1 อาทิตย์ต่อมา
ผมนัดเปียโนออกมาหา ที่ร้านอาหารเพียงลำพัง โดยพาน้องฮันน่าไปด้วย ผมถือเอกสารผลตรวจของตัวเองไว้ในมือแน่น เพื่อรอเปียโนออกมาพบ
"หวัดดี นายให้ฉันออกมาหาทำไมเหรอ?"
"สวัสดีคับ เปียโน"
"มีอะไร?"
"ผมกำลังจะตายคับ!"
เปียโนยกยิ้มขึ้นราวกับไม่เชื่อว่าผมจะตายจริงๆ เขายังทำท่าทียียวนกวนประสาทเหมือนเดิม
" เหอะ!"
"ฮันน่าลูก ไหว้พ่อเปียโนสิลูก ต่อไปนี้หากไม่มีพ่ออยู่แล้ว ฮันน่าต้องอยู่กับ พ่อของพะเพลง กับพะพาย และแม่พักพิงนะลูก"
เด็กน้อยฮันน่ายกมือไหว้ เปียโนอย่างเดียงสา ก่อนที่เปียโนจะขมวดคิ้วใส่ผมแน่น เพราะไม่เข้าใจว่าผมพูดเรื่องอะไร
"คุณจะแต่งงานกับเมียผมไม่ใช่เหรอ ไหง่อยู่ดีๆ จะมายกลูกให้ผมซะงั้นล่ะ?"
ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะยื่นเอกสารผลตรวจร่างกายให้กับเปียโนได้ดู เพื่อยืนยันว่า ผมกำลังจะตายจริงๆ
"มะ...มะเร็งระยะสุดท้ายเหรอ อะไรเนี่ย ล้อกันเล่นใช่ไหม?"
"ผมยอมแพ้คุณ ตั้งแต่เห็นคุณนอนกับพักพิงแล้วคับ แต่ผมไม่คิดว่า ตัวเองจะตายเร็วขนาดนี้"
"........."
"ถ้า
แต่แล้ว เมื่อฉันคุยกับแม็กทิวจบ ใบหน้าของแม็กทิว ก็พยักหน้ารับราวกับส่งสารให้ใครบางคนอย่างน่าสงสัย นัยน์ตาของเขามีน้ำตาไหลออกมาก่อนที่เงาร่างกำยำ จะขยับตัวเข้าใกล้ฉันอย่างแผ่วเบา และใช้ผ้าสีขาวโปะเข้าจมูกฉันอย่างจัง มันกดจมูกฉันอย่างแรง จนร่างกายของฉันค่อยๆ อิดโรย และดับวูบไปเหลือไว้เพียงเสียงพูดคุยกันอย่างแผ่วเบา ที่ฟังไม่ได้ศัพท์จับไม่ได้ความ เหมือนมันพูดกันว่า จะพาฉันไปที่ไหนสักแห่ง แต่ยังไม่พากลับไทย อะไรประมาณนี้ปัง!แคร่ง!!!"ล่ามดีๆ ดิว่ะ! แม่งเดียวคุณชายก็ได้กระทืบเข้าให้หรอก""ว่าแต่ ไปเอาเมียเขามาไว้แบบนี้จะดีเหรอว่ะ?""หุบปากไป!"ฉันคืนสติมาแล้ว และได้ยินในสิ่งที่มันพูดกัน ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรมารัดอยู่ที่ข้อเท้าเลยแต่ฉันก็ไม่สามารถขยับตัวได้ หากขยับตัวไปมา พวกมันอาจจะรู้ตัวว่าฉันฟื้นแล้ว และอาจจะเอาไอ้ผ้านั่น มาโปะฉันอีกก็เป็นได้ฉันเป็นห่วงเด็กๆ จัง ป่านนี้จะเป็นอย่างไงบ้างนะ ทำไมมันถึงเป็นแบบ
แกร๊ก!"มาแล้วเหรอคะ ที่รัก"ฉันเดินไปต้อนรับแม็กทิว และน้องฮันน่าอย่างทุกครั้ง ที่ทำเป็นประจำ ก่อนจะโผตัวเข้าไปกอดแม็กทิวอย่างปกติแต่วันนี้มันแปลกไป แม็กทิวดูผอมลง แถมสีผิวก็ยังคล้ำลงด้วยอีกต่างหาก ราวกับว่า เขาไม่ได้พักผ่อนมาอย่างไงอย่างงั้นและด้านข้างของเขา มีกระเป๋าใบใหญ่สีชมพูน่ารัก คาดว่าน่าจะเป็นของน้องฮันน่าอย่างแน่นอน"เออคือ แม็กทิว ทำไมเอากระเป๋าของน้องฮันน่ามาด้วยละคะ ปกติก็ใส่ชุดของน้องพะเพลงได้อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องเอามาให้ยุ่งยากเลย""เออคือ!"แม็กทิวเม้มปากลงเล็กน้อย ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้น"ไม่มีอะไรหรอกคับ ช่วงนี้ผมทำงานหนัก เลยไม่ได้พักเลย จึงอยากจะขอพักพิง ดูแลลูกสาวของผมหน่อย ในช่วงนี้ ผมอยากให้เธออยู่กับคุณตลอด เพื่อที่คุณกับเธอจะได้สนิทกันมากยิ่งขึ้น"ฉันไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่แม็กทิวพูดเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่อยากจะถามอะไรต่อให้มันเป็นประเด็น ฉันรู้ว่าตอนนี้เขาคงมีเรื่องเครียดอะไรบางอย่าง ที่บอกฉันไม่ได้ แต่ในสักวัน เขาคงกล้าที่
#พักพิง1 อาทิตย์ก่อนปัง!"เป็นไง! พอใจนายยังว่ะ?"ใบหน้าที่ไม่แสดงสีหน้าเศร้าสลดหรือรู้สึกผิด จ้องมองมาทางฉันอย่างยียวน จนน่าหงุดหงิดใจไม่น้อย"ก็เธอเป็นเมียฉันฉันนอนกับเมียตัวเองมันผิดตรงไหน?""ผิด! ผิดที่ฉันไม่ได้อยู่กินกับนายเหมือนแต่ก่อนแล้วไงและฉันก็มีแฟนใหม่แล้วด้วย!""ก็กลับไทยสิ พาลูกๆ กลับไปด้วย มีแฟนแล้วไงอ่ะ เรายังไม่ได้หย่ากันสักหน่อย""ออกไป!""อะไรนะ เธอไล่ฉันงั้นเหรอ ตามง้อแฟนไม่ได้ แล้วมาพาลใส่คนอื่นงี้ ไม่น่ารักเลยนะ พักพิง""ออกไป!""ไม่ นี่ก็บ้านฉันเหมือนกันอ่ะ เมียกับลูกฉันก็อยู่ที่นี่ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ"ฉันเดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้า อยากจะร้องกรี๊ดให้บ้านแตกไปเลย แต่ก็ทำได้แค่อดทนอดกลั้นเอาไว้"เมื่อคืนก็เสร็จไปหลายรอบอยู่นะ ไหง่ตื่นเช้ามายังโมโหได้อีก!""ไอ้เวรหนิ เมื่อคืนมันแค่อุบัติเหตุ""อุบัติเหตุง
บรรยายแบบ First person#แม็กทิวผมเดินถือดอกไม้ช่อใหญ่ ก่อนจะกดเปิดประตูบ้านของพักพิงเข้าไปแกร๊ก!"พักพิง เด็กๆ ผมกลับมาแล้วคับ""ค่ะ คุณ....คุณแม็กทิว"พี่จิ๋มรีบเดินเข้ามารับผมอย่างรวดเร็ว ทั้งที่โดยปกติแล้ว จะเป็นพักพิง ที่เดินมาต้อนรับผม ผมขมวดคิ้วเข้มลังเลใจเล็กน้อย หวั่นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพักพิงเพราะพี่จิ๋มเอง ก็หน้าซีดเผือด ตัวสั่นระริกอย่างกับมีเรื่องปิดบังผมเอาไว้ อย่างไงอย่างงั้น"พักพิงไปไหนคับ?""เออ....คือ"แกร๊ก!เสียงเปิดประตูห้องของพักพิงเปิดออก เผยให้เห็นร่างใหญ่ ที่ใส่ผ้าเช็ดตัวคลุมท่อนล่างผืนเดียว พิงอยู่หน้าประตูห้องของพักพิง"เห้อออ! เสียงดังจนฉันตื่นเลยนะ แม็กทิว"เขาบิดขี้เกียจต่อหน้าผม แถมยังทำหน้าตาเย้ยหยัน ราวกับเป็นผู้ชนะ ก่อนที่ผมจะกวาดสายตามองเข้าไปยังในห้องนอนของพักพิงแต่แล้ว ใจผมก็กระตุกวูบ ดอกไม้ในมือช่อใหญ่หล่นลงพื้นอย่างฉับพลันเมื่อเห็นพัก
1 อาทิตย์ต่อมาผมนัดเปียโนออกมาหา ที่ร้านอาหารเพียงลำพัง โดยพาน้องฮันน่าไปด้วย ผมถือเอกสารผลตรวจของตัวเองไว้ในมือแน่น เพื่อรอเปียโนออกมาพบ"หวัดดี นายให้ฉันออกมาหาทำไมเหรอ?""สวัสดีคับ เปียโน""มีอะไร?""ผมกำลังจะตายคับ!"เปียโนยกยิ้มขึ้นราวกับไม่เชื่อว่าผมจะตายจริงๆ เขายังทำท่าทียียวนกวนประสาทเหมือนเดิม" เหอะ!""ฮันน่าลูก ไหว้พ่อเปียโนสิลูก ต่อไปนี้หากไม่มีพ่ออยู่แล้ว ฮันน่าต้องอยู่กับ พ่อของพะเพลง กับพะพาย และแม่พักพิงนะลูก"เด็กน้อยฮันน่ายกมือไหว้ เปียโนอย่างเดียงสา ก่อนที่เปียโนจะขมวดคิ้วใส่ผมแน่น เพราะไม่เข้าใจว่าผมพูดเรื่องอะไร"คุณจะแต่งงานกับเมียผมไม่ใช่เหรอ ไหง่อยู่ดีๆ จะมายกลูกให้ผมซะงั้นล่ะ?"ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะยื่นเอกสารผลตรวจร่างกายให้กับเปียโนได้ดู เพื่อยืนยันว่า ผมกำลังจะตายจริงๆ"มะ...มะเร็งระยะสุดท้ายเหรอ อะไรเนี่ย ล้อกันเล่นใช่ไหม?""ผมยอมแพ้คุณ ตั้งแต่เห็นคุณนอนกับพักพิงแล้วคับ แต่ผมไม่คิดว่า ตัวเองจะตายเร็วขนาดนี้"".........""ถ้า
"ฮ่าๆ ลูกๆ ของพ่อ น่ารักจัง"ใบหน้าที่เปี่ยมล้ม ไปด้วยความสุขของเปียโน มันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่า การที่ฉันหนีออกมา โดยไม่ให้เขารู้ถึงการมีอยู่ของเด็กๆ มันกลับตอกย้ำให้ฉันรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ใบหน้าที่ดูราวกับได้พบความสุขที่สุดในชีวิตของเขา ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดจนยากเกินจะอธิบายได้"พักพิง ลูกๆ เหมือนเธอกับฉันมากเลย"ฉันไม่ได้ตอบอะไรเขา เพียงแต่ เดินหนีออกมาเพื่อให้เขาได้อยู่กับลูกตามลำพัง และแล้ว เขาก็เดินออกมาจากห้องนั่งเล่น และเดินมาหาฉันยังริมระเบียง"ที่นี่สวยนะ! เหมาะที่เด็กๆ จะได้อยู่ แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเด็กๆ มีสนามหญ้าไว้คอยวิ่งเล่น ไม่ใช่ห้องแคบๆ ที่มีพื้นที่แค่ 30 ตารางเมตรแบบนี้""นายต้องการจะสื่ออะไร?""ฉันหมายถึง เรากลับไปอยู่ไทยด้วยกันนะ ไปบริหารบริษัทของเรา ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างใคร อีกอย่างฉันอยากให้ลูกๆ มีพื้นที่ในการวิ่งเล่นด้วย"ฉันขมวดคิ้วแน่น ก่อนหันหน้าจ้องมองเขาอย่างหัวเสีย เพราะคำพูดนั้น มันทำให้ฉันรู้สึกว่าเขากำลังบังคับให้ฉันกลับไปอยู่กับเขา"