สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารักแม้มันจะมักมาพร้อมกับความเจ็บปวดหลายเดือนผ่านไปท้องของเขมิกาเริ่มจะกลมป่องด้วยอายุครรภ์ที่มากขึ้น แต่เธอกลับทำงานในครัวอย่างขะมักเขม้นไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย แม้ลัลนาจะห้ามปรามเธอก็ไม่ฟังนั่นเป็นเพราะเงินที่ติดตัวมาไม่ได้มากมายอะไร ตั้งแต่เธอแต่งเข้าบ้านสามี เขมิกาก็ไม่เคยขอเงินเขาใช้เลย นานๆ ทีเขาจะให้เธอไว้เพียงแค่เป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้านเท่านั้น
ร้านอาหารในผับสถานที่เริงรมย์แห่งนี้ เปิดมานานแล้ว คนในย่านนี้ต่างรู้กันว่าด้านในเป็นที่อโคจร แต่ใครจะรู้ถึงความขมขื่นของสาวๆ พวกนั้น ทุกคนต่างก็มีความจำเป็นและเหตุผลที่ต้องทำ ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากจะทำงานแบบนี้
ผ่านไปหลายชั่วโมง ภายในห้องนอนเล็กๆ ข้างในนั้นมีผู้หญิงรูปร่างอวบอิ่ม แม้ว่าท้องของเธอจะใหญ่ขึ้น แต่ความสวยของเธอก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่น้อย เธอกลับดูดีมีน้ำมีนวลสวยเปล่งปลั่งมากขึ้นกว่าเดิม เขมิกาค่อยๆ นั่งลงที่โซฟาตัวยาว
หลังจากที่ช่วยงานในครัวมาแล้วพักใหญ่ เธอค่อยๆ เอนหลัง เพื่อบรรเทาความปวดเมื่อย มือข้างหนึ่งลูบลงมาที่หน้าท้องนูนเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาจากมุมปากเล็กน้อย เมื่อเธอนึกถึงทารกที่อยู่ในครรภ์อีกไม่นานก็จะลืมตาดูโลกใบกว้างนี้แล้ว
สถานที่แห่งนี้เขมิกาเรียกมันว่าบ้าน ถึงแม้ใครๆ จะเรียกว่าอะไรก็ตาม แต่สำหรับเธอแล้วมันคือบ้านและครอบครัวของเธอ ที่นี่เป็นบ้านหลังใหม่ที่อ้าแขนรับเธอตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเข้ามา ทุกคนที่นี่ล้วนเป็นมิตรและเอื้ออาทรต่อเธอเสมอ เขมิกาค่อยๆ ถอดแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายออก มันคือสมบัติชิ้นเดียวที่เธอมี อยู่จู่ๆ น้ำตาของเธอก็ไหลพรากลงมาที่แก้มนวลอีกครั้ง
เมื่อนึกถึงคนที่สวมมันให้ อย่างน้อยเขาและเธอก็เคยมีช่วงเวลาดีๆ ให้กัน แม้มันจะทุกข์มากกว่าสุขก็ตามที เมื่อเขมิกานึกถึงวันที่เธออยู่อย่างเดียวดาย หลังจากที่บิดามารดาต้องมาตายจากไป ในวันที่เธอไม่เหลือใครเลย อยู่ๆ เขาก็เดินเข้ามา ชยันต์คือคนเดียวที่อยู่ข้างๆ คอยปลอบโยนและให้กำลังใจเธอ
หลังจากผ่านพ้นวันคืนที่มืดมนนั้นมาได้ เขมิกาก็มั่นใจว่าชรัญ (ที่แท้คือชยันต์) จะไม่มีวันทำให้เธอเสียใจอีก เขมิกาตัดสินใจแต่งงานกับเขาโดยไม่ลังเลเลยสักนิด ความสาวที่รักษามันมาทั้งชีวิต เธอได้มอบให้กับเขาอย่างเต็มภาคภูมิในคืนส่งตัว เจ้าบ่าวที่เธอเคยตกหลุมรักครั้งแรก
หญิงสาวรู้สึกตกหลุมรักเขาอีกครั้งในคืนเข้าหอ เมื่อเขาและเธออยู่ตามลำพัง โลกนี้ทั้งใบได้กลายเป็นสีชมพู ก่อนที่จะมืดดับลงกลายเป็นสีดำทั้งใบ เมื่อแล้วโชคชะตาเล่นตลกกับเธอ ผู้ชายที่แสนดีอยู่ๆ เขาได้กลายร่างเป็นอสุรกายในชั่วพริบตา
ทุกอย่างพังทลายจนสิ้น หัวใจของเธอมันเหมือนโดนเขาควักออกมาแล้วเหยียบซ้ำ เวลานี้เธอกลายเป็นคนไร้หัวใจไปแล้ว ไม่ว่าชายใดก็ตามเธอจะไม่มีวันมอบหัวใจให้ได้อีก เพราะเธอไม่มีหัวใจนับตั้งแต่วันที่ชยันต์ควักมันออกไป
ลัลนาเดินเข้ามาในห้องเล็กๆ เธอเป็นห่วงเขมิกาที่ท้องเริ่มโต การปล่อยให้หญิงท้องแก่ ไม่มีสามีคอยดูแลต้องอยู่เพียงลำพังนั้น มันช่างน่าสงสารเหลือเกิน เขมิกาต้องมาอุ้มท้องและต้องมาคลอดลูกอยู่ในสถานที่แบบนี้ โชคชะตาของเพื่อนตรงหน้า ใครกันช่างลิขิตให้เธอเจอแต่เรื่องเลวร้าย
"เป็นยังไงบ้างเขม เจ้าตัวเล็กดิ้นดีไหม ไหนขอตรวจดูหน่อย"
"ไม่ค่อยดิ้นเลยนา"
"อ้าว!! ทำไมล่ะหลานของฉันเป็นอะไรหรือเปล่า" ลัลนาพูดอย่างตื่นตระหนกหวาดกลัว พร้อมกับนั่งลงไปเอาหูแนบที่ท้องของเขมิกา ก่อนจะลูบที่ท้องมนเบาๆ ไปมาอย่างห่วงใย การกระทำของลัลนาทำให้เขมิกายิ้มออกมาได้ อย่างน้อยเธอก็มีเพื่อนที่แสนดีอย่างลัลนา ที่คอยเป็นห่วงเป็นใยในยามที่เธอตกทุกข์ได้ยาก ซึ่งเวลานี้สิ่งที่เธอต้องการที่สุดคือกำลังใจจากใครสักคน ที่อยู่เคียงข้างๆ ในวันที่เธอใกล้คลอด.
"ลัลนาหลานเธอแข็งแรงดี ที่เขมบอกว่าไม่ดิ้นนั้น เพราะหลานเธอถีบฉันเลยต่างหาก”
"เขม..พูดเล่นอะไรก็ไม่รู้ นาตกอกตกใจหมดเลย แต่นาก็ดีใจนะที่เห็นรอยยิ้มของเขมแบบนี้" ลัลนาขยับเข้าไปใกล้เขมมิกา ก่อนจะโอบกอดเพื่อนรักพร้อมกับแนบหูลงไปที่ท้องนูนของเธออีกครั้ง
"หนูจะได้ออกมาแล้วนะ อีกไม่นานหนูก็จะได้มาเป็นลูกของแม่เขมแล้วก็แม่นา หนูต้องดีใจมากและมากกว่าคนอื่นแน่ๆ เลยเพราะหนูมีแม่ตั้งสองคน เห็นไหมหนูเป็นคนพิเศษเลยนะ" พูดจบลัลนาก็เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มกว้างให้กับเขมิกา เมื่อเพื่อนของเธอต้องการกำลังและมันเป็นเพียงสิ่งเดียว ที่เธอทำให้เขมิกาได้ในเวลานี้เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขมิกาเคยทำให้และช่วยเหลือเธอโดยตลอด ลัลนายังรู้สึกละอายใจ ที่ไม่สามารถช่วยเหลือเพื่อนได้ดีกว่าที่เป็น
"นาไม่ต้องห่วงเขมหรอก ไปทำงานได้แล้วเขมอยู่คนเดียวได้"
"คุณแม่มันเริ่มดึกแล้วเข้านอนได้แล้วนะ อย่าเก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคิดล่ะ ถ้าจะคิดอะไรให้คิดถึงเจ้าตัวเล็กให้มากๆ เข้าใจไหม”
"เข้าใจค่ะคุณแม่นา คุณแม่ย้ำกับดิฉันทุกคืน จนจำขึ้นใจแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกแค่ผู้ชายคนเดียวที่จ้องแต่ทำร้าย เขมไม่เก็บมาคิดให้มันรกสมองหรอก เรื่องดีๆ ก็อาจมีให้จำ แต่เรื่องระยำมันเยอะมากกว่า แล้วจะมีประโยชน์อะไรหากจะต้องเก็บเอามาคิด จริงไหม"
"คิดได้แบบนี้ก็ดีแล้ว เขมเห็นผู้ชายพวกนั้นไหม ไม่รู้ว่าหนีลูกเมียมาเที่ยวหรือเปล่า อาชีพอย่างเราไม่มีทางเลือกหรือปฏิเสธอะไรได้เลย"
"ผู้หญิงมักตกเป็นเหยื่อของผู้ชายที่เห็นแก่ตัวเสมอ พวกเขาหวังแก่ได้มากกว่าความซื่อสัตย์ที่มีให้กับชีวิตคู่"
"นาไปทำงานแล้วนะ เข้านอนได้แล้ว เราจะผ่านทุกอย่างไปด้วยกัน นาสัญญา เพื่อนคนนี้จะเป็นเพื่อนตายไม่มีวันทิ้งเขม"
คำพูดของลัลนาทำให้น้ำตาของเขมิกาถึงกับคลอออกมา เธอซึ้งในน้ำใจของเพื่อนคนนี้เหลือเกิน หากไม่มีลัลนาเธอคงได้นอนข้างถนน ตามศาลาริมทาง หรือไม่ก็ใต้สะพานลอย ในความโชคร้ายรอบนี้ก็ยังมีความโชคดี ที่ได้ลัลนาเป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือในยามยาก
"รีบไปเถอะแค่นี้ทำไมเขมจะผ่านมันไปไม่ได้หนักกว่านี้ก็เคยผ่านมาแล้ว"
เขมิกาพูดพร้อมกับดันหลังเพื่อนให้เดินออกไป ก่อนจะปิดประตูแล้วขึ้นเตียงเตรียมตัวเอนลงนอน เธอไม่อยากเป็นภาระให้กับลัลนา เพราะฐานะที่บ้านของเพื่อนนั้นลำบากมาก ลัลนาคือรายได้หลักของครอบครัว ฉะนั้นงานอะไรที่เธอทำได้เธอก็จะทำ เพื่อลูกเพื่อยาใจดวงน้อยของเธอ เพื่ออนาคตของเด็กน้อยคนนี้ เด็กที่พ่อของเขาสั่งให้ไปฆ่า วันหนึ่งผู้ชายคนนั้นเขาจะต้องเสียใจและได้รับผลกรรม ที่เขาได้กระทำกับเด็กคนนี้เอาไว้เพราะเขาได้สร้างตราบาปนั้นขึ้นมาเอง
เวลาผ่านไปสามปีกว่า มาเรียมได้ให้กำเนิดลูกสาวคน ชื่อว่ามาติยา ดวงหน้าและแววตาของหนูน้อยมีความคล้ายคลึงเขมิกามารดาของเธอมาก ใครเห็นต่างก็รักและเอ็นดู เพราะมาติยาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายไม่งอแง ซึ่งวันนี้เป็นวันหยุด ในช่วงบ่ายแก่ๆ มาเรียมและติณณ์ได้พาลูกสาวไปเล่นกับคุณตาและคุณทวดที่บ้านรชศภานุพงศ์ ส่วนชนัญหลังจากที่บิดาให้ไปเรียนรู้งานกับตุลย์พี่ชายของติณณ์ความใกล้ชิด ทำให้คนทั้งคู่ตกหลุมรักกัน จากนั้นในปีถัดมาคนทั้งสองได้ตกลงปลงใจแต่งงานกัน จนตอนนี้ชนัญตั้งครรภ์ท้องแก่ กำหนดคลอดต้นเดือนหน้านี้แล้ว ซึ่งหญิงสาวยังคงอยู่ที่บ้านรชศภานุพงศ์ เพราะมาเรียมได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านของติณณ์ จึงทำให้พี่ชายของเขาต้องจำใจย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้แทน เนื่องจากชยันต์ไม่ยอมให้ลูกสาวอีกคนย้ายออกไปทางด้านแชมเปญหลังจากที่ชยันต์วิ่งเต้นประกันตัวให้ออกมาห้องขัง หล่อนได้ย้ายออกไปอยู่คอนโดใช้ชีวิตเพียงลำพัง เพราะไม่อยากข้องเกี่ยวกับชยันต์ให้เป็นเวรเป็นกรรมต่อกันอีก แต่ชนัญก็ได้แวะเวียนไปหามารดาของเธอบ่อยๆ เพราะกลัวว่าแชมเปญจะเหงา ที่ต้องไปอยู่อย่างโดเดี่ยวแบบนั้น เพราะตั้งแต่นายทรงพลบิดาของเธอเ
"คุณสวยมากรู้ตัวหรือเปล่ามาเรียม ตรงนี้เป็นของผม ตรงนี้เป็นของผม และตรงนี้มันก็เป็นของผม ตัวของคุณทุกซอกทุกมุมเป็นของผม เพียงคนเดียว" ติณณ์ใช้สายตากวาดมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของภรรยาด้วยความรู้สึกเสน่หา พร้อมกับจับตรงนั้นตรงนี้จนมาเรียมรู้สึกเขินอายแทบจะมุดลงใต้เตียงแล้วในตอนนี้"ผมรักคุณจัง" ติณณ์พูดออกมาพร้อมกับจับมาเรียมนอนราบลงไปกับเตียง ขณะชายหนุ่มได้เข้าไปคร่อมร่างอรชรเอาไว้ ทั้งสองจ้องมองไปที่ดวงตาของกันและกัน ซึ่งเวลานี้มันได้หวานหยาดเยิ้ม ใบหน้าหวานกับเรียวปากอวบอิ่มที่ถูกแต่งแต้มเอาไว้ด้วยลิปสติกสีแดง ทำให้หญิงสาวแลดูเซ็กซี่และเย้ายวนเกินห้ามใจ"มาเรียมก็รักคุณค่ะ" หญิงสาวบอกรักชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่เขินอาย เมื่อสายตาคมของเขาจ้องมองลงต่ำไปหยุดที่ทรวงอกเปลือยเปล่าของเธอ"แม่บอกว่าอยากอุ้มหลานแล้ว คืนนี้จัดเต็มนะที่รัก" เสียงทุ้มของชายหนุ่มกระซิบลงไปที่ข้างหูของภรรยา ก่อนที่เขานั้นจะซุกไซ้ใช้ปลายจมูกคม กดลงไปที่ลำคอระหง พร้อมกับพรมจูบลงไป ติณณ์ใช้ปลายลิ้นลากเลียลงมาที่เม็ดบัวอมชมพู พร้อมกับใช้มือเคล้นคลึงเบาๆ"อืม...อ๊า คุณติณณ์ขา" หญิงสาวร้องเรียกชายหนุ่มออกมา เมื่อปลายล
วันเวลาผ่านไป งานแต่งระหว่างมาเรียมกับติณณ์ ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ มีผู้คนหลายร้อยพันมาเป็นสักขีพยาน ทุกคนล้วนแสดงความยินดีกับคนทั้งคู่ ที่ได้เป็นฝั่งเป็นฝาสมใจสักที ชนัญก็มาร่วมงานนี้ด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคนละสายเลือด เริ่มสนิทและคุ้นเคยรักกันไม่ต่างพี่น้องแท้ๆ ที่คลานตามกันมา คนที่สุขใจที่สุดเห็นจะเป็นชยันต์บิดาของมาเรียม เมื่อเขานั้นไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าเรื่องราวดีๆ จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเขา เมื่อลูกสาวทั้งสองรักใคร่ปรองดองกัน แม้ชนัญจะไม่มีสายเลือดของเขาสักหยด แต่ชยันต์ก็รักไม่ต่างจากมาเรียม เพราะเขาเป็นคนเลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออก ส่วนมาเรียมนั้นไม่ต้องบอกเขารักลูกสาวคนนี้ โดยไร้เงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น"ขอให้ทั้งสองครองรักกัน ตราบชั่วนิรันดรขอให้แต่ละวันคืนในชีวิตคู่เป็นวันที่แสนพิเศษ หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กันนะลูก ย่ารักหนูนะมาเรียม" หญิงสูงวัยอวยพรให้กับคู่บ่าวสาว ก่อนที่ทั้งสองจะลงก้มลงกราบที่เท้าด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ"ขอบคุณนะคะคุณหญิงย่า มาเรียมก็รักคุณหญิงย่านะคะ" มาเรียมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับหญิงสูงวัย ด้วยความรู้สึกรัก แม้จะเข้ามาอยู่ในบ้านรชนิศนุพงศ์ได้ไม่นาน แต่ควา
ณ บ้านรชนิศภานุพงศ์วันนี้ชยันต์ได้ออกจากโรงพยาบาล คุณหญิงขวัญเรียมได้จัดแจงให้แม่บ้านทำอาหารไว้ต้อนรับลูกชาย ซึ่งสิ่งที่หญิงสูงวัยมีความสุขมากที่สุด นั่นคือการที่มาเรียมและบิดาได้ปรับความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนชนัญยังคงเก็บตัวเงียบ เธอไม่สนใจโลกภายนอกตั้งแต่วันนั้นที่เกิดเรื่อง ชนัญลงมาทานข้าวแล้วขึ้นห้องเธอทำแบบนี้ตั้งแต่แชมเปญถูกจองจำ และที่น่าสมเพชไปยิ่งกว่านั้น ไม่มีใครไปเยี่ยมมารดาเธอเลยสักครั้ง แชมเปญคงต้องอยู่ในนั้นอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย เหมือนดั่งที่เขมิกาเคยใช้ชีวิตอย่างลำพัง พร้อมกับความยากลำบากแสนเข็ญ คนที่พูดปดมดเท็จไปทั่วแย่งสามีชาวบ้านอย่างแชมเปญ ผลของกรรมเหล่านั้นกำลังจะตามเธอทัน เหมือนดั่งที่เขมิกาเคยได้รับ แต่แชมเปญคงเจ็บปวดกว่าหลายเท่า เมื่อเธอต้องไร้ซึ่งอิสรภาพและต้องตกอยู่ในสถานที่แบบนั้น อีกไม่นานศาลชั้นต้นก็คงจะพิพากษาแชมเปญ ที่มีได้กระทำความผิด แน่นอนเธอคงได้นอนอยู่ในกรงขังนานหลายปี เมื่อไม่มีใครไปประกันตัวซึ่งอีกคนที่ได้รับกรรมครั้งนี้อีกคนคือชนัญ เมื่อเธอรู้ความจริงหมดทุกอย่างแล้วสิ้น ชยันต์ไม่ใช่บิดาแท้ๆ แม้เขาจะดูแลเธอมาทั้งชีวิต และมันคงถึงเวลา
ภายใต้ห้องสี่เหลี่ยมที่มีชายวัยกลางคนนอนหลับใหล ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนเขาถึงจะตื่นฟื้นขึ้นมา หมอบอกว่าชยันต์บิดาของเธอพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มาเรียมคลายความกังวลลงเลยแม้แต่น้อย เมื่อชยันต์ยังคงนอนเป็นผักอยู่แบบนี้มาหลายวันแล้ว"ทานอะไรบ้างสิมาเรียม คุณต้องเข้มแข็งหากคุณอาชยันต์ฟื้นขึ้นมา คุณจะเอาแรงจากไหนมาดูแลพ่อ" คำพูดของติณณ์ไม่ได้เข้ามาอยู่ในหูของมาเรียมเลยสักนิด หญิงสาวยังคงนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย เธอกุมมือผู้เป็นบิดาเอาไว้นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ จนฝ่ามือของคนทั้งสองเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ“นี่ก็หลายวันแล้ว พ่อควรฟื้นได้แล้วนะคะ ทุกคนเป็นห่วงพ่อมาก มาเรียมเองก็เป็นห่วงอยากให้พ่อกลับมา กลับมาเป็นพ่อของมาเรียมเถอะนะคะ" มาเรียมพูดพร้อมกับเอามือของชยันต์ขึ้นมาแนบไว้ที่แก้มนวลของเธอ ก่อนที่น้ำตาใสๆ จะไหลหยดลงใส่หลังมือของผู้เป็นบิดา สายใยความผูกพันระหว่างพ่อกับลูก คงไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้น แต่มาเรียมกับชยันต์สองพ่อลูกช่างมีอุปสรรคเหลือเกินเมื่อเธอมุ่งแต่จะเอาคืนผู้เป็นบิดา จนลืมนึกถึงความถูกต้อง หญิงสาวเกือบพลั้งมือทำลายบริษัท ที่บิดานั้นเก็บรักษาเอาไว้ให้เธอ แต่นั่นมันก็ไ
ซึ่งความรู้สึกผิดที่มาเรียมมีต่อบิดานั้น ไม่ได้เกิดมาจากการที่เขายกสมบัติอะไรนั่นให้เธอเลยสักนิด แต่มันเกิดจากความรู้สึกผิด ที่บิดานั้นต้องทนทุกข์ทรมานจากการกระทำของเขาที่มีต่อแม่เขมิกามาโดยตลอด แต่พอมาเรียมเดินเข้ามาในชีวิตของชยันต์ ไม่ต่างอะไรกับที่เธอนั้นใช้มีดกรีดลงไปซ้ำที่แผลเดิม"ใจเย็นไม่ร้องนะครับคนดี คุณอาชยันต์ต้องปลอดภัยเชื่อผม แม่เขมิกาคงไม่อยากเอาพ่อของมาเรียมไปอยู่ด้วยหรอก เพราะแม่อยากให้คุณอาชยันต์ดูแลมาเรียมมากกว่า" คำพูดของติณณ์แม้จะเป็นเพียงแค่คำปลอบโยน มาเรียมก็ได้แต่ภาวนาหากดวงวิญญาณมีจริง ก็ขอให้แม่เขมิกาปกป้องให้บิดากลับมาอย่างปลอดภัย เพราะเธอยังมีเรื่องราวอีกมากมายเกี่ยวกับมารดาอยากจะเล่าให้บิดาฟัง ซึ่งเขมิกาก็ไม่เคยให้ใจใครไปเช่นกัน ความรักที่นางมีให้กับชยันต์นั้น มันยังมั่นคงตราตรึงตราบจนนางสิ้นลมหายใจ"พ่อของมาเรียมเป็นคนดี เคยได้ยินไหมคนดีผีคุ้ม ยังไงก็ต้องปลอดภัย" เมฆเพื่อนเพียงคนเดียวที่ไม่เคยทอดทิ้งมาเรียมไปไหนตั้งแต่เล็กจนโต และคงไม่มีใครเป็นเพื่อนแท้เท่าเมฆได้อีกแล้ว แม้ยามสุขหรือยามทุกข์เขาก็มักจะอยู่ข้างๆ มาเรียมเสมอ"ขอบใจมากนะเมฆ" มาเรียมพูดออกมา ขณ