LOGINฮูหยินเอกว่านลู่เหมยชะงัก นางไม่คิดว่าจะถูกย้อนยอกเช่นนี้ ราวกับถูกอนุกัวตบหน้า ทุกคำพูดล้วนเสียดแทงใจ นางเลี้ยงลูกไม่ดีจึงทำให้บุตรสาวร่างกายอ่อนแอ ความผิดล้วนเป็นของนาง แต่นางไม่สนใจอีกต่อไป ตอนนี้นางมีหมอหลวง หมอเทวดาที่ช่วยรักษาบุตรสาวให้ฟื้นคืนชีวิต ขนาดคนตายยังรักษาให้ฟื้นขึ้นมาได้นับประสาอะไรกับโรคที่บุตรสาวนางเป็น ไม่นานย่อมหายดี
หากกัวซื่อผู้นี้ เป็นเพียงอนุแต่กล้าหยามเกียรตินางและบุตรสาว เพราะถือว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายเจียงหมิ่นโปรดปรานนาง และตอนนี้กัวซื่อยังเหิมเกริมพูดจาว่านางถูกสามีหมางเมินต่อหน้าบ่าวไพร่ ทำให้นางต้องอับอายขายหน้า
ได้ กัวซื่อ หากข้าไม่ลงโทษเจ้าให้เป็นเยี่ยงอย่าง บ่าวไพร่ในจวนมีหรือจะยำเกรงข้า ว่านลู่เหมยคิดในใจอย่างโกรธเกรี้ยว ที่ผ่านมา นางยอมหลับตาข้างหนึ่งเรื่องอนุภรรยาของสามีมาตลอด แต่ดูเหมือนกลับทำให้นางหญิงชั้นต่ำเหล่านี้ไม่เกรงกลัวนาง
“พ่อบ้าน” ว่านลู่เหมยเรียกหาพ่อบ้านประจำจวน
“ขอรับ ฮูหยินเอกมีคำสั่งใด”
“ลงโทษอนุกัวตามกฎบ้าน โบยยี่สิบไม้และกักบริเวณนางให้อยู่ในแต่ในเรือนห้าวัน ห้ามออกนอกเรือน หากไม่เชื่อฟัง ให้โบยอีกสิบไม้และกักบริเวณนางอีกสิบวัน”
“ขอรับ”
พ่อบ้านรีบสั่งบ่าวรับใช้ให้ไปหยิบไม้พลองสำหรับโบยมาทันที
“ฮูหยินเอก ท่านลงโทษข้าไม่ได้นะ ข้าไม่ได้ทำผิดอันใด” อนุกัวโต้แย้งและหันมาหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายเจียงหมิ่น
“ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ฮูหยินเอกรังแกข้า ข้าไม่ได้ทำผิดอะไรสักอย่าง นางก็สั่งลงโทษข้า”
เจียงหมิ่นกำลังจะอ้าปากออกรับแทนกัวซื่อ ทว่า...
“อนุกัว เจ้ากล่าวว่าเจ้าไม่ได้ทำผิด แต่การที่เจ้าต่อปากต่อคำกับข้าผู้เป็นฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี แค่นี้เจ้าก็มีความผิดมหันต์แล้ว ที่ผ่านมาข้าเพียงคร้านจะมีเรื่องรกตารำคาญใจ จึงปล่อยผ่าน แต่กลายเป็นว่าอนุเช่นเจ้าไม่รู้สำนึก กำเริบเสิบสานขึ้นเสียงกับข้า เช่นนี้เรียกว่าไม่มีความผิด?”
อนุกัวนิ่งอึ้ง ที่ผ่านมานางถือว่าได้รับความโปรดปรานจากเสนาบดีฝ่ายซ้ายเจียงหมิ่นมากกว่าผู้ใด อีกทั้งฮูหยินเอกก็ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยว ปล่อยให้นางหลงระเริงกับความโปรดปรานที่ได้รับ
“เจ้าอยู่จวนเสนาบดีมานาน สมควรทราบกฎบ้านดีว่าเหล่าภรรยาทั้งหลายต้องเชื่อฟังฮูหยินเอก แล้วเจ้าเล่า อนุกัว เพียงเจ้าได้รับความชื่นชมเล็กๆ น้อยๆ จากสามีข้า เจ้าก็เหิมเกริม ทำตัวประหนึ่งว่าเจ้าเป็นฮูหยินเอก ที่ผ่านมาเจ้าคงลืมไปกระมังว่าเจ้าเป็นเพียง ‘อนุ’ หรือให้พูดชัดๆ ก็ต้องกล่าวว่า ‘สาวใช้อุ่นเตียง’ ที่ได้รับการยกฐานะขึ้นมาสักหน่อย”
“อนุเช่นเจ้า แค่เพียงทอดกายให้บุรุษสักคน หากเขาโปรดปราน เจ้าก็ได้รับการยกฐานะให้เป็นอนุ ทั้งเจ้ายังลืมไปกระมังว่าด้วยฐานะของครอบครัวเจ้าที่บิดามารดาเป็นเพียงพ่อค้า เจ้าไม่มีทางขึ้นเป็นฮูหยินได้ ตำแหน่งสูงสุดที่เจ้าได้รับจึงเป็นเพียงอนุเท่านั้น ข้าพูดเท่านี้ คนฉลาดอย่างเจ้าคงเข้าใจชัดเจน”
อนุกัวนิ่งอึ้ง นางเพิ่งรับทราบถึงความปากร้ายของฮูหยินเอกว่านลู่เหมย ช่างก่นด่านางได้เจ็บแสบนัก
“ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย” กัวซื่อหันไปขอความช่วยเหลือจากเจียงหมิ่น
“ฮูหยิน ข้าว่าเจ้าอย่าถือสากัวซื่อเลย นางเพียงปากพล่อยเท่านั้น”
“ปากพล่อย? ท่านก็ทราบว่านางปากพล่อย แล้วไยท่านจึงไม่ห้ามปรามนาง ปล่อยให้นางมาลบหลู่ข้าที่เป็นฮูหยินเอกของท่าน ที่ผ่านมาท่านยังปล่อยให้นางปากพล่อยกล่าววาจาให้ร้ายข้าไปทั่วทั้งจวน ไม่ทราบว่าท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายหูหนวกตาบอดหรือไร” ฮูหยินเอกว่านลู่เหมยลงเสียงหนัก
“เอ่อ...แต่โทษโบยก็ออกจะหนักไปสักนิด” เจียงหมิ่นตอบกลับ
“อ้อ ! โทษโบยคือหนักไปสำหรับนาง แล้วการที่นางปากพล่อยว่าร้ายลับหลังข้ามาหลายปี นี่ไม่หนัก?”
คำพูดนี้ทำให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายนิ่งอึ้งไป
“เอ่อ...อย่างนั้นก็โบยนางเพียงสามไม้ก็พอ” เขาต่อรองให้อนุคนโปรด
ว่านลู่เหมยต้องแค่นหัวร่อในใจ ก่อนหน้าราวสองเค่อ เขาเพิ่งบอกว่ารักนาง ขอโอกาสจากนาง หากเวลานี้ เขากลับต่อรองให้อนุที่ทำผิด น่าขันนัก
“สามไม้? หากลงโทษเพียงเท่านี้ เช่นนั้นจะมีกฎบ้านไว้เพื่ออะไร” เจียงหมิ่นต้องนิ่งอึ้งไปอีกรอบ
“พ่อบ้าน” ว่านลู่เหมยหันไปเรียกพ่อบ้านที่ยืนรอรับคำสั่ง ในมือพ่อบ้านถือไม้พลองสำหรับโบยรออยู่แล้ว
“โบยอนุกัวยี่สิบไม้” คำสั่งเด็ดขาดของฮูหยินเอกแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายดังออกมา
“ขอรับ”
บ่าวชายสองคนเข้าจับแขนอนุกัวคนละข้างและกดให้นางนอนคว่ำลงบนแท่นไม้ยาวที่ถูกยกมาสำหรับโทษโบยครั้งนี้
“ไม่นะ กล้าดีอย่างไรมาโบยข้า ว่านลู่เหมย เจ้าลงโทษข้าไม่ได้” อนุกัวกรีดร้อง นางพยายามดิ้นรนสุดกำลัง
“ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย” นางร้องเรียกเสนาบดีฝ่ายซ้ายเจียงหมิ่น
“ฮูหยิน อย่าโบยนางเลยนะ นางสำนึกผิดแล้ว” เจียงหมิ่นบอกออกมา
ว่านลู่เหมยแค่นยิ้มก่อนจะกล่าว “ข้าไม่โบยนางก็ได้...”
คำพูดนี้ทำให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายเจียงหมิ่นยิ้มออกมา อนุกัวใจชื้นขึ้นทันที บ่าวชายที่จับอนุกัวไว้ก็หยุดนิ่งหากไม่ปล่อยนาง
“...แต่ถ้าไม่ให้ข้าโบยนาง ข้าจะหย่ากับท่าน แล้วพามี่เอ๋อร์กลับจวนแม่ทัพ”
คำพูดนี้ทำให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายเจียงหมิ่นตะลึงงัน
คล้อยหลังหมอหลวงได้ครู่เดียว เสี่ยวจูก็เข้ามา นางยกมือขึ้นลูบคลำเจียงลี่มี่ทั้งตัว เดินวนรอบตัวไปมา จนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก“ข้าตกใจเสียงกรีดร้องเมื่อครู่ แต่ติดตรงที่ไม่ใช่เสียงคุณหนูใหญ่ ข้าจึงรออยู่ด้านนอก” เสี่ยวจูบอก“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่เล่นสนุกนิดหน่อย” เสี่ยวจูมองหน้าคุณหนูของนางอย่างประหลาดใจ คุณหนูของนางรู้จักเล่นสนุกตั้งแต่เมื่อใด“เสี่ยวจู เจ้าออกไปก่อน” ฮูหยินเอกว่านลู่เหมยสั่ง“เจ้าค่ะ”“มี่เอ๋อร์ เจ้ามานั่งคุยกับแม่สักหน่อย” ว่านลู่เหมยบอกบุตรสาวที่ยังคงยืนอยู่ข้างโต๊ะที่เคยวางกาน้ำชาเจียงลี่มี่ค่อยๆ เดินไปนั่งที่ตั่งคนงามข้างคุณแม่ของเธอในนิยายแต่โดยดี นึกรู้ได้ว่าคุณแม่ต้องจับความผิดปกติได้ และเธอกำลังจะถูกซักฟอก“เจ้ามีอะไรจะบอกแม่หรือไม่”เจียงลี่มี่นิ่งอึ้ง กับคนอื่นเธอเสแสร้งแสดงละครได้ แต่กับว่านลู่เหมย เธอไม่คิดจะเสแสร้ง เพราะคุณแม่คนนี้รักเธอสุดหัวใจเห็นบุตรสาวนิ่งเงียบ ท่าทีคล้ายไม่ทราบว่าจะบอกกล่าวเช่นไร ว่านลู่เหมยต้องยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู“ถ้าเจ้านึกไม่ออกว่าควรเริ่มต้นที่เรื่องใด แม่ว่าเจ้าเริ่มที่เจ้าแสร้งทำเป็นเจ็บปวดเมื่อเหม
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าเผลอบีบแรงไป เจ็บมากมั้ยเจ้าคะ ขอข้าดูสักหน่อย” เหมยฮวายื่นมือมาอีกครั้ง แต่เจียงลี่มี่เอามือไปแอบด้านหลัง น้ำตาคลอ สีหน้าเจ็บปวด“ไม่เป็นไร ข้าเกรงว่าร่างกายที่อ่อนแอของข้าจะทนไม่ไหว แค่แตะเบาๆ ข้าก็เจ็บมากแล้ว” เหมยฮวาชะงักไป มองเจียงลี่มี่อย่างอึ้งๆ ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้า“เช่นนั้นข้าจะระวัง ไม่แตะโดนตัวท่านเจ้าค่ะ ท่านจะได้ไม่เจ็บ” เจียงลี่มี่ลอบยิ้มเหมยฮวายื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย แต่ทันทีที่สัมผัส เจียงลี่มี่ก็ชักมือกลับพร้อมกับร้องด้วยความเจ็บปวด“โอ๊ย..เจ็บ ! มือของเจ้า ยิ่งเย็นข้ายิ่งรู้สึกเจ็บ”เหมยฮวาต้องตกใจ นางไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ไม่คิดว่าเพียงมือของนางที่เย็นเพราะอากาศ จะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดได้เช่นนี้“ข้า...ข้า...ข้าจะทำเช่นไรดี ข้าไม่รู้แล้วเจ้าค่ะ”เจียงลี่มี่มองท่าทางของเหมยฮวาด้วยสายตาอ่อนโยน หากในใจต้องยิ้มเยาะ เธอกำลังวางแผนบางอย่าง“เจ้าอย่าเพิ่งโดนตัวข้าเลย ข้าเกรงว่าจะรู้สึกเจ็บ...โอ๊ย...” เสียงร้องโอดครวญของเจียงลี่มี่พลันดังขึ้นเหมยฮวาสะดุ้งตกใจ นางยังไม่ได้โดนตัวของอีกฝ่ายเลย เหตุใดจึงเจ็บได้ เกรงว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไป อาจเกิดปัญหากับตัวน
เจียงลี่มี่ร้องไห้แทบขาดใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ สุดท้ายเธอก็ล้มเลิกความฝัน และเดินหน้าต่อด้วยการเป็นดารา แม้อาอี้จะคอยบอกให้เธอเปิดร้าน แต่สุดท้ายเธอก็ถูกแม่บงการชีวิตอยู่ดีทั้งชีวิตเธอทำเพื่อคนอื่นมาตลอด แต่สิ่งที่เธอได้รับคือความเจ็บปวด แม้แต่ตอนที่ใกล้จะตาย คนที่ทำร้ายเธอก็คือคนที่เธอรัก ภาพทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเธอ เป็นความทรงจำที่เธอไม่เคยลืม“อาหลงรักเจเจ้ที่สุดเลย” เสียงเด็กชายตัวน้อยเอ่ยด้วยความดีใจ มองของเล่นในมือตาเป็นประกาย“เจเจ้ก็รักอาหลงที่สุดเหมือนกัน” เธอกอดน้องชายด้วยความรักและเอ็นดู เธอตั้งใจเก็บเงินเพื่อซื้อของเล่นที่น้องชายอยากได้ มอบให้เป็นของขวัญวันเกิด“อาหลงรักเจเจ้ที่สุด โตขึ้นอาหลงจะดูแลเจเจ้เอง จะหาเงินซื้อของเล่นให้เจเจ้บ้าง” เด็กสาวยิ้มกว้าง หอมแก้มน้องชายซ้ายขวา“ไม่เป็นไร เจเจ้ไม่อยากได้ แค่อาหลงมีความสุข เจเจ้ก็มีความสุขมากแล้ว” เด็กชายตัวน้อยพยักหน้า“อาหลงจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อกับเจเจ้ จะไม่ทำให้เจเจ้เสียใจ”เจียงลี่มี่น้ำตาคลอเมื่อนึกถึงเรื่องในตอนนั้น ความทรงจำที่มีความสุข เพราะหลังจากนั้นไม่กี่ปี อาหลงก็ไม่สนใจเธออีกเลย มองเธอด้วยสายตาเ
“เหตุใดพี่ลี่มี่จึงคิดว่าเป็นข้า ข้าเป็นน้องสาวท่าน ไม่เคยคิดทำร้ายท่าน” เจียงลี่มี่กุมท้องด้วยความเจ็บปวด เธอรู้สึกราวกับถูกเข็มนับพันหมื่นเล่มทิ่มแทงภายในร่าง“เลิกแสดงละครได้แล้ว ! หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร ทันทีที่ข้าดื่มชาที่เจ้ามอบให้ ข้าก็เป็นเช่นนี้” เธอตวาดเสียงกร้าวก่อนจะพ่นโลหิตออกมา ยิ่งเธอโมโห พิษยิ่งทำร้ายเธอมากกว่าเดิมเหมยฮวามองภาพตรงหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมาในที่สุด“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่คิดว่าพี่ลี่มี่จะรู้ตัวเร็วเช่นนี้ ใช่ ข้าเอง”เหมยฮวาเชยคางเธอขึ้นมา สบตาอย่างท้าทาย เจียงลี่มี่สะบัดหน้าหนีจากมือนั้น“ข้าดีกับเจ้า ไม่เคยทำร้ายเจ้า เพราะเหตุใด”เหมยฮวาลูบผมของเจียงลี่มี่ มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยโลหิตของเจียงลี่มี่อย่างมีความสุข“เจ้าดีกับข้า แล้วข้าต้องดีกับเจ้า? โง่เง่า ! ชีวิตนี้ข้าไม่มีทางดีกับเจ้า ข้าเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ จะไปเทียบชั้นเจ้าได้อย่างไร ทุกสิ่งล้วนถูกเจ้าแย่งชิง แม้แต่บุรุษที่ข้าชมชอบก็ถูกเจ้าแย่งไป หากข้าไม่กำจัดเจ้า ข้าไม่มีวันมีความสุข”ใบหน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น เจียงลี่มี่มองอย่างชิงชัง เธอแค้นใจยิ่งนักเมื่อเห็นรอยยิ้มของเหมยฮวา สตรีที่เธอคิดว่
"คุณหนูใหญ่...นี่ข้าเอง เสี่ยวจูไงเจ้าคะ ท่านเป็นอะไรไป หรือ...หรือข้าทำให้ท่านเจ็บตรงไหน ให้ข้าช่วย...หะ..ให้ข้าไปตามคนมาช่วยนะเจ้าคะ"เสี่ยวจูมีท่าทางหวาดกลัว นางกำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่ ๆ คุณหนูใหญ่ก็บ่นว่ารู้สึกอ่อนล้า หายใจไม่ออก จากนั้นก็ล้มตัวลงนอน แล้วไม่ฟื้นอีกเลย ไม่ว่านางจะพยายามปลุกอย่างไร จึงตัดสินใจจะไปตามคนมาช่วย แต่คุณหนูใหญ่ก็ขยับตัวเสียก่อน"เธอเป็นใคร แล้วทำไมฉันมาอยู่ที่นี่"เจียงลี่มี่ถามด้วยความสงสัย รอบตัวของเธอตอนนี้มีแต่สิ่งที่เธอไม่คุ้นเคย"ที่นี่คือจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายเจ้าค่ะ ข้าคือเสี่ยวจู ข้าเป็นสาวใช้ของคุณหนูอย่างไรเจ้าคะ...”เจียงลี่มี่ตกตะลึง อะไรคือจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เสี่ยวจูตรงหน้านี่คือใคร“...หรืออาการของคุณหนูกำเริบ จึงสูญเสียความทรงจำ ข้า...ข้า..ข้าจะไปตามนายท่านกับฮูหยินเอกมา..คะ..คุณ..คุณหนูรอข้าก่อนนะเจ้าคะ"เด็กน้อยเสี่ยวจูกำลังจะวิ่งออกไป แต่เธอมือไวคว้าไว้ได้เสียก่อน แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเธอสวมใส่เสื้อผ้าแบบโบราณ"อย่า..อย่าเพิ่งไป เอากระจกให้ฉัน" เจียงลี่มี่กระสับกระส่าย หวาดกลัว เสี่ยวจูยื่นกระจกให้ เธอรีบคว้ามา แล้วส่องดูหน้
“ไม่ใช่…แต่จะตัดทั้งพวงให้ขาด แล้วเอาไปทำกับข้าวให้นังเมียน้อยกิน อยากได้นักก็จะยกให้เลย ยิ่งรักกันปานจะกลืนกินยิ่งดี จะได้สมปรารถนาทั้งกิน ทั้งกลืน ฮ่าฮ่าฮ่า”เจียงลี่มี่อึ้ง ไม่คิดว่าคนใจเย็นอย่างอาอี้จะพูดแบบนี้ น่ากลัวกว่าที่คิด“อาอี้ทำฉันอึ้งนะเนี่ย แอบร้ายด้วย อีกอย่างนะเรื่องนี้มีบางอย่างพิเศษสำหรับฉันด้วย”“อะไร?” อาอี้สงสัย“พี่สาวของนางเอกเรื่องนี้นะสิ ชื่อเดียวกับฉันเลย เจียงลี่มี่ ชีวิตเธอก็อาภัพไม่ต่างกับฉันเลย”“โห..บังเอิญจริง ๆ แล้วเจียงลี่มี่ในเรื่องเด่นมากไหม เป็นถึงพี่สาวนางเอก บทต้องไม่น้อยแน่ ๆ”“เยอะมาก เด่นมากเลยล่ะ” เจียงลี่มี่พูดไปขำไปกับน้ำเสียงของอาอี้ที่เหมือนจะตื่นเต้นราวกับเป็นชื่อของตัวเอง“มีกี่บทที่พูดถึง หรือมีบทตลอดทั้งเรื่อง”“มีตั้งสามบรรทัด เยอะมากเลยใช่มั้ยล่ะ” เจียงลี่มี่อยากรู้ว่าอาอี้จะพูดอะไร เพราะที่เธออ่านนั้น บทเจียงลี่มี่ในนิยายมีแค่สามบรรทัด เรียกว่าเปิดตัวมาก็ตายเลย“หาาาาา! สามบรรทัด จะบ้าเรอะ นี่มันน้อยยิ่งกว่าบทนำเสียอีก คงไม่ใช่ว่าเปิดตัวมาปุ๊บก็ตายปั๊บอะไรแบบนี้นะ”อาอี้ค่อนขอด คนเขียนใจร้ายจริง ๆ เขียนมาได้ไงยะ สามบรรทัด น้อยเกิน







