ผู้หญิงดีพร้อมที่เขาหมายถึงก็คือธรินดา น้องสาวบุญธรรมของปรัชญ์นั่นเอง เขารู้ดีว่าปรัชญ์รู้สึกลึกซึ้งกับธรินดามากกว่าน้องสาวนอกไส้ แต่มันก็ทำปากแข็งไม่เคยยอมรับความจริงกับเขาออกมาตรงๆ จนเขานึกอยากแกล้ง ถึงขนาดต้องลงทุนว่าจะไปหาธรินดาที่กรุงเทพฯ ซึ่งมันได้ผลเพราะไอ้บ้านั่นร้อนรนจนเปลี่ยนใจไปกับเขาเพื่อกันท่า ทั้งๆ ที่ตอนแรกปฏิเสธเสียงแข็งว่าจะไม่ไป ส่วนอีกเหตุผลที่เป็นเหตุผลส่วนตัวแบบไม่ได้บอกใคร ก็คืออยากทำให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้รู้ว่า แม้เขาจะร่วมรักกับเธอบ่อยแค่ไหนและบางครั้งอาจจะเผลออ่อนโยนไปบ้าง แต่เธอก็ไม่เคยมีความหมายมากไปกว่าเมียบำเรอ ที่เขาไม่เคยคิดจะยกย่องเชิดชู เขายังมองหาผู้หญิงอื่นมาอยู่เคียงข้างในฐานะภรรยาตัวจริงแทนที่ศศิประภา ซึ่งจันทริกาไม่มีวันจะได้เป็น ไม่มีวัน!
“ค่ะ”
‘ค่ะ’ สั้นๆ เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากเช่นเดิม จากนั้นก็ทำหน้านิ่งจนอ่านความรู้สึกไม่ออก ยิ่งทำให้คนที่กำลังจะไปหงุดหงิดมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่เขาบอกว่าจะไปหาผู้หญิงที่ดีพร้อมมากกว่า เพราะอยากเห็นสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวดของเธอ แต่จันทริกากลับนิ่งเฉย นิ่งจนกลายเป็นเขาที่ออกอาการเสียเอง
“หวังว่าช่วงที่ฉันไม่อยู่ เธอจะไม่คิดทำอะไรลับหลังฉัน เช่นพาคนมาขโมยของในบ้านหลังนี้ หรือพาผู้ชายเข้าบ้านนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้เธอเจ็บกว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่า”
รังสิมันต์คาดโทษคนที่ไม่มีทางสู้ ก่อนจะลากกระเป๋าออกไปยังหน้าบ้าน ซึ่งอุ้ยคำนำรถอีกคันมาจอดรออยู่ตามที่เขาสั่งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่ถึงกระนั้นจุดหมายปลายทางแรกของรังสิมันต์ก็ไม่ใช่สนามบิน แต่เป็นห้างสรรพสินค้า เพราะเขาต้องแวะไปเคลียร์งานอยู่ครึ่งวัน จึงค่อยให้อุ้ยคำไปส่งที่สนามบินเมื่อใกล้จะถึงเวลาที่จองตั๋วไว้
หลังจากเครื่องบินร่อนลงจอดที่สนามบินดอนเมือง ปรัชญ์พาเขาไปยังคอนโดมิเนียมบรรยากาศสุดหรูแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาคิดแม่เลี้ยงลักษิกากับปราณต์คงไม่รู้ว่า ปรัชญ์มีคอนโดมิเนียมและรถราคาแพงลิบลิ่วเก็บไว้ที่นี่
ร่างสูงมองสำรวจไปทั่วห้องเกือบจะทุกตารางนิ้ว จากนั้นถือวิสาสะเดินไปเปิดดูตู้เสื้อผ้าของปรัชญ์ โดยไม่คิดจะขออนุญาตและไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้นสักนิด ทำให้ปรัชญ์ที่กำลังหยิบกุญแจรถต้องหันมาถาม
“นั่นแกหาอะไร อยากได้อะไรก็บอกจะได้หยิบให้”
“ไม่ได้อยากได้อะไร แค่อยากรู้ว่าในตู้เสื้อผ้าของแกมีอะไรซ่อนอยู่ไว้หรือเปล่า”
“แกคิดว่าฉันจะซ่อนอะไรเอาไว้”
“ไม่รู้สิ เห็นแกซ่อนคอนโดฯ ซ่อนรถ ใครจะรู้ว่าอาจจะมีเมียซ่อนเอาไว้ด้วยก็ได้” รังสิมันต์ยักไหล่และลองแหย่เท้าลงบ่อจระเข้เพื่อให้มันแล่นมางับ
“ฉันน่ะซ่อนคอนโดฯ ซ่อนรถก็จริง แต่ไม่ได้มีเมียซ่อนไว้เหมือนแกหรอก” ปรัชญ์ย้อนคนช่างเสือกเข้าให้ เป็นการย้อนที่ตอกย้ำความจริงกับอีกฝ่ายที่บอกว่าจะมาจีบ ‘น้องสาว’ ที่ตอนนี้เป็นมากกว่าน้องสาวของเขาไปแล้ว
“แน่ใจ?” คิ้วเข้มของรังสิมันต์เลิกขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปจ้องหน้าที่หล่อแต่เถื่อนเป็นบ้าของปรัชญ์อย่างจับพิรุธ
“ออกไปห่างๆ ก่อนที่ตีนฉันจะลั่น”
“ไม่กลัวโว้ย มีตีนเหมือนกัน”
“เออ...อยากจะหาอยากจะค้นอะไรก็ทำซะให้พอใจ แต่ฉันจะไปแล้ว ถ้าแกไม่อยากไปพร้อมฉัน ก็นั่งแท็กซี่ไปเองก็แล้วกัน”
ปรัชญ์เดินจ้ำอ้าวออกจากห้อง รังสิมันต์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะรีบก้าวตามออกไป จากนั้นรถเฟอร์รารี่สีแดงสุดสะดุดตาก็แล่นออกจากคอนโดมิเนียม มุ่งหน้าตรงไปยังบริษัทซึ่งมีเพื่อนสนิทของพวกเขาเป็นเจ้าของ
เมื่ออยู่กันครบทีมรังสิมันต์ ปรัชญ์ และกวินภพ ก็ชวนกันไปหาอะไรดื่มตามประสาหนุ่มโสด แต่ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ธรินดากับเพื่อนๆ ไปเลี้ยงฉลองที่ผับแห่งนั้นเหมือนกัน และยิ่งไปกว่านั้นปรัชญ์เกิดมีเรื่องชกต่อยกับไอ้หนุ่มหน้าอ่อนคนหนึ่งเพราะความหึงหวง ซ้ำยังประกาศต่อหน้าทุกคนว่าธรินดาเป็นเมีย ทำให้ธรินดาโกรธและอายมาก จนขอร้องให้รังสิมันต์ไปส่งเพื่อหนีหน้าปรัชญ์
กว่าเรื่องวุ่นๆ จะจบลงเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงเที่ยงคืนกว่าๆ รังสิมันต์ขับรถเฟอร์รารี่กลับคอนโดมิเนียมของปรัชญ์ ส่วนเจ้าตัวตอนนี้ไปดักง้อเมียอยู่ที่หอพัก จึงกลายเป็นว่าคืนนี้ห้องของปรัชญ์ถูกเขาครอบครองชั่วคราว ความจริงแล้วเขาไม่นอนที่นี่ก็ได้ เขาเองมีบ้านในกรุงเทพฯ เหมือนกัน แม่ของเขาเป็นคนกรุงเทพฯ และเป็นลูกสาวคนเดียวของยาย ดังนั้นเมื่อทั้งแม่ทั้งยายเสียชีวิตไป มรดกทุกอย่างของท่านจึงตกเป็นของเขาทั้งหมด ซึ่งเขาเองไม่ค่อยได้ใส่ใจนัก เพราะเขาเกิดและเติบโตที่เชียงใหม่ จึงผูกพันกับที่นั่นมากกว่าและตั้งใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่ตลอดไป
เมื่อนึกถึงเชียงใหม่ใจก็อดประหวัดคิดถึงเมสซี่ไม่ได้ รังสิมันต์จึงหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดโทร.ออก โดยไม่เกรงใจคนที่ตัวเองโทร.หาว่าตอนนี้จะดึกดื่นแค่ไหน
ก็เขาคิดถึงเมสซี่ แต่เมสซี่ไม่มีโทรศัพท์ จึงต้องโทร.หาคนที่จะบอกกล่าวเขาได้
รังสิมันต์ย้ำกับตัวเองเช่นนั้น ขณะรอให้เจ้าของเบอร์โทร.ที่เขาโทร.หากดรับสาย
“สวัสดีค่ะ”
แม้เสียงที่ตอบกลับมานั้นจะราบเรียบและนุ่มหูเป็นธรรมชาติ แต่รังสิมันต์ก็สัมผัสได้ถึงความงัวเงียของคนที่ถูกปลุก ซึ่งเป็นเสียงที่ทำให้เขานึกอยากเห็นใบหน้าหวานๆ ยามตื่นนอนใหม่ๆ ขึ้นมาอย่างมากล้น จนต้องรีบเตือนตัวเองว่าให้ทำเสียงดุๆ กลับไป ไม่เช่นนั้นเด็กคนนั้นอาจจะลำพองใจและเข้าข้างตัวเองว่าเขาคิดถึง ถึงโทร.มาตอนดึกดื่นแบบนี้
บทที่ 44ผู้หญิงดีพร้อมที่เขาหมายถึงก็คือธรินดา น้องสาวบุญธรรมของปรัชญ์นั่นเอง เขารู้ดีว่าปรัชญ์รู้สึกลึกซึ้งกับธรินดามากกว่าน้องสาวนอกไส้ แต่มันก็ทำปากแข็งไม่เคยยอมรับความจริงกับเขาออกมาตรงๆ จนเขานึกอยากแกล้ง ถึงขนาดต้องลงทุนว่าจะไปหาธรินดาที่กรุงเทพฯ ซึ่งมันได้ผลเพราะไอ้บ้านั่นร้อนรนจนเปลี่ยนใจไปกับเขาเพื่อกันท่า ทั้งๆ ที่ตอนแรกปฏิเสธเสียงแข็งว่าจะไม่ไป ส่วนอีกเหตุผลที่เป็นเหตุผลส่วนตัวแบบไม่ได้บอกใคร ก็คืออยากทำให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้รู้ว่า แม้เขาจะร่วมรักกับเธอบ่อยแค่ไหนและบางครั้งอาจจะเผลออ่อนโยนไปบ้าง แต่เธอก็ไม่เคยมีความหมายมากไปกว่าเมียบำเรอ ที่เขาไม่เคยคิดจะยกย่องเชิดชู เขายังมองหาผู้หญิงอื่นมาอยู่เคียงข้างในฐานะภรรยาตัวจริงแทนที่ศศิประภา ซึ่งจันทริกาไม่มีวันจะได้เป็น ไม่มีวัน!“ค่ะ”‘ค่ะ’ สั้นๆ เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากเช่นเดิม จากนั้นก็ทำหน้านิ่งจนอ่านความรู้สึกไม่ออก ยิ่งทำให้คนที่กำลังจะไปหงุดหงิดมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่เขาบอกว่าจะไปหาผู้หญิงที่ดีพร้อมมากกว่า เพราะอยากเห็นสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวดของเธอ แต่จันทริกากลับนิ่งเฉย นิ่งจนกลายเป็นเขาที่ออกอาการเ
บทที่ 43 อากาศในยามอรุณรุ่งยังคงมีหมอกลงหนาทึบ ทำให้บรรยากาศทั่วอาณาบริเวณหนาวเย็นเหมือนเช่นทุกเช้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาตีสี่กว่าๆ แบบนี้ หากเช้านี้จันทริกากลับรู้สึกว่าความหนาวเย็นนั้นไม่ได้กระทบผิวกายของเธอมากเท่าไหร่ เพราะมีความอบอุ่นบางอย่างที่คอยโอบล้อม ทำให้ร่างบางเผลอซุกเข้าหาความอบอุ่นนั้นอย่างลืมตัว ครั้นพอลืมตาตื่นก็รีบถอยห่างแบบเป็นอัตโนมัติเช่นกัน ทว่าแค่แรงดิ้นเบาๆ นั้นก็ทำให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ ตวัดแขนคว้าเอาร่างบางเข้าไปนอนกอดอีกครั้ง จันทริกาแก้มแดงซ่านท่ามกลางความมืดเพราะรู้สึกได้ว่า ร่างกายของรังสิมันต์ยังคงเปลือยเปล่า “จะขยับไปไหน” เขาพึมพำทั้งที่ยังไม่ลืมตา แขนแกร่งกอดร่างบางมาแนบชิดแน่นกว่าเดิม “จันทร์ต้องลุกแล้วค่ะ คุณปล่อยจันทร์เถอะนะคะ” “ไม่ปล่อย จะรีบตื่นไปไหนแต่เช้า” “ตื่นไปเตรียมอาหารให้คุณ และเตรียมตัวไปทำงานไงคะ” “วันนี้เธอไม่ต้องไปทำงาน ส่วนอาหารเช้าฉันก็ไม่กิน เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอมีหน้าที่นอนนิ่งๆ ให้ฉันกอดก็พอ ห้องเธอหนาวจะตายไม่รู้หรือไง” “ไหนคุณ
บทที่ 42สี่โมงเย็นของวันนั้น รังสิมันต์ออกจากห้องทำงานแล้วลงมาหาจันทริกาที่ห้องล็อกเกอร์ สั่งให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับบ้านพร้อมเขา ทั้งๆ ที่เวลาเลิกงานของพนักงานกะเช้าคือหกโมงเย็น“เธอยังกินยาคุมอยู่หรือเปล่า” รังสิมันต์ถามขณะนั่งรับประทานมื้อเย็นอยู่ที่โต๊ะในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่“กินค่ะ” คำตอบนั้นเป็นคำตอบที่สั้นๆ น้ำเสียงราบเรียบ แต่หัวใจหม่นหมองมากเหลือเกิน เพราะรังสิมันต์ดูเหมือนจะกังวลและย้ำเรื่องนี้กับเธออยู่บ่อยครั้ง เขาคงกลัวว่าจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นและเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาจะอุบัติในท้องของผู้หญิงที่เขามองว่าเลวร้ายอย่างเธอ“งั้นก็ดี คืนนี้เธอขึ้นไปนอนกับฉัน”ช่างเป็นคำสั่งที่พูดออกมาได้อย่างเฉยเมยเย็นชาราวกับสั่งไปเธอทำงานทั่วไป แต่คนไม่มีทางเลือกอย่างเธอจะต่อต้านหรือปฏิเสธอะไรได้ ในเมื่อความต้องการของเขาคือสิ่งที่เธอต้องทำตามหลังจากเก็บโต๊ะเสร็จ จันทริกาก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า บอกให้เมสซี่นอนรออยู่ที่ห้อง เพราะรู้ดีว่าเมื่อรังสิมันต์บรรลุความต้องการของเขาแล้ว เธอก็จะต้องกลับลงมานอนที่ห้องเล็กๆ ห้องนี้ดังเดิมแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ความกระดากอายยา
บทที่ 41รถที่สมรรถสูงสมราคาแล่นฉิวเข้ามาในที่จอดประจำโดยใช้เวลาไม่นานนัก รังสิมันต์ก้าวลงจากรถแล้วสั่งให้จันทริกาเดินไปหาหัวหน้าแม่บ้านที่ห้องล็อกเกอร์ ส่วนตัวเองตรงขึ้นไปยังห้องทำงานเพราะเมื่อวานนี้ทราบแล้วว่าห้องล็อกเกอร์อยู่ตรงไหน จันทริกาจึงไปหาหัวหน้าแม่บ้านที่นั่นโดยไม่ต้องมีใครพาไป หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จเธอได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดห้องน้ำที่ชั้นสามและชั้นสี่เช่นเดิม หญิงสาวพยายามมองหาคนในบ้านที่รังสิมันต์ให้มาทำงานที่นี่ ทว่าก็ไม่ได้พบใคร เพราะทุกคนอยู่ในแผนกอาหารสดกันหมด เธอจึงได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่มีโอกาสได้พูดคุยทักทายกับใครเลย ร่างเล็กบางที่กำลังหิ้วถังน้ำและไม้ถูพื้นเข้าไปห้องน้ำ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของรังสิมันต์อยู่แทบจะทุกย่างก้าว เพียงแต่วันนี้เขายืนมองอยู่ไกลๆ ไม่ได้เข้ามาคุมแจอยู่ข้างในเหมือนเมื่อวาน หลังจากที่เข้าไปทำความสะอาดห้องน้ำชั้นสามเสร็จ จันทริกาถืออุปกรณ์ทั้งหมดออกมาด้านนอก เตรียมจะไปทำความสะอาดที่ห้องน้ำชั้นสี่ต่อ แต่เธอต้องหันหลังกลับไปมอง เมื่อมีใครบางคนเรียกชื่อเธออย่างคุ้นเคย
บทที่ 40เวลาเกือบสี่ทุ่ม กว่าที่รังสิมันต์กับปรัชญ์จะแยกย้ายกันกลับบ้าน แม้ปากบอกว่าจะไปดื่มเหล้าด้วยกัน แต่ต่างคนต่างก็ไม่ได้ดื่มหนักอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นคุยกันสัพเพเหระซะมากกว่า หรือถ้าให้พูดตรงๆ เรื่องดื่มเหล้ามันก็เป็นแค่ข้ออ้างสำหรับการออกไปเที่ยวเตร่ตามประสาผู้ชายโสดเท่านั้นออดี้สีเหลืองแล่นมาจอดที่หน้าบ้านอย่างคล่องตัว คนขับจัดการดับเครื่องดึงกุญแจออกแล้วเดินตรงเข้าไปในบ้านเลย โดยไม่ได้สนใจจะขับรถราคาแรงนั้นไปจอดในโรงรถแต่อย่างใด ด้านนอกไฟยังคงสว่างไสว ทว่าภายในบ้านไฟกลับถูกปิดเกือบทุกดวง ยกเว้นตรงบริเวณทางขึ้นบันไดชั้นสองเท่านั้นที่เปิดอยู่ร่างสูงก้าวขาไปยังบันไดเพื่อขึ้นห้อง ทว่าอยู่ๆ ก็เปลี่ยนใจกะทันหัน หันหลังกลับแล้วเดินตรงไปยังห้องนอนชั้นล่างแทนเขาหยิบกุญแจสำรองที่แอบเก็บไว้ติดตัวตลอดเวลาออกมา กำลังจะไขเข้าไปอย่างถือวิสาสะ แต่ก็ชะงักมือเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงหวานแว่วดังออกมานอกห้องเบาๆ“นอนลงๆ เป็นเด็กว่าง่าย นอนได้แล้วเมสซี่ วันนี้จันทร์ง่วงมาก แล้วก็ไม่มีอะไรจะคุยให้เมสซี่ฟังด้วย ฝันดีนะ”แม้เสียงนั้นจะเล็ดลอดออกนอกห้องมาแค่แผ่วเบา แต่ด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบของบ้าน ร
บทที่ 39สินชัยเดินนำไปทางห้องล็อกเกอร์ของแม่บ้าน บอกหัวหน้าแม่บ้านให้หาชุดให้จันทริกาเปลี่ยน จากนั้นหญิงสาวก็ถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเดินตามหัวหน้าแม่บ้านไปยังห้องน้ำที่อยู่ชั้นสาม “เดี๋ยวทำที่นี่เสร็จ ขึ้นไปทำที่ชั้นสี่ต่อเลยนะ” หัวหน้าแม่บ้านออกคำสั่งกับจันทริกาอีกคน “ค่ะ” “งั้นก็ลงมือได้เลย เดี๋ยวป้าจะไปตรวจความเรียบร้อยที่ชั้นอื่นก่อน เสร็จแล้วจะขึ้นมาตรวจดูที่ชั้นสามอีกรอบ” หัวหน้าแม่บ้านบอกเสร็จก็ออกไปจากห้องน้ำชั้นนั้น เพื่อไปตรวจความเรียบร้อยของชั้นอื่นๆ ตามหน้าที่ตัวเอง ประตูห้องน้ำที่ถูกแขวนป้ายด้านนอกว่ากำลังทำควาสะอาดถูกผลักเข้ามาอีกรอบ ทำให้จันทริกาซึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตาขัดล้างทำความสะอาดห้องน้ำอยู่หันขวับไปมอง แล้วก็เห็นว่าคนที่เข้ามานั้นก็คือรังสิมันต์นั่นเอง “คุณตะวัน…” “ฉันแค่เข้ามาดูเธอว่าทำความสะอาดได้เรียบร้อยดีหรือเปล่า” ได้ยินคำตอบแบบนั้นจันทริกาก็หันไปตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดต่อ โดยไม่ได้พูดจาใดๆ กับเขาอีก เสร็จจากห้องนั้นก็ต่อห้องนี้ จนกระทั่งครบทุกห้