จินเฟยเทียนจากที่จะเตรียมตัวทำตามสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้ ก็ต้องหันกลับลงมามองหยางหมิงเซียนที่ยามนี้อีกฝ่ายเอื้อมมือมากอดตัวเขาเอาไว้จนแน่น
“เด็กน้อย เจ้า...”
“เจ้าไม่กลัวตายหรือ...คนพวกนั้นหวังเอาชีวิตข้าไม่ใช่ชีวิตเจ้า ข้าไม่ต้องการจะให้ใครต้องมาตายเพื่อข้าอีกแล้ว” จินเฟยเทียนพูดทั้งน้ำตาและพยายามแกะมือของเด็กชายที่กำลังกอดเขาอยู่ออก
หยางหมิงเซียนพยายามกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้นกว่าเดิม เพราะเขาไม่คิดจะปล่อยมือจากคนผู้นี้ เขารู้ว่าหากทำแบบนี้...เขาอาจจะต้องตายไปพร้อมกับคนตรงหน้า แต่จะให้เขาทิ้งอีกฝ่ายไปเพื่อหนีเอาตัวรอดเขาก็ทำแบบนั้นไม่ได้ คนผู้นี้เข้ามาปกป้องเขาจากอันตราย คอยดูแล คอยเอาใจใส่เขา แบบที่ตัวเขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน และยามนี้คนตรงหน้าก็ยังพร้อมที่จะสละชีวิตของตนเองเพื่อแลกกับชีวิตของเด็กที่ไม่มีใครต้องการแบบเขาอีก
จินเฟยเทียนเมื่อโดนหยางหมิงเซียนกอดแน่นขึ้น ทั้ง ๆ ที่เขาต้องการให้อีกฝ่ายปล่อยมือ ยามนี้เขาก็ไม่รู้แล้วว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ดี...
อีกไม่ถึงเจ็ดก้าวนักฆ่าก็จะมาถึงจุดที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ จินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนจึงกอดกันแน่นขึ้นกว่าเดิม ยามนี้พวกเขาพร้อมแล้วกับสิ่งที่พวกเขาเลือกที่จะเผชิญ
“พี่ใหญ่ ข้าเจอคนที่หลบหนีออกไปทางหน้าต่างแล้ว มันกำลังจะหนีเข้าไปในหมู่บ้าน ให้ข้าลองเดาดูนะ มันคงจะไปหาคนมาช่วยนายมันเป็นแน่” สองนักฆ่าที่แยกตัวออกไปตามเงาสายหนึ่งที่หลบหนี ยามนี้กลับมาพร้อมกับร่างที่อาบไปด้วยเลือดของไห่เฟิง
จินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนรอดจากสถานการณ์ที่เป็นอันตรายมาได้อย่างหวุดหวิด เมื่อมีสองนักฆ่าพุ่งตัวเข้ามาเรียกนักฆ่าอีกสองคนที่กำลังจะเดินเข้ามาเจอพวกเขาในพุ่มไม้
แต่เมื่อจินเฟยเทียนเห็นร่างไร้วิญญาณของไห่เฟิงถูกโยนลงบนพื้น เขาก็แทบจะพุ่งตัวออกไปจากที่ซ่อน แต่ดีที่หยางหมิงเซียนกำลังกอดอีกฝ่ายเอาไว้อยู่ เขาจึงดึงรั้งจินเฟยเทียนเอาไว้ได้ทัน
“เจอผู้อื่นอีกหรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว ข้าเห็นเพียงเงาสายเดียวที่พุ่งตัวออกมาจากหน้าต่างบานนั้น อีกอย่างตอนข้าเข้าไปดูในห้องนั้น ข้าก็เห็นสร้อยคอเส้นนี้ตกอยู่ข้างเด็กหนุ่มที่นอนตายในห้องนั้นด้วย” นักฆ่าคนนั้นพูดจบก็ยื่นสร้อยหยกไปให้นักฆ่าคนที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ดู
จินเฟยเทียนเมื่อได้ยินสิ่งนักฆ่าพูดกัน เขาจึงคลำไปที่คอของตนเอง ก็รู้ทันทีว่าสร้อยที่พวกนั้นกำลังดูอยู่คือสร้อยคอของเขา
“อืม...งั้นแปลว่างานที่เรารับมาก็เสร็จแล้วสินะ”
“พี่ใหญ่ งั้นเราเอาสร้อยนี้ไปรับเงินส่วนที่เหลือกันเลยดีหรือไม่?”
“ได้! แต่เอาศพเจ้านี่กลับไปด้วย แล้วนำไปโยนเข้ากองไฟมันจะได้โดนเผาไปพร้อมกับนายของมัน ถือเสียว่าเอาบุญ เผื่อมันจะอยากตามไปรับใช้นายของมันต่อในเมืองผี” นักฆ่าคนที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่กล่าวจบก็แสยะยิ้มออกมาอย่างน่ารังเกียจ ก่อนจะสะบัดชายเสื้อ แล้วพุ่งตัวนำอีกสามคนออกไปทันที
นักฆ่าทั้งหมดจากไปแล้วพร้อมกับสร้อยหยกและร่างที่ไร้วิญญาณของไห่เฟิง
จินเฟยเทียนมองตามกลุ่มนักฆ่าที่พุ่งตัวกลับไปยังเรือนของหยงหม่า แล้วเขาก็เห็นเปลวไฟและกลุ่มควันที่กำลังพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าจากบริเวณนั้น...
จินเฟยเทียนรู้สึกว่าตัวเขายามนี้ช่างไร้ค่าสิ้นดี เขาไม่อาจช่วยเหลือใครได้เลย แถมยังต้องให้คนอื่นมาตายเพื่อช่วยคนไร้ค่าอย่างเขาอีก
จินเฟยเทียนทรุดตัวลง..แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างสุดฝืน แล้วปล่อยเสียงสะอื้นออกมาอย่างสุดกลั้น ยามนี้เขารู้สึกเจ็บปวดจนแทบไม่อยากจะหายใจแล้ว
แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยกับความเจ็บแบบนี้จัง...ใช่! มันเป็นความเจ็บที่เคยสัมผัสมาแล้วครั้งหนึ่ง จากการที่จินเฟยเทียนต้องสูญเสียคนในครอบครัวไปพร้อมกันถึงสามคน ก่อนที่ตัวเขาจะทะลุมิติมาอยู่ที่นี่
‘ทุกอย่าง...ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้’
‘แล้วทำไม... ถึงไม่เป็นไปตามที่เขาเคยเขียนเอาไว้’
‘หรือเป็นเพราะตัวเขา...ที่ทะลุมิติเข้ามาทุกอย่างที่นี่ถึงได้เปลี่ยนไป’
จินเฟยเทียนปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเศร้า ที่ถาโถมเข้ามาใส่เขาแบบไม่รู้จบ
“ทำไม... ทำไมทุกอย่างถึงต้องกลายเป็นแบบนี้ด้วย ฮือ ฮือ....”
“ทำไม! ฮือออ”
จินเฟยเทียนร้องไห้สะอื้นจนตัวสั่นเทา...จากนั้นทุกอย่างตรงหน้าก็ดับวูบไปจากสายตา
หยางหมิงเซียนที่กอดเด็กชายตรงหน้าไว้ รับรู้ถึงความเสียใจที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญ เขาไม่รู้ว่ายามนี้เขาจะต้องช่วยอีกฝ่ายอย่างไร เขาจึงทำแค่เพียงกอดปลอบเด็กชายเอาไว้เท่านั้น จนเขารู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวของอีกฝ่ายที่ทิ้งลงมายังบ่าของเขา...
หยางหมิงเซียนค่อยๆ ประคองให้เด็กชายลงไปนอนพิงตัวกับต้นไม้หลังพุ่มไม้ที่พวกเขาใช้ซ่อนตัวอยู่ จากนั้นเขาก็ก้มลงไปฟังเสียงหัวใจของเด็กชาย แล้วเมื่อเขาได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายยังเต้นอยู่...เขาก็รู้สึกโล่งใจ เด็กชายคนนี้คงจะแค่ร้องไห้จนสลบไปเท่านั้น
หยางหมิงเซียนที่รู้สึกสงสารเด็กชายตรงหน้า เขาค่อยๆ ก้มลงไปซับน้ำตาของอีกฝ่ายที่ยังคงไหลออกมาจากทางหางตาอย่างเบามือ แม้ว่าเขาจะเคยผ่านเรื่องราวเลวร้ายต่างๆ มา แต่พอมาได้ยิน ได้เห็น เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเด็กชายตรงหน้าแล้ว ถือว่าอีกฝ่ายเจอหนักกว่าเขาเป็นหลายเท่าตัว
บรรยากาศภายในป่ายิ่งดึกก็ยิ่งหนาว หยางหมิงเซียนอยากจะลุกขึ้นไปก่อกองไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับตนเองและเด็กชายที่ยังไม่ได้สติ แต่เขาก็กลัวหากมีนักฆ่าย้อนกลับเข้ามาในป่า แล้วสังเกตเห็นแสงไฟจากกองไฟที่เขาจุด...เขาจึงได้ล้มเลิกความคิดนั้นไป
หยางหมิงเซียนที่กำลังนั่งเฝ้าดูแล และคอยระวังอันตรายให้เด็กชายที่ยังไม่ได้สติ ยามนี้เขาเห็นอีกฝ่ายพยายามขยับตัวเข้ามาใกล้ตัวเขา...
‘สงสัยเด็กคนนี้คงต้องการหนีจากความหนาวเย็นที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นแน่’
หยางหมิงเซียนเมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงตัดสินใจ ลงไปนั่งกึ่งนอนพิงต้นไม้แล้วดึงเอาอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้ เพื่อใช้ไออุ่นจากร่างกายของเขาทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอบอุ่นขึ้น จากนั้นเด็กชายก็ให้ความร่วมมือด้วยการกอดตอบและพยายามซุกหน้าเข้ากับอกของเขาด้วย หยางหมิงเซียนจึงได้แต่กระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้นกว่าเดิม จากนั้นเขาก็คอยเฝ้าดูแล และคอยระวังอันตรายให้อีกฝ่ายแบบนั้น ตลอดทั้งคืน...
“เจ้ามาอีกแล้วหรือหลวนคุน พักนี้เจ้ามาที่นี่บ่อยเกินไปหรือไม่?” “พักนี้ข้าว่างเลยแวะมาเยี่ยมสหายอย่างพวกเจ้าไม่ได้หรือ...” จินเฟยเทียนหลุดจากภวังค์ความคิด เมื่อได้ยินเสียงคนทะเลาะกันหน้าห้องพักของเขา เขาจึงเดินออกมาดูที่หน้าห้องก็เห็นหยางหมิงเซียนกำลังยืนกันชิงหลวนคุนไม่ให้อีกฝ่ายเดินมาหาเขาที่ห้องพัก จากนั้นเขาก็เห็นเจ้าลูกกวางแอบส่งสัญญาณบางอย่างให้กับหลงจิ้นเปียวที่กำลังยืนแอบมองพวกเขาทั้งสองคนจากหน้าห้องผู้ป่วย ด้วยเจ้าตัวแสบหลงจิ้นเปียวยามนี้ได้ขออยู่เล่นกับเกาเล่อและเกาเผิงที่โรงหมอต่อ หลังจากที่ราชครูหลงจิ้นสิงและจางเลี่ยงซูพาอีกฝ่ายแวะมาเยี่ยมพวกเขาที่นี่ “องค์ชายสิบสองพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ช่วยมาดูอะไรกับกระหม่อมสักครู่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หลงจิ้นเปียววัยเจ็ดหนาวเดินเข้ามาพูดพร้อมกับกระตุกชุดคลุมของชิงหลวนคุน “เพียงไม่นานพ่ะย่ะค่ะ มันอยู่ใกล้ๆ ตรงนี้เองพ่ะย่ะค่ะ” “ได้ เราจะไปดูก
จินเฟยเทียนลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่...ใบหน้าแรกที่เขาได้เจอก็คือใบหน้าของหยางหมิงเซียน จินเฟยเทียนจึงเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของคนที่ยังคงนอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างกายเขา... หากนึกย้อนไปในวันแรกที่เขาทะลุเข้ามาอยู่ในโลกแห่งนี้ โดยไม่นับรวมชาติที่เขาตายจากโลกแห่งนี้ไป คนแรกที่เขาเจอก็คือหยางหมิงเซียน และไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุข ยามที่เขาหัวเราะหรือแม้แต่ในยามที่เขาร้องไห้ คนที่อยู่ข้างกายเขามาโดยตลอดก็คือหยางหมิงเซียน แม้แต่ในเวลาที่เขารู้สึกโดดเดี่ยวที่สุด เขาก็มีอีกฝ่ายเป็นที่เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ... “ขอบคุณนะที่รักกัน” “ขอรับ ข้ารักเฟยเกอนะขอรับ” หยางหมิงเซียนเอ่ยตอบอีกฝ่ายพร้อมกับลืมตาขึ้นมามองคนรักของเขา ที่จริงเขารู้สึกตัวตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายเอื้อมมือมาสัมผัสใบหน้าของเขาแล้ว “ข้าก็รักเจ้าหมิงเซียน เจ้าลูกกวางของข้า” “ขอรับ ข้าเป็นเจ้าลูกกวางของเฟยเกอ แต่..
หยางหมิงเซียนรีบประคองจินเฟยเทียนกลับมาที่เรือนของพวกเขา ดีที่พวกเขาสร้างโรงหมอไม่ไกลจากเรือนของพวกเขามากนัก และดีที่ตอนปรับปรุงเรือนหลังเก่าให้กลายเป็นเรือนหอของพวกเขา...ได้สร้างเรือนหลังเล็กแยกไปอีกสามหลัง เพื่อให้เกาเล่อกับเกาเผิงและบ่าวคนอื่นๆ ที่จินเฟยหมิงและราชครูหลงจิ้นสิงส่งมาให้อยู่ดูแลพวกเขาไปพักอาศัยอยู่ที่นั่น เพื่อที่ทุกคนจะได้มีที่พักเป็นสัดส่วนของตัวเอง ดังนั้นในเรือนใหญ่หลังนี้จึงมีเพียงแค่พวกเขาที่พักอาศัยอยู่ด้วยกันแค่สองคน หยางหมิงเซียนประคองจินเฟยเทียนเข้ามานั่งพักในห้องนอนของพวกเขา ก่อนที่เขาจะลงไปนั่งคุกเข่าและมองคนที่นั่งอยู่บนเตียง ที่ในยามนี้ทั้งผิวหน้าและผิวกายของอีกฝ่ายมีสีแดงไม่ต่างไปจากผลผิงกั่ว ดวงตาของอีกฝ่ายยามนี้ก็เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ริมฝีปากบางของอีกฝ่ายก็กำลังขบเม้มกันแน่น...คนตรงหน้ายามนี้คงกำลังพยายามฝืนความต้องการของตัวเองอยู่เป็นแน่ “เฟยเกอเป็นอย่างไรบ้างขอรับ? ข้าขอโทษนะขอรับ ยาที่ท่านเพิ่งกินเข้าไปไม่ใช่ยาแก้ปวดต
“อาเล่อเจ้ากำลังทำอะไร?” หยางหมิงเซียนเข้ามาในห้องปรุงยา หลังจากไปส่งยาสมานแผลที่ค่ายทหาร ก็เจอเข้ากับเกาเล่อที่มาก้มๆเงยๆ อยู่แถวชั้นปรุงยาของเขา “ข้าน้อยกำลังจะต้มยาแก้ปวดตัวให้คุณชายใหญ่จินขอรับ” “เฟยเกอเป็นอะไร?” หยางหมิงเซียนรีบเอ่ยถาม เพราะเมื่อเช้าพวกเขาก็ออกมาจากเรือนพักพร้อมกันเหมือนทุกวัน อีกฝ่ายก็ยังปกติดีไม่เห็นมีอาการปวดตัวอะไรให้เห็น “วันนี้คุณชายใหญ่จินมีตรวจรักษาคนไข้ตั้งแต่เช้าเลยขอรับ และวันนี้ก็มีท่านป้าท่านหนึ่งที่ขยับตัวค่อนข้างจะลำบากเข้ามาขอรับการรักษา คุณชายใหญ่จินจึงต้องคอยช่วยนางขยับตัวตอนตรวจรักษาด้วยขอรับ ยามนี้คุณชายใหญ่จินเลยให้ข้าน้อยมาต้มยาแก้ปวดตัวให้ขอรับ” “เจ้ากลับไปช่วยเฟยเกอดูคนไข้ต่อเถอะ เดี๋ยวข้าจัดการเรื่องยาของเฟยเกอให้เอง อีกสักพักเจ้าค่อยกลับออกมาเอา และข้าฝากบอกเฟยเกอด้วยว่า...ข้ากลับมาแล้ว และเดี๋ยวถ้าข้าต้มยาให้ท่านลุงเจียงเสร็จ ข้าจะรีบเข้าไปหา” “ได้ขอรับ”
หยางหมิงเซียนเฝ้ามองตัวเขาในที่แห่งนี้เริ่มทำเรื่องเลวร้ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ยามนี้ตัวเขาในที่แห่งนี้ได้เป็นถึงผู้ช่วยเจ้ากรมกลาโหมแล้ว และตัวเขาในที่แห่งนี้ก็มีเกาเล่อเป็นลูกน้องคนสนิทและยังมีเสี่ยวเปากับเสี่ยวปิงเป็นดั่งมือและเท้าคอยออกไปทำเรื่องเลวร้ายต่างๆ ให้เขา พวกเขาทำตัวไม่ต่างอะไรจากโจร...ทั้งยักยอกของหลวง ทั้งติดสินบน ทั้งตัดเสบียงอาหารและยาที่จะส่งไปยังค่ายทหาร...เพียงเพื่อต้องการกลั่นแกล้งรองแม่ทัพจินเฟยหลง ด้วยเพราะอีกฝ่ายเข้ามาติดพันกับสตรีที่ตัวเขาในที่แห่งนี้กำลังลุ่มหลง จนวันหนึ่งหยางหมิงเซียนเห็นตัวเขาในที่แห่งนี้ได้เจอกับผู้เป็นมารดา จากนั้นชีวิตของตัวเขาในที่แห่งนี้ก็เริ่มเลวร้ายลงไปจากเดิมเป็นเท่าตัว หยางหมิงเซียนมองตัวเขาในที่แห่งนี้ถูกมารดาชักจูงให้ทำเรื่องเลวร้ายต่างๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่การดึงตัวเขาในที่แห่งนี้เข้าไปร่วมมือกับหานเฟิง ตอนนี้หยางหมิงเซียนมองตัวเขาในที่แห่งนี้ไม่ต่างอะไรจากคนเลวคนหนึ่ง ทั้งลงมือทำร้ายผู้คนอย่างไม่มีเหตุผล ยิ่งกับคนที่เคยทำร้ายจิตใจตัวเองด้
“ข้าขอร้องได้หรือไม่ ช่วยปล่อยเด็กคนนั้นไป เด็กคนนั้น...ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าเลย หากคนที่จ้างเจ้าต้องการให้เจ้ามาเอาชีวิตข้า อย่างนั้นเจ้าก็เข้ามาเอาชีวิตข้าไปเสียเถอะ แต่ข้าขออย่างเดียว...ช่วยปล่อยเด็กที่ไม่เกี่ยวข้องคนนั้นไป” จินเฟยเทียนยามนี้เจ็บปวดใจยิ่งนัก เพียงเพราะชีวิตตัวภาระอย่างเขา ทำให้ผู้คนรอบข้างและผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องเดือดร้อน ต้องมาบาดเจ็บล้มตาย เพียงเพราะต้องการช่วยเหลือตัวภาระเช่นเขาแบบนี้ หากไม่มีเขาสักคนทุกคนคงไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เป็นแน่... ‘ชีวิตของข้ามันช่างดูไร้ค่า และเป็นภาระของผู้อื่นอย่างที่ฮูหยินรองพูดไว้จริงๆด้วย’ นักฆ่าคนนั้นเดินเข้าไปหาจินเฟยเทียนแล้วก้มลงหยิบดาบของตัวเองขึ้นมา ก่อนที่เจ้าตัวจะโยนร่างของเด็กชายไปยังจุดที่จินเฟยเทียนกำลังยืนอยู่ จินเฟยเทียนที่เห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปประคองเด็กชายให้กลับขึ้นมายืนข้างตัวเองทันที “ข้าคงทำแบบนั้นให้ท่านไม่ได้หรอกคุณช