อดีตมันคือเรื่องราวของเมื่อวาน..แม้เพิ่งผ่านมาไม่นานจะขอจดจำแต่สิ่งดี บ้านรชนิศภานุพงศ์
คุณหญิงขวัญเรียมนั่งถอนหายใจอยู่ที่ห้องรับแขก เมื่อเห็นสภาพของลูกชายที่เหลือเพียงคนเดียวตอนนี้ชยันต์ไม่ต่างอะไรกับศพที่เดินได้ หน้าตาที่เคยหล่อเหลาเวลานี้มันรุงรังไปด้วยหนวดเครา เนื้อตัวที่ซูบผอมเสื้อผ้าที่เคยเนี้ยบ คนรีดต้องใช้เวลาและพิถีพิถันเป็นอย่างดีเขาจึงจะสวมใส่
แต่เวลานี้เขากลับสวมเพียงแค่เสื้อยืดกางเกงยีนที่ไม่ได้ถอดไปซักเป็นเวลาหลายวันแล้ว มันดูมอซอเสียจนผู้เป็นมารดาแทบทนไม่ได้ กลิ่นน้ำเมาส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลคละคลุ้งไปทั่วร่าง แทนน้ำหอมแบรนด์เนมที่เคยใช้ น้ำที่ไม่ได้ไหลชำระล้างผ่านร่างกายมาหลายวันนั้น ทำให้สภาพของเขาเวลานี้ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ใครเห็นคงไม่เชื่อแน่ว่าเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อไฟแรง ที่บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่เคยแย่งกันขายขนมจีบ
"ชยันต์แกจะหยุดดื่มได้หรือยังแม่ขอเถอะนะ แม่เหลือแกแค่เพียงคนเดียว อย่าทำให้แม่ต้องเสียใจไปมากกว่านี้อีกเลย" คุณหญิงขวัญเรียมพูดพร้อมกับเดินมานั่งลงข้างๆ ลูกชายที่โซฟา ก่อนที่จะโน้มเขาเข้ามากอดเอาไว้ แล้วลูบปอยผมของชยันต์ด้วยความรัก
จากนั้นผู้เป็นมารดาได้เอามือปาดน้ำตาที่แก้มของลูกชายออกอย่างอ่อนโยน ต่อให้ลูกชายทำผิดมากแค่ไหน ผู้เป็นมารดาก็อภัยให้ได้เสมอ แม้ว่าสิ่งที่ชยันต์ได้กระทำต่อเขมิกานั้น มันไม่น่าให้อภัยเลยก็ตามที ในเวลานี้คุณหญิงขวัญเรียมก็อดที่จะสงสารลูกชายกับสภาพที่เขากำลังเป็นอยู่ไม่ต่างจากร่างที่ไร้วิญญาณ
“ฮึกฮือ! ผมขอโทษครับแม่” เสียงร้องไห้ของชายหนุ่มพร้อมกับสะอื้นออกมาเบาๆ บ่งบอกให้รู้ว่าความเจ็บปวดที่เขาได้รับในเวลานี้นั้น มันหนักหนาเพียงใด ไม่มีใครแบ่งเบาความเจ็บปวดนี้ไปได้ เมื่อเขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเขาก็ต้องรับมันไว้เอง
"แม่ครับผมเลวจนเกินจะให้อภัย ป่านนี้เขมิกาจะเป็นอย่างไรเธอจะอยู่กับใคร"
“ทำไมแกไม่ออกตามหาเมียแกชยันต์ แกจะจมปลักดื่มเหล้าแบบนี้ไม่ได้นะ การงานแกก็ต้องรับผิดชอบ แกคือผู้สืบทอดธุรกิจจากฉันเพียงคนเดียว ตั้งสติให้มั่นแล้วตามหาเมียแกซะ"
“ฮึกฮื้อ” เสียงสะอื้นของเขาดังออกมาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงเขมิกากับลูกน้อยในครรภ์ ซึ่งเขากลับไม่กล้าบอกกล่าวผู้เป็นมารดาเรื่องลูกให้รับรู้ เพราะชยันต์กลัวว่ามารดาจะเสียใจและรับไม่ได้กับการกระทำของเขา ที่สั่งให้เขมิกาฆ่าลูกในไส้ของตัวเอง คำพูดของแม่มันดูง่าย แต่สำหรับเขาแล้วมันยากยิ่งกว่าการทำกำไรธุรกิจเป็นร้อยล้านเสียอีก เมื่อสิ่งที่เขาทำต่อเขมิกานั้นมันยากเกินกว่าที่เธอจะอภัยให้กับเขาได้
เช้าวันใหม่เสียงดังเอะอะโวยวายราวกับว่าบ้านจะถล่มก็ไม่ปาน เสียงของใครกันนั่นคือคำถามของคุณหญิงขวัญเรียม นางไม่รอช้ารีบเดินออกจากห้องแล้วลงบันไดไปด้านล่าง อยากเห็นเหลือเกินแขกที่มาเยือนในเวลานี้เป็นใครกัน ช่างไม่มีมารยาทเสียจริง
"พวกคุณเป็นใครกัน ทำไมถึงได้มาโวยวายที่บ้านของฉันตั้งแต่เช้า"
"อ๋อ..นี่คงเป็นคุณหญิงขวัญเรียมสินะ ลูกชายตัวดีของคุณหญิงไปไหน เรียกมันมาพบผมเดี๋ยวนี้!" ชายสูงวัยพูดจาปนตะคอกราวกับว่าโกรธกันมาแต่ชาติปางก่อน ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะรู้จักกันด้วยซ้ำ
"คุณมีอะไรก็ว่ามา พอดีว่าลูกชายดิฉันไม่ค่อยสบายอยู่บนห้อง"
“หึหึ...” เสียงหัวเราะในลำคอของชายสูงวัยดังขึ้นอย่างน่ากลัว พร้อมกับแววตาที่มองมายังคุณหญิงขวัญเรียมราวกับว่าเป็นศัตรูกัน
"ไม่สบายหรือหน้าตัวเมียกันแน่ มันทำลูกสาวผมท้อง! ถ้ามันไม่อยากตายก็ให้มันมารับผิดชอบลูกสาวผมซะ!"
คุณหญิงขวัญเรียมถึงกับเอามือทาบอกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็ต้องตกใจหนักกว่าเดิมเมื่อพินิจพิเคราะห์ชายสูงวัยตรงหน้า ก่อนจะนึกออกว่าเขาเป็นใคร ตายแน่ๆ เขาเป็นผู้มีอิทธิพลมาก เขาคงไม่ได้ขู่เล่นๆเพราะการฆ่าใครสักคนสำหรับเขามันง่ายกว่าปลอกกล้วยเสียอีก อย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย แม้แต่ธุรกิจของชยันต์เขาก็สามารถทำให้มันเจ๊งล้มละลายได้ในพริบตา
“อนงค์ช่วยไปเรียกชยันต์ลงมาหน่อย บอกเขาให้รับรู้ในสิ่งที่เขาได้กระทำไว้แล้วให้รีบลงมา"
"ผมชื่อทรงพล คุณหญิงคงรู้จักดีคงไม่ต้องแนะนำนะว่าผมเป็นใคร ในทีวีหรือว่าหนังสือพิมพ์ลงข่าวผมออกบ่อย ส่วนนี่คือแชมเปญลูกสาวของผมเธอกำลังตั้งท้องหลานคุณอยู่" แชมเปญมั่นหน้านั่งขาไขว่ห้างตามสไตล์ของสาวนักเรียนนอก เรื่องมารยาทไม่ต้องพูดถึง เธอไม่มีแม้แต่จะยกมือไหว้ผู้เป็นมารดาของสามีในอนาคตด้วยซ้ำ ซึ่งคุณหญิงขวัญเรียมไม่ถูกชะตาในตัวของว่าที่สะใภ้คนนี้เอาเสียเลย
เมื่ออนงค์แม่นมไปบอกกล่าวถึงเรื่องราวทั้งหมดให้กับชยันต์ฟัง เขาต้องแปลกใจเพราะทุกครั้งที่มีอะไรกับผู้หญิงทุกคนเขาจะป้องกันเสมอ มีเพียงเขมิกาเท่านั้นที่เขาตั้งใจทำให้เธอท้องเพื่อแก้แค้นอะไรบ้าๆ นั่น ซึ่งชยันต์รับรู้ถึงบาปกรรมที่มันตามทัน และมันไวยิ่งกว่าจรวดเสียอีก ยิ่งรู้ว่าแชมเปญเป็นลูกของใครทางเลือกของเขามันก็มืดมิด ทางเดียวที่จะทำให้มารดาและธุรกิจไม่เดือดร้อนก็คือการแต่งงานกับแชมเปญเท่านั้น
เมื่อเขาเดินลงไปข้างล่างสิ่งที่เขาพูดทั้งหมดคือการยอมรับทุกอย่าง แม้รู้อยู่เต็มอกว่าแชมเปญกำลังยัดเยียดเด็กในท้องให้เป็นลูกของเขาและงานแต่งก็จะเกิดขึ้นในเร็ววัน เพราะท้องของแชมเปญเริ่มโผล่เห็นได้ชัด นั่นมันยิ่งทำให้เขามั่นใจ เมื่อเปรียบเทียบกับท้องของเขมิกาแล้ว ที่เธอบอกเขาว่าท้องได้สามเดือน มันแตกต่างกันมาก ยิ่งเป็นท้องสาวไม่น่าจะโตขนาดนี้
แชมเปญขยับมานั่งใกล้ๆ พร้อมทั้งคล้องแขนและซบไหล่ออดอ้อนชายหนุ่มอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างไม่อายผู้ใหญ่ทั้งสองที่นั่งอยู่ เธอเห็นพวกเขาเป็นเพียงหัวหลักหัวตอเท่านั้น คุณหญิงขวัญเรียมถึงกับเอือมในกิริยาของว่าที่สะใภ้
เดือนต่อมา
งานแต่งถูกจัดขึ้นภายในโรงแรมหรู ซึ่งข่าวสะพัดไปทั่วทั้งหน้าหนังสือพิมพ์และทีวี ทำให้หญิงท้องแก่ที่กำลังยืนกดเลือกช่องอยู่นั้นถึงกับทรุดนั่งลงอย่างหมดแรง เมื่อคนในข่าวคือเจ้าบ่าวสามีของเธอ เขมิกาจำหน้าผู้หญิงคนนั้นได้ดี ชยันต์เคยพามาค้างที่บ้านหลายหน ทุกครั้งที่ผู้หญิงคนนี้เข้ามา หล่อนมักจะพูดดูถูกดูแคลนและด่าเธอทอเธอสารพัด โดยมีชยันต์คอยให้ท้ายส่งเสริมสนับสนุนผู้หญิงคนนี้ในการทำร้ายจิตใจของเธอ ก่อนที่เขมิกาจะถูกชยันต์เนรเทศออกไปนอนนอกห้อง
แม้ว่าเธอจะทำใจได้แล้วในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่เมื่อดูข่าวแล้วเห็นใบหน้าเขาอีกครั้ง มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจ เหมือนโดนมีดปักลงไปซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อครั้งหนึ่งในชีวิตของเขมิกา ตรงที่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ ที่ตรงนั้นคนที่ยืนเคียงข้างผู้ชายร่างสูงใหญ่มันเคยเป็นที่ของเธอมาก่อน ซึ่งมันเป็นวันคืนที่ดีที่สุดและมีความสุขที่สุดในชีวิตตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มันคือช่วงเวลาเดียวที่น่าจดจำที่สุดสำหรับชีวิตของเธอ เขาปฏิบัติกับเธออย่างอ่อนโยนราวกับเธอเป็นเจ้าหญิงในคืนส่งตัว
แต่ใครเล่าจะรู้ถึงความเจ็บปวดที่เขมิกาได้รับ เมื่อยิ่งหนีกลับยิ่งเจอ เธอเป็นคู่จิ้นกับความเจ็บปวดหรืออย่างไร รีโมตในมือถูกยกขึ้นพร้อมกับกดปุ่มปิด ก่อนที่น้ำตาจะไหลอาบแก้มสองข้างอีกครั้ง ในรอบหลายเดือนแต่ครั้งนี้เขมิกาสัญญากับตัวเองว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่เธอจะร้องไห้ให้กับผู้ชายคนนี้ที่ชื่อชยันต์ ผู้ชายที่สั่งฆ่าลูกในท้องของเธอ เขาคือสิ่งที่เธอไม่น่าจดจำอีกต่อไปในชีวิต
ใครเล่าจะรู้กับความระทมที่มี เมื่อชีวิตถูกกำหนดมาให้เป็นเช่นนี้ เด็กน้อยกลับมาจากโรงเรียน เธอพบเพียงห้องว่างเปล่า มาเรียมมองซ้ายแลขวาหามารดาผู้ให้กำเนิด จนลัลนาอดที่จะสงสารไม่ได้ เมื่อเด็กตัวแค่นี้ต้องมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ ลัลนาได้แต่หวังว่าอนาคตของมาเรียม โชคชะตาคงไม่เล่นตลกเหมือนกับที่มารดาของเธอพบเจอมา"มาเรียมคืนนี้อยู่กับแม่นานะ แม่เขมไปทำงานพรุ่งนี้เช้าก็กลับ""แม่เขมทำงานที่ไหนคะ ทำไมถึงทำตอนกลางคืน แม่เขมบอกว่าตอนกลางคืนมันอันตราย" คำถามของมาเรียมทำให้ลัลนาถึงกับสะอึก ทุกคนต่างพร่ำสอนให้มาเรียมเป็นเด็กดี ผ้าขาวผืนนี้ใครจะระบายสีอะไรลงไป จะสวยงามแค่ไหนมันคงอยู่ที่คนแต่งแต้ม อย่างน้อยมาเรียมก็โชคดีที่คนแต่งแต้มสีลงไปเป็นเขมิกา มารดาที่รักลูกปานดวงใจ คอยผลักดันส่งเสริมให้หนูน้อยมีอนาคตที่สดใจ แม้ว่าตัวเธอต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตามที"แม่เขมไปทำงาน ไปร้องเพลง มาเรียมไปอาบน้ำนะคะคนเก่ง จะได้มาทานข้าวเย็นด้วยกัน""ค่ะ แม่นา" มาเรียมเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แต่ลัลนากลับรู้สึกผิด เมื่อสิ่งที่พูดไปนั้นมันคือการโกหก ซึ่งมาเรียมเป็นเด็กฉลาด การปกปิดเรื่องนี้คงทำได้เพียงแค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
บนเส้นทางที่มืดมนคงไม่อับจนไร้สิ้นซึ่งทางเดิน วันนี้เขมิกาขอติดรถมาส่งลูกสาวด้วย ลัลนาก็ไม่ได้แย้งอะไร เพราะความเป็นจริงแล้วก็อยากให้เขมิกาได้ไปส่งลูกบ้าง อย่างน้อยมาเรียมก็จะรู้สึกอบอุ่นที่มีมารดามาส่งเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง เมื่อมาถึงโรงเรียน เขมิกาขอรอในรถไม่ต้องเอ่ยถึงเหตุผล เพื่อนอย่างลัลนาก็เข้าใจดี"เป็นเด็กดีนะคะเชื่อฟังคุณครูรู้ไหมลูก""ค่ะ สวัสดีค่ะ หนูไปแล้วนะคะคุณแม่" เด็กน้อยพูดพร้อมกับยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม ก่อนจะเข้าไปสวมกอดผู้เป็นมารดา จากนั้นจึงลงจากรถไปพร้อมกับลัลนา ก่อนจะโบกมือลามารดาของเธอ ซึ่งเขมิกานั่งอยู่ในรถที่ติดฟิล์มกรองแสงหนาทึบ ทำให้คนที่มองเข้ามาไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นใคร แต่คนอยู่ด้านในสามารถมองออกไปเห็นคนด้านนอกอย่างชัดเจนรถคันหรูแล่นเข้ามาจอดเทียบกับคันที่เขมิกานั่งอยู่ ผู้ชายร่างกำยำที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี ค่อยๆ เปิดประตู พร้อมกับอุ้มเด็กหญิงหน้าตาน่ารักวัยเดียวกับมาเรียมลงมาจากรถ ก่อนจะมีผู้หญิงสาวสวยก้าวเท้าตามลงมา สามคนพ่อแม่ลูกเดินเข้าไปภายในโรงเรียน โดยมีสายตาของเขมิกาทอดมองไปยังสามคนจนลับตา ด้วยความรู้สึกชอกช้ำในอุราเมื่อเขมิกานั่งมองภาพตรงหน้า
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป การเปิดภาคเรียนใหม่ก็มาถึง เด็กหญิงมาเรียมหน้าตาบ้องแบ๊ววัยน่ารัก เดินเข้ามาในโรงเรียน พร้อมกับมารดาที่ชื่อว่าลัลนา ทำให้ผู้ปกครองบางคนที่รู้ถึงอาชีพของเธอต่างมองมาอย่างเหยียดๆ แต่ลัลนาก็ไม่สนใจ"สวัสดีค่ะคุณครู" ลัลนาพูดพร้อมทั้งพนมมือไหว้ทักทายคุณครู ซึ่งคุณครูเองก็รีบรับไหว้พร้อมทั้งยิ้มกว้างให้กับทั้งสองอย่างเป็นกันเอง"สวัสดีค่ะคุณลัลนา หนูมาเรียม" มาเรียมยกมือขึ้นไหว้ครูไม่สวยเท่าไรนัก เพราะเด็กน้อยเริ่มจะรู้แล้วว่าที่นี่จะไม่มีมารดาของเธอ"ไหว้สวยๆ ค่ะหนูมาเรียม" ลัลนาเอ็ดมาเรียมเล็กน้อย ซึ่งเป็นการติเพื่อก่อ เมื่อลัลนสต้องการให้เด็กน้อยทำกิริยาให้งดงาม สมกับที่เป็นลูกหลานของบ้านรชนิศภานุพงศ์"ซาหวัดดีคะคุณครู" แม้จะพูดยังไม่ชัดสักเท่าไหร่นัก แต่เด็กหญิงมาเรียมก็พูดออกเสียงรอเรือได้ชัดเจน กว่าพยัญชนะตัวอื่น"สวัสดีค่ะ หนูมาเรียมไหว้สวยมากเลยนะคะ ไปค่ะคุณครูจะพาเอาของไปเก็บ แล้วไปเล่นกับเพื่อนๆ นะคะ""ฝากด้วยนะคะคุณครู""ไม่ต้องห่วงค่ะคุณลัลนา หน้าที่ของคุณครูคือการอบรมดูแลและเอาใจใส่เด็กทุกคนเป็นอย่างดีค่ะ"เมื่อลัลนาส่งมาเรียมเข้าห้องเรียนเสร็จแล้ว เธอก็
แม้ชยันต์รู้ดีว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของเขา แต่ก็อดที่จะสงสารไม่ได้ เมื่อเด็กไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ซึ่งเธอโชคร้ายที่มาเกิดในท้องของแชมเปญ เธอเป็นมารดาที่ไม่เคยแม้แต่จะอุ้มลูกด้วยซ้ำตั้งแต่คลอดออกมา แชมเปญได้ลูกสาวชื่อว่าชนัญ แปลว่าว่าคนที่แตกต่าง เพราะเธอแตกต่างจริงๆ เมื่อมีแชมเปญเป็นแม่และชยันต์เป็นพ่อด้วยเหตุผลที่เขาต้องจำยอม ไม่สามารถปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบนี้ไปได้ เวลาที่เขามองหน้าเด็กน้อยคนนี้ทีไร ทำให้นึกถึงผู้หญิงอีกคน ถ้าลูกของเขายังอยู่ป่านนี้เธอก็คงจะคลอดแล้ว เมื่อนึกถึงเขมิกาทีไร ชยันต์ก็มักเดินเข้าไปในห้องของชรัญเสมอ เพราะของทุกอย่างเขาเก็บมันเอาไว้ที่นี่เพื่อรอให้เขมิกากลับมาทั้งที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันคงไม่มีวันจะเป็นไปได้ แต่เขาก็ยังหลอกตัวเองว่าสักวันเขมิกาจะกลับมาพร้อมกับลูกน้อย เมื่ออยู่ลำพังน้ำตาของลูกผู้ชายอกสามศอกได้ไหลหยดลงมาอีกครั้ง กรอบรูปงานแต่งที่มีเขาเป็นเจ้าบ่าวเขมิกาเป็นเจ้าสาวใบหน้าอันงดงามที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้ชยันต์นึกถึงวันที่เขาพรากทุกอย่างไปจากเธอ ตั้งแต่วันที่เขาเดินเข้ามาในชีวิตของเขมิกา รอยยิ้มนั่นก
บางครั้งความเจ็บปวดมันก็ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังทุกข์ เพราะการเจ็บปวดครั้งนี้มันมาพร้อมกับความสุข รถพยาบาลแล่นเข้ามาหน้าตึกทางเข้าห้องฉุกเฉิน โดยมีหญิงท้องแก่นอนปวดท้องอยู่ภายในรถ ก่อนที่เธอจะถูกพยาบาลและบุรุษพยาบาลพาขึ้นรถเข็นเข้าไปยังห้องคลอด ภายในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวเขมิกากำลังนอนรอให้กำเนิดทารกน้อย ความเจ็บปวดและการบีบรัดบวกกับการหดตัวเป็นจังหวะของมดลูกนั้น มันมีความรุนแรงสม่ำเสมอและถี่มากขึ้นเรื่อยๆ เม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้าบวกกับความเจ็บปวดที่บ่งบอกถึงนาทีเป็นนาทีตาย ซึ่งมันเจ็บเกินคำบรรยายใดๆ หากเวลานี้มีบิดาของลูกยืนอยู่ข้างๆ คอยกุมมือให้กำลังใจและซับเหงื่อให้ มันคงจะรู้สึกดีหรืออาจจะบรรเทาความเจ็บปวดลงได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่เวลานี้เขมิกากำลังเผชิญกับความเจ็บปวดนี้เพียงลำพัง เมื่อความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากมดลูกหดรัดตัวดีขึ้นเรื่อยๆ นิการู้สึกเจ็บมากที่สุดที่เคยเจ็บมาในชีวิตนี้ ความรู้สึกครั้งนี้ทำให้เธอนึกถึงใบหน้าของผู้เป็นมารดา ในวันนั้
อดีตมันคือเรื่องราวของเมื่อวาน..แม้เพิ่งผ่านมาไม่นานจะขอจดจำแต่สิ่งดี บ้านรชนิศภานุพงศ์ คุณหญิงขวัญเรียมนั่งถอนหายใจอยู่ที่ห้องรับแขก เมื่อเห็นสภาพของลูกชายที่เหลือเพียงคนเดียวตอนนี้ชยันต์ไม่ต่างอะไรกับศพที่เดินได้ หน้าตาที่เคยหล่อเหลาเวลานี้มันรุงรังไปด้วยหนวดเครา เนื้อตัวที่ซูบผอมเสื้อผ้าที่เคยเนี้ยบ คนรีดต้องใช้เวลาและพิถีพิถันเป็นอย่างดีเขาจึงจะสวมใส่แต่เวลานี้เขากลับสวมเพียงแค่เสื้อยืดกางเกงยีนที่ไม่ได้ถอดไปซักเป็นเวลาหลายวันแล้ว มันดูมอซอเสียจนผู้เป็นมารดาแทบทนไม่ได้ กลิ่นน้ำเมาส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลคละคลุ้งไปทั่วร่าง แทนน้ำหอมแบรนด์เนมที่เคยใช้ น้ำที่ไม่ได้ไหลชำระล้างผ่านร่างกายมาหลายวันนั้น ทำให้สภาพของเขาเวลานี้ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ใครเห็นคงไม่เชื่อแน่ว่าเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อไฟแรง ที่บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่เคยแย่งกันขายขนมจีบ "ชยันต์แกจะหยุดดื่มได้หรือยังแม่ขอเถอะนะ แม่เหลือแกแ