลับเผลอหลับใหลไปโดยมิรู้ตัว ความรู้สึกผิดพลันแผ่ซ่านไปทั่วอุรา ใบหน้านวลผ่องราวหยกขาวพลันแต้มสีชมพูระเรื่อ ดุจกลีบเหมยแรกแย้มต้องหิมะยามอรุณรุ่ง งดงามจับตา ราวกับภาพวาดสวรรค์ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน นางขยับกายเล็กน้อย พลิกตัวไปมองหาร่างของบุรุษผู้เป็นสหายร่วม