ฟางซินเย่นอนแผ่หลาลงเมื่อจบกิจ ความสุขสมที่ได้รับทำเอาหัวใจของเขาสั่นไหวได้ไม่น้อยทีเดียว เขาหมวดคิ้วพร้อมกับความคิดมากมายในหัว เหตุใดฮวาอิงหลงถึงได้เปลี่ยนท่าทีไปมากเช่นนี้
ฟางซินเย่ยังจำเหตุการณ์ในวัยเยาว์ได้ดี วันนั้นเป็นวันหิมะตกหนัก เมืองหลวงมีการจัดเทศกาลโคมไฟขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ฟางซินเย่ที่ตอนนั้นเป็นเพียงเด็กกำพร้า ตั้งแต่จำความได้เขาก็ไม่มีพ่อแม่แล้ว ยังโชคดีที่ได้อาจารย์ของเขารับไปเลี้ยงดู พร้อมทั้งถ่ายทอดวิชาการต่อสู้ให้กับเขา ทำให้ฟางซินเย่พอมีฝีมืออยู่บ้าง
ขณะที่ฟางซินเย่ออกไปเดินเล่นเพื่อชมความงดงามของโคมไฟหลากสี พลันเขาก็ได้เห็นเด็กสาวคนหนึ่ง นางมีหน้าตางดงามจนเป็นที่สะดุดตาผู้ที่ได้พบเห็น
เด็กสาวกำลังเอื้อมมือเพื่อคว้าโคมไฟที่แขวนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ด้วยท่าทางกระตือรือร้น ทำให้ฟางซินเย่ถึงกับยิ้มกว้างออกมาอย่างลืมตัว เขาเดินเข้าไปยืนด้านข้างพร้อมยกมือขึ้นเกี่ยวโคมไฟดังกล่าว ก่อนจะยื่นให้กับเด็กสาวตรงหน้า
“นี่ข้ามอบให้ท่าน” ฟางซินเย่ยิ้มกว้างพร้อมมองหน้าเด็กสาวอย่างรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นคนหยิบยื่นโคมไฟที่นางต้องการ
ฉับพลันเด็กสาวคนดังกล่าวก็ยกมือขึ้นปัดโคมไฟจนตกลงกับพื้น พร้อมจ้องมองหน้าเขาตาเขม็ง
“บังอาจนัก เจ้ากล้ามาแย่งโคมไฟของข้าได้อย่างไร” เด็กสาวตะโกนใส่เขาด้วยอารมณ์หงุดหงิดพร้อมมองเขาด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์
“ข้า...ข้าเปล่านะ ข้าเพียงต้องการช่วยท่านเท่านั้น” ฟางซินเย่ตกใจกับปฏิกิริยาที่ได้รับ เขารีบปฏิเสธทันควัน
“ช่วยหรือ...น้ำหน้าเช่นเจ้าคิดจะมาช่วยข้าหรือ” เด็กสาวยังคงเถียงเขาไม่หยุด ดวงหน้างดงามกลับบูดบึ้งขึ้นอย่างคนที่ถูกขัดใจ
“หากข้าทำให้เจ้าไม่พอใจ เช่นนั้นข้าขอโทษด้วยแล้วกัน” ฟางซินเย่รู้สึกผิดหวังอย่างแรง เขาเพียงแค่ต้องการช่วยเหลือนางเพียงเท่านั้น ไม่คิดว่านางจะโกรธเขามากมายถึงเพียงนี้
“อิงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น” เสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมก้าวเดินมาหยุดด้านข้างของเด็กสาวคนดังกล่าว
“เจ้าเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนี้ กล้ามายุ่งกับโคมไฟของข้า” เด็กสาวหันมาฟ้องเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินมาถึง
ฟางซินเย่ได้แต่อ้าปากค้าง เขาไม่คิดว่าการที่เขาช่วยเหลือนางจะกลายเป็นความผิดพลาดเช่นนี้
เด็กหนุ่มมองหน้าฟางซินเย่อย่างพิจารณา “เจ้าชื่อว่าอะไร เหตุใดจึงกล้าทำให้อิงเอ๋อร์ของข้าต้องขุ่นเคืองใจ”
ฟางซินเย่ก้มหน้าพร้อมกัดฟันด้วยความโกรธ “ข้าน้อยฟางซินเย่ ข้าเพียงเห็นแม่นางหยิบโคมไฟไม่สะดวก จึงได้ยื่นมือเข้าช่วยเท่านั้น”
“เจ้าคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า กล้าสะเออะมายุ่งกับของของข้า ท่านพี่ท่านต้องลงโทษเขาให้หลาบจำนะเจ้าคำ” เด็กสาวยังคงโวยวายไม่หยุด ดวงตาจ้องมองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“เอาล่ะ ๆ อิงเอ๋อร์ข้าจะพาเจ้าไปดูโคมไฟอันใหม่ หากเจ้าต้องการอันใด ข้าจะซื้อให้เจ้าทั้งหมดดีหรือไม่” เด็กหนุ่มพยายามเกลี้ยกล่อมเด็กสาวให้ยอมความลงเสีย
เด็กสาวมองหน้าฟางซินเย่อย่างแค้นเคือง “ท่านพี่ใจดีเช่นนี้ ต่อไปพวกชั้นต่ำพวกนี้ย่อมต้องได้ใจเป็นแน่ แต่ก็เอาเถอะข้าก็ไม่อยากเสียเวลากับคนพวกนี้ให้มากความ เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ”
เด็กสาวปรายตามองฟางซินเย่ด้วยท่าทีที่ดูแคลนอย่างยิ่ง ก่อนจะคล้องแขนเด็กหนุ่มเดินจากไปอย่างไม่ลังเล
ระหว่างนั้นสาวใช้คนหนึ่งได้เดินเข้ามาต่อว่าฟางซินเย่อีกหน “เจ้าบังอาจมากนะ กล้ามีเรื่องกับท่านอ๋องโจวอี้เสวียน และคุณหนูฮวาอิงหลง บุตรสาวท่านใต้เท้าฮวา นี่นับว่าเจ้ายังโชคดีที่ไม่ถูกลงโทษ ต่อไปอย่าได้มาเสนอหน้าอีกเล่า” พูดจบสาวใช้ก็รีบเดินตามเจ้านายของตนจากไปเช่นกัน
“ฮวาอิงหลง...” ฟางซินเย่พึมพำออกมาพร้อมประกายตาคมกริบ เขามองตามร่างของทั้งสองไปจนลับสายตา มือน้อยกำหมัดแน่นด้วยความขุ่นเคือง เขาเคยถูกดูถูกมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้ทั้งคำพูดและสายตาที่เด็กสาวคนดังกล่าวหยิบยื่นให้เขาสร้างความเจ็บปวดและรอยแผลขนาดใหญ่ขึ้นในใจของเขาอย่างยากจะลบเลือน
นับแต่นั้นฟางซินเย่ก็สัญญากับตนเองจะต้องยิ่งใหญ่ให้จงได้ เขาจะไม่ยอมให้ใครดูถูกเขาเช่นวันนั้นอีกแล้ว
ฟางซินเย่มุมานะในการออกรบอย่างเด็ดเดี่ยว และด้วยฝีไม้ลายมือของเขาที่พัฒนาขึ้นจนยากที่ใครจะทัดเทียมทำให้ตำแหน่งหน้าที่ทางการทหารของเขารุดหน้าอย่างรวดเร็ว และสิ่งเดียวที่เป็นแรงผลักดันให้เขาจนมีทุกวันนี้ก็คือ “ฮวาอิงหลง”
จนกระทั่งฟางซินเย่ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ เขาได้ข่าวเกี่ยวกับตระกูลของใต้เท้าฮวา เขาถึงกับยิ้มออกมาด้วยความสะใจ เวลาที่เขารอคอยมาถึงแล้ว เวลาที่ฮวาอิงหลงจะไม่สามารถมองเขาด้วยสายตาดูแคลนได้ดั่งเช่นแต่ก่อนอีกต่อไป
ฟางซินเย่ให้คนสนิทไปทำการซื้อตัวฮวาอิงหลงและสาวใช้มาอยู่ที่จวน พร้อมกำชับพ่อบ้านให้ดูแลนางอย่างดี นางสมควรได้ลิ้มรสช่วงเวลาที่ยากลำบากเสียบ้างแล้ว
พ่อบ้านคอยรายงานเขาเกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ยากลำบากของนาง เรือนนอนโกโรโกโสที่พร้อมจะผุพังได้ทุกเมื่อ ขนาดคนตักขี้ม้าในจวนยังมีเรือนนอนที่ดีกว่านางเป็นหลายเท่า อีกทั้งบรรดางานชั้นต่ำทั้งหลายที่มอบให้นางและสาวใช้เป็นผู้ดูแลจนแทบไม่มีเวลาพักหายใจ
ฟางซินเย่รู้สึกพึงพอใจอย่างมากที่ได้ยินเช่นนั้น สิ่งเดียวที่ยังทำให้เขารู้สึกขัดใจก็คือพ่อบ้านรายงานว่าฮวาอิงหลงยังคงมีท่าทางเย่อหยิ่งจองหอง และไม่ยอมก้มหัวให้ใครทั้งสิ้น ไม่ว่าคนของเขาจะใช้งานหรือทรมานนางมากสักเท่าใดก็ตาม ความยโสนี้ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อนแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้ฟางซินเย่รู้สึกอยากทรมานนางให้มากขึ้นไปอีก เขาอยากให้นางอดรนจนทนไม่ไหวต้องมากราบกรานอ้อนวอนขอความเมตตาจากเขาให้จงได้
จนกระทั่งในช่วงที่ฟางซินเย่ไปฝึกค่ายทหารเป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์ ตอนที่เขากลับมายังจวน พ่อบ้านก็กระหืดกระหอบมารายงานว่าฮวาอิงหลงล้มป่วยหนักจนหมดสติไปหลายวัน ทำเอาฟางซินเย่ถึงกับร้อนรนในใจ เขาย่อมไม่ยอมให้นางตายง่าย ๆ เป็นแน่
ฟางซินเย่จึงสั่งให้คนจัดยาที่ดีที่สุดไปให้นาง จนกระทั่งได้ยินว่านางฟื้นตัวจนหายป่วยแล้ว เขาถึงค่อยรู้สึกวางใจลง
หลังจากที่รู้ว่าฮวาอิงหลงป่วย ฟางซินเย่ก็รู้สึกแปลกประหลาดในใจอย่างบอกไม่ถูก เขากลับไม่รู้สึกยินดีที่ได้ยินข่าวเช่นนี้ของนาง จนกระทั่งวันหนึ่งฟางซินเย่อดรนทนไม่ไหว เขาจึงเรียกเจ้าหมัวมัวเข้ามา พร้อมออกคำสั่งให้ฮวาอิงหลงมาปรนนิบัติเขาในค่ำคืนนี้ในที่สุด
บทที่ 72 เริ่มต้นวันใหม่ค่ำคืนอันเงียบสงบ แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อย ลมพัดเบาๆ พาเอากลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งอยู่รอบจวนลอยมาแตะจมูก ภายในห้องนอนใหญ่ท่ามกลางแสงสลัวนั้น ฟางซินเย่นอนมองหน้าฮวาอิงหลงนอนคุดคู้อยู่บนเตียง นางดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้นเมื่อแสงจันทร์ตกกระทบบนใบหน้าที่ผุดผาดฮวาอิงหลงยิ้มยั่วยวนเมื่อเห็นสายตาของฟางซินเย่ที่มองมาด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อนที่ไม่อาจซ่อนเร้น“อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่ยื่นมือขึ้นลูบไล้ไปตามลำแขนขาวก่อนจะไล่ลงมาตามลำตัวจนกระทั่งถึงหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมา “พ่อเจ้าต้องการแม่เจ้าเหลือเกิน เจ้าอนุญาตหรือไม่” ฟางซินเย่เพ้อออกมาด้วยเสียงกระเส่า เขาพูดไปพลางปรายตามองฮวาอิงหลงด้วยสายตากรุ้มกริ่มฮวาอิงหลงยิ้มเขินออกมาอย่างรู้ทัน นางโน้มตัวขึ้นเกยบนร่างหนาของฟางซินเย่ในทันที สองมือของฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นคร่อมตัวเขาอย่างระมัดระวังด้วยเกรงจะกระทบถึงบุตรในท้องฟางซินเย่หยัดกายขึ้นเล็กน้อยพร้อมสองมือที่ยังคงลูบไล้ไปตามหน้าอกอิ่มนูนของฮวาอิงหลงอย่างหลงใหล ลมหายใจเริ่มติดขัดขึ้นมาพร้อมกับปากที่เป่าลมร้อนออกอย่างต้องการสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ฮว
บทที่ 71 อำลาเมืองหลวงเสียงกลองและแตรสัญญาณดังกึกก้องไปทั่วบริเวณลานวังหลวง ขันทียกราชโองการขึ้นประกาศ “ฮ่องเต้มีราชโองการ ด้วยบุญบารมีของราชวงศ์โจวทำให้เชื้อพระวงศ์กลับคืนสู่ราชวงศ์ ข้าขอแต่งตั้งฟางซินเย่เป็นองค์ชายโจวซินเย่ แต่งตั้งฮวาอิงหลงเป็นพระชายาอ๋อง และแต่งตั้งเฉินเม่าเป็นองค์หญิงโจวเหยาหยาง จบราชโองการ” ฟางซินเย่โน้มรับราชโองการด้วยใบหน้าเรียบสงบ เผยให้เห็นความสง่าผ่าเผยอยู่ในที ในขณะที่ฮวาอิงหลงและเฉินเม่ากลับแสดงสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเกร็งด้วยความตื่นเต้นกังวลกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ จากสาวใช้ในจวนแม่ทัพคนหนึ่งได้เป็นองค์หญิง ส่วนอีกคนได้เป็นพระชายาอ๋องช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนักหลังเสร็จสิ้นการประกาศแต่งตั้งเฉินเม่าก็ได้ย้ายไปอยู่ที่จวนโจวหนานเอ๋อร์ ผู้เป็นมารดาของนาง ทว่าสำหรับฟางซินเย่นั้นกลับเลือกที่จะขอพำนักที่จวนแม่ทัพตามเดิมโจวหนานเอ๋อร์แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจมากนัก แต่ก็ไม่ต้องการหักหาญน้ำใจของบุตรชาย นางจึงเพียงกำชับฮวาอิงหลงให้หมั่นไปเยี่ยมเยียนตนที่จวนให้บ่อยครั้งในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ฟางซินเย่และฮวาอิงหลงเดินทางไปยังจวนฉางกงจู่ โจวหนานเอ๋อร์และเฉ
บทที่ 70 ลูกของข้าราชโองการถูกประกาศปล่อยตัวฟางซินเย่ในวันต่อมาโดยทันที ในที่สุดฟางซินเย่ก็ถูกปล่อยตัวหลังจากถูกคุมขังมาเป็นเวลาหลายวันเมื่อฟางซินเย่ได้รับอิสรภาพ เขาก้าวออกจากคุกด้วยความมุ่งมั่นและดวงตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงฮวาอิงหลง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความถวิลหานาง ดั่งว่านี่คือการเดินทางที่ยาวนานที่สุดของชีวิตเขา“อิงเอ๋อร์...ข้าไม่ยอมสูญเสียเจ้าไปเป็นอันขาด” ฟางซินเย่กล่าวกับตนเองขณะที่ก้าวขึ้นม้าด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะพุ่งตรงไปยังจวนอ๋องเมื่อฟางซินเย่ถึงจวนอ๋อง เขาปรี่ตรงเข้าไปหาโจวอี้เสวียนในทันที สองมือกุมคอเสื้อของโจวอี้เสวียนอย่างไม่นึกหวั่นเกรงสิ่งใดอีกต่อไป ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะที่มี พร้อมกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกัดฟันกรอด “อิงเอ๋อร์...อยู่ที่ใด”โจวอี้เสวียนหันมามองเขาด้วยดวงตาเย็นชา ใบหน้าของชายหนุ่มที่พรากหัวใจของหญิงสาวคนรักของตนไปทำให้เขานึกครึ้มอย่างจะกลั่นแกล้งฟางซินเย่อีกสักหน่อย โจวอี้เสวียนยิ้มเยาะขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ...เหตุใดข้าต้องตอบคำถามเจ้าด้วยเล่า”คำพูดยียวนทำเอาฟางซินเย่ถึงกับบันดาลโทสะ เขาง้างมือขึ้นเตรียมจะชกหน้าโจวอี้เสวียน แต่องครักษ์ข้างกายของโจวอ
บทที่ 69 ฝืนยอมรับในท้องพระโรงที่โอ่โถง บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดัน โจวจางเย่วประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โจวอี้เสวียนที่ยืนหน้าเครียดอยู่ด้านข้าง ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอย่างดุดัน“อี้เสวียน...เจ้าช่างบังอาจนัก เจ้ากล้าทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพื่อสตรีนางเดียวอย่างนั้นหรือ” โจวจางเย่วชี้นิ้วไปยังโจวอี้เสวียนด้วยความเกรี้ยวกราดโจวอี้เสวียนยืนนิ่งเงียบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ข้าไม่มีทางเลือก ในเมื่อเสด็จพ่อมิทรงทำสิ่งใด เช่นนั้นข้าก็จำเป็นต้องหาทางของข้าเอง”“เจ้านี่ช่างโง่เขลายิ่งนัก” โจวจางเย่วแค่นเสียงออกมาด้วยความขัดเคืองใจ “ความรักของเจ้าทำให้เจ้าลืมเลือนความเป็นบุตรหลานแห่งราชวงศ์แล้วหรือ เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้ามีสถานะเช่นใด เจ้าลืมแล้วหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้วันหน้าต้องเป็นของเจ้า เจ้ากลับผิดแผนชั่วเพื่อแย่งชิงภรรยาผู้อื่น เช่นนั้นต่อไปจะมีผู้ใดในแคว้นเคารพและนับถือเจ้า จะมีผู้ใดยอมรับใช้ถวายหัวให้กับเจ้า แม่ทัพฟางเป็นเสาหลักของแคว้น หากเจ้ากำจัดเขาทิ้ง เจ้าคิดหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้จะมั่นคงอยู่ได้”โจวอี้เสวียนกัด
บทที่ 68 พบพานภายในห้องขังที่แสนอับชื้นและเหน็บหนาว เสียงกุญแจที่บานประตูคุกหลวงสะท้อนเสียงดังไปทั่ว ฟางซินเย่ที่นั่งพิงผนังหินเย็นเฉียบตาแดงก่ำมองดูหนังสือหย่าที่เพิ่งได้รับ มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ริมฝีปากแห้งผากเผยอเบาๆ ออกมาราวกับจะกล่าวคำใด แต่ทุกคำกลายเป็นเพียงเสียงหายใจที่ตัดรอน “อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่พร่ำเอ่ยชื่อของฮวาอิงหลงออกมาด้วยดวงตาสั่นไหวที่คงความขมขื่นไว้ในห้วงแห่งความโศกเศร้า“อิงเอ๋อร์...เหตุใดต้องทำเช่นนี้เพื่อข้า” ฟางซินเย่คร่ำครวญออกมา ใบหน้าเปลี่ยนสีแดงก่ำราวกับเปลวเพลิงร้อนรุ่ม “เจ้ายอมแต่งงานกับโจวอี้เสวียนเพียงเพื่อรักษาชีวิตข้า...ข้าคือผู้ชายที่ไร้ค่าเพียงนี้เชียวหรือ...” เขาหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ขาดหายราวกับจะกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา ความรันทดอดสูใจทำให้เขาถึงกับกุมหมัดขึ้นทุบผนังหิน เลือดไหลซึมออกมาหยดลงเป็นทางยาว ความเจ็บปวดของร่างกายกลับไม่อาจเทียบความเจ็บปวดภายในใจที่มีได้ในขณะที่บรรยากาศคุกขังอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ภายในเฉินเม่าและเสี่ยวม่านกลับไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป ความทุกข์ร้อนของพี่น้องร่วมสาบานเช่นฮวาอิง
บทที่ 67 แผนร้ายภายในโถงใหญ่ในจวนอ๋อง โจวอี้เสวียนที่หน้าตาเคร่งเครียดยืนอยู่อย่างหัวเสีย ความหงุดหงิดก่อตัวภายในใจที่นึกไว้ใจคนที่ไม่ได้เรื่องเช่นเฉินเฉียวเหยา หากนางไม่ไร้ความสามารถเช่นนี้โอกาสที่เขาจะกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจอย่างฟางซินเย่ย่อมเห็นเป็นรูปร่างมากขึ้น ข้าวของถูกปาแตกกระจายด้วยโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เขาก้าวเดินวนไปมาอย่างต้องการใช้ความคิดสักครู่หนึ่งโจวอี้เสวียนตะโกนเรียกองครักษ์คนสนิทเข้ามา “พวกเจ้าจงไปทำตามที่ข้าสั่งให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้” โจวอี้เสวียนออกคำสั่งด้วยเสียงเข้มขรึม ดวงตาคมเข้มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่รู้จักพ่ายแพ้องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่งทันที “ขอรับท่านอ๋อง”โจวอี้เสวียนเหม่อมองออกไปภายนอกห้องด้วยความคิดอันแยบยล หากแผนการแรกผิดพลาด เขาย่อมต้องมีแผนที่สองเตรียมรับมือไว้เป็นแน่ผ่านไปเพียงไม่ถึงเดือน กองกำลังทหารของโจวอี้เสวียนก็เข้าปิดล้อมจวนแม่ทัพอย่างรวดเร็ว ฟางซินเย่เดินอย่างอาจหาญออกมาเผชิญหน้าเหล่าทหารของโจวอี้เสวียน โดยมีเหล่าทหารกองทัพของฟางซินเย่ยืนประจัญบานเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี“แม่ทัพฟางซินเย่ ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นจวนของท่าน โปรดใ