“ฉันถามว่ากี่วัน”
บุรินทร์ทวนคำถามด้วยเสียงที่ดังขึ้น เขามองเห็นท่าทางตื่นตระหนกและแววตาหวาดระแวงของหญิงสาว
“มี่ยังตอบไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อดึงสติ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนเธอเองตั้งตัวไม่ทัน และไม่ได้คาดคิดว่าเหตุการณ์มันจะพลิกผันกลายเป็นแบบนี้
“คิดว่าฉันมีความอดทนกับเธอมากขนาดนั้น?”
“มี่มีความรู้สึกดีๆ ให้เฮียก็จริง แต่มันไม่ใช่แบบนี้”
“…..”
“มี่รักเฮียเหมือนพี่ชายอีกคน”
“แค่พี่ชาย?” บุรินทร์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะขยับใบหน้าคมคายเข้าใกล้จนปลายจมูกโด่งสัมผัสกับพวงแก้มชมพูระเรื่อ “แต่ฉันอยากเป็นมากกว่านั้น”
สองมือเล็กกำชายกระโปรงนักศึกษาไว้แน่น หัวใจดวงน้อยเต้นแรงจนควบคุมไม่อยู่
“จูบฉันสิ…” บีบปลายคางของหญิงสาวให้หันกลับมาสบตาเคลื่อนริมฝีปากเข้าหาจนเกือบจะจูบกันอยู่รอมร่อ “จูบฉันแรงๆ”
เดมี่ส่ายหน้าปฏิเสธ ดวงตาที่เคยสดใสค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสั่นคลอน “เฮียเฟย พอแล้ว มี่กลัวนะ”
“ถ้าเธอตกลง ฉันสัญญาว่าจะอ่อนโยนกับเธอ”
“วันนี้มี่เหนื่อย อยากพักแล้วค่ะ”
“คืนนี้นอนกับฉัน”
“เฮียช่วยรับปากก่อนได้ไหม ว่าจะไม่ทำอะไรมี่”
“ฉันจะทำแบบนั้นก็ต่อเมื่อเธอเต็มใจ”
“…..”
แกร๊ก…บานประตูห้องนอนถูกเปิดออก หญิงสาวก้าวเดินเข้ามาในห้องอย่างๆ กล้าๆ กลัว
ห้องนอนขนาดใหญ่ของบุรินทร์ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีดำราคาแพงเกือบทั้งหมด แต่สายตาเจ้ากรรมกลับไปสะดุดบางสิ่งบางอย่างที่วางอยู่บนเตียงนอน
“อันนี้ของเฮียเหรอคะ” เดมี่จ้องมองไปยังตุ๊กตาสีชมพูที่วางอยู่ มันทั้งเก่าและสีซีดดูมอมแมม ตามตัวมีแต่รอยเย็บมากมายคล้ายกับถูกใช้งานมานานมากแล้ว
“ใช่…ของฉันเอง”
ใบหน้าจิ้มลิ้มเอียงคอมองอย่างสงสัย ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นของชายหนุ่ม เธอรู้สึกคุ้นกับตุ๊กตาตัวนี้เหลือเกิน แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
“จำได้ไหม เธอเคยให้ฉันเก็บไว้ก่อนที่จะหนีไปอยู่เมืองนอก” มาเฟียหนุ่มเดินเข้าไปสวมกอดหญิงสาวไว้แน่นจากทางด้านหลัง สูดดมกลิ่นกายหอมของเธอซ้ำๆ ไม่ยอมห่างไปไหน
“มันนานมากแล้ว มี่จำไม่ได้แล้วค่ะ”
“จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่เธอกลับมา”
“…..” เดมี่หยุดนิ่งเมื่อคนตัวสูงที่ยืนอยู่ทางด้านหลังรวบผมยาวสลวยเป็นหางม้า ก่อนจะลงมือถักผมเปียสองข้างให้เธออย่างเบามือ
“ตอนเด็กเธอชอบให้ฉันถักผมเปียสองข้างแบบนี้” บุรินทร์มองไปยังหญิงสาวตรงหน้า ถึงแม้ว่าเดมี่จะโตเป็นสาวมากแล้ว แต่สำหรับเขาเธอยังเป็นเด็กตัวอ้วนแก้มกลมที่น่าเอ็นดูอยู่เสมอ
ตอนเด็กเคยน่าเอ็นดูยังไง จนถึงตอนนี้ยังคงเหมือนเดิม พวงแก้มอมชมพูและดวงตากลมโตคู่นั้น ทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ ละสายตาไปจากเธอแม้แต่วินาทีเดียว
ไม่คิดเสียดายที่ตัดสินใจเอามาเลี้ยงดู
“เดมี่…”
ราวกับหลุดตื่นจากภวังค์หลังจากได้ยินเสียงเรียกแผ่วเบาของชายหนุ่ม เดมี่ค่อยๆ หันกลับไปเผชิญหน้า ท่าทางอ่อนโยนของบุรินทร์ทำให้เธอหวั่นไหวเริ่มวางใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“อยากได้อะไร ฉันจะให้ทุกอย่าง” ฝ่ามือหนาเอื้อมเข้าไปลูบไล้ที่ใบหน้าจิ้มลิ้ม พลางหลับตาลงช้าๆ ปลายนิ้วเรียวสัมผัสริมฝีปากบางเบาๆ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสัมผัสที่รุนแรงขึ้นจนเธอขยับตัวถอยห่าง “ขอแค่เป็นเด็กดี เป็นของฉันคนเดียว”
“มี่จะเป็นเด็กดี”
“ถอดเสื้อผ้าออกสิ จะได้อาบน้ำพร้อมกัน”
“เฮียช่วยออกไปก่อนได้มั้ย มี่อายนะ”
“มีอะไรต้องอาย ฉันเห็นของเธอมาหมดแล้ว”
“หมายความว่าไงเหรอคะ”
“…..” บุรินทร์ไม่ได้ตอบคำถามแต่เลือกที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของเธอออกอย่างเบามือ
“ในห้องของมี่มีกล้องวงจรปิดเหรอคะ”
“ก็ประมาณนั้น”
“…..” เดมี่ยกมือขึ้นลูบหน้าอีกครั้งอย่างประหม่าให้กับความคิดและการกระทำของบุรินทร์ที่ดูบิดเบี้ยวไม่เหมือนคนปกติทั่วไป
เธอเริ่มหวาดกลัวและไม่แน่ใจว่าจะรับมือกับคนอย่างบุรินทร์ไปได้อีกนานแค่ไหน
ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น เสื้อผ้าที่สวมใส่ถูกชายหนุ่มถอดออกจากร่างกายจนหมดสิ้น เหลือเพียงเรือนร่างเปลือยเปล่าที่ยืนอยู่ตรงหน้า
มาเฟียหนุ่มไล่สายตามองหญิงสาวอย่างเปิดเผย เดมี่เป็นคนแรกที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงได้มากขนาดนี้
“ฉันแทบจะทนไม่ไหว อยากเป็นผัวเธอตอนนี้เลย”
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นพร้อมความรู้สึกที่ตบตีกันอยู่ภายในใจ ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยอยู่ร่วมห้องและเปลือยกายต่อหน้าผู้ชายคนไหนแบบสองต่อสองมาก่อน
“เฮียอย่ามองแบบนั้นได้ไหม”
“ไม่ให้มองหน้าแล้วจะให้มองอะไร” ไม่ถามเปล่าแต่ยังเคลื่อนสายตาลงมาหยุดที่หน้าอกอวบอั๋น ค่อยๆ ไล่ต่ำจนมาหยุดอยู่ที่ความเป็นสาวขาวเนียน
พรึ่บ! ร่างของหญิงสาวลอยขึ้นเหนือพื้นเมื่อถูกชายหนุ่มอุ้มกระเตงเดินเข้ามาในห้องน้ำทั้งที่สภาพกำลังเปลือยเปล่า เป็นครั้งแรกที่คนทั้งสองได้ใกล้ชิดกันมากขนาดนี้
“เฮียเฟย ปล่อยมี่ลงนะ”
“อยู่นิ่งๆ”
เดมี่ยอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย มองเงาสะท้อนของตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่โดยมีบุรินทร์ยืนซ้อนทับอยู่ทางด้านหลัง
“ฉันเห็นของเธอแล้ว เธอเองก็ควรจะเห็นของฉันบ้าง” ไม่พูดเปล่าแต่ยังถอดเสื้อผ้าราคาแพงที่สวมใส่โยนลงบนพื้นห้องน้ำราวกับไม่คิดเสียดาย
“เฮียเฟย…” ริมฝีปากบางสั่นระริกมองเห็นร่างกายกำยำที่อัดแน่นไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ รอยสักที่มีอยู่บนท่อนแขนแกร่งและเต็มแผ่นหลัง ทำให้บุรินทร์ดูน่าเกรงขามจนต้องหลบสายตา
สัมผัสได้ถึงความเป็นชายที่กำลังตื่นตัวเสียดสีอยู่ที่บั้นท้ายของเธอไปมา
หญิงสาวหลับตาปี๋ไม่กล้าจินตนาการอะไรที่มากกว่านั้นรู้แค่ว่ามันต้องใหญ่มากแน่ๆ
ฝ่ามือของบุรินทร์เริ่มอยู่ไม่นิ่งบีบเคล้นที่ทรวงอกอวบอิ่มก่อนจะเคลื่อนต่ำลงมาลูบไล้บนจุดอ่อนไหวกลางกายจนเธอสะดุ้งอยู่หลายครั้ง
“ไหนบอกว่าจะไม่ทำอะไรมี่ไง”
“แล้วใส่เข้าไปหรือยัง”
“อื้อ…เฮียเฟย…มี่กลัว ช่วยเอานิ้วออกไปก่อนได้ไหมคะ”
“อย่าทำหน้าอ้อนแบบนั้น เดี๋ยวฉันเปลี่ยนใจอยากใส่อย่างอื่นเข้าไปแทน”
โรงพยาบาล “น้องจิ๋วมาแล้ว” “ไหนๆ ขอดูบ้าง” “ทำไมน้องไม่ลืมตา” “ตัวนิ่มมากเลย ลองจับดูสิ” เสียงบทสนทนาของพวกเด็กน้อยกำลังพูดคุยกันอย่างไร้เดียงสา ยืนล้อมวงจ้องมองสมาชิกใหม่ที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน “ตัวเป็นอะไร ทำไมไม่มาดูน้องคนใหม่” ฟรานเดินเข้าไปถามแฝดน้องที่เอาแต่นั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงไม่ยอมพูดจา “เบื่อ! เค้าไม่อยากได้น้องผู้ชาย เค้าอยากมีน้องผู้หญิง” เด็กชายบ่นพึมพำพลางเบือนหน้าหันหนี “ผู้ชายก็ดีนะ ตัวจะได้ไม่เหงา จะได้มีเพื่อนเล่นไง” “เล่นแต่ฟุตบอลกับปั่นจักรยานจนเบื่อแล้ว อยากเล่นอย่างอื่นบ้าง” “แล้วอย่างอื่นที่แฝดว่ามันคืออะไร อยากเล่นขายของหรือเล่นตุ๊กตาเหรอ” ใบหน้าน้อยๆ ของฟรานเอียงคอมองน้องชายฝาแฝดอย่างไม่เข้าใจ “เพราะหม่ามี๊เลือกน้องให้เราไม่ได้” “แล้วทำไมแด๊ดดี้ถึงมีแต่ลูกผู้ชาย ทำไมถึงไม่มีลูกผู้หญิงบ้าง” เด็กชายตัดพ้อทำสีหน้าเศร้า ถ้ามีน้องผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนคงได้ปวดหัวกว่าเดิม “เพร
หลายเดือนผ่านไป “อาการของคุณฟาเรนดีขึ้นมากเลยค่ะ วันนี้ทำกายภาพได้หลายอย่างเลย” เดมี่ยิ้มกว้างพร้อมกับหัวใจที่พองโตหลังจากได้ยินข่าวดีจากพยาบาลที่ดูแลลูกชาย ตั้งแต่ได้รับตัวยาชนิดใหม่จากบุรินทร์ อาการของฟาเรนก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ จากกล้ามเนื้อที่เคยอ่อนแรงค่อยๆ ขยับได้มากขึ้น กลายเป็นช่วยเหลือตัวเองได้ดีและเดินเองได้ในที่สุด “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยดูแลฟาเรนให้เป็นอย่างดี” “คุณฟาเรนใจสู้มากค่ะ อีกไม่นานคงวิ่งเล่นกับพวกพี่ๆ ได้อย่างแน่นอน” “มี่รักแด๊ดดี้นะ รักที่สุดในโลก” หญิงสาวเดินเข้าไปกอดชายหนุ่มไว้แน่นแทนคำขอบคุณ ใบหน้าจิ้มลิ้มซบลงบนแผงอกแกร่งอย่างออดอ้อน “อะไรของเธอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นมองการกระทำเหล่านั้น ถึงแม้จะดูเหมือนไม่ค่อยใส่ใจแต่หัวใจของเขายังคงเต้นแรงกับผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอด ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมเสมอมา “เพราะมีแด๊ดดี้ ฟาเรนถึงมีอาการดีขึ้นในทุกวัน ถ้าไม่ได้แด๊ดดี้ช่วยดูแล ลูกคงแย่แน่เลยค่ะ” บุรินทร์อ
“ฟาเรน!” เด็กชายหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย ไปหน้าน้อยๆ เอียงคอมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็นพี่สาววิ่งเข้ามากอด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าบอกว่าปู่จะพาไปเที่ยวต่างประเทศ “ไหนบอกว่าปู่จะพาไปเล่นสกีที่ญี่ปุ่นไง” “ไม่อยากไปแล้ว เอาไว้ให้ฟาเรนหายป่วย พวกเราค่อยไปด้วยกัน” ฟรานโผกอดน้องชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นวิลแชร์ด้วยความคิด เด็กหญิงไม่ได้คิดเสียใจหรือเสียดายเลยสักนิด พวกเขาสามคนตกลงกันแล้วว่าจะไม่ขอไปเที่ยวถ้าเกิดไม่มีฟาเรน หรือถ้าจะไปก็ต้องไปพร้อมกัน “ไปวิ่งเล่นกัน แด๊ดดี้ทำสนามเด็กเล่นให้พวกเราอันใหม่ใหญ่เบ้อเริ่มเลย” “แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ออกจากบ้านนะ เดี๋ยวไม่สบาย” ฟาเรนพูดเสียงเบา สีหน้าดูซึมลงอย่างน่าสงสาร เขารู้ตัวเองเสมอว่าไม่ใช่เด็กปกติเหมือนคนทั่วไป “ตอนนี้แด๊ดดี้ไม่อยู่ ทางสะดวกแล้วนะ อยากไปไหม” “ยะ…อยากไป” พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะวาดสายตาหันซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ “งั้นก็รีบขี่หลังพี่เลย” “จะไม่โดนแด๊ดดี้ตีใช่ไหม”
“ทำอะไรอยู่ตัวเล็ก” “ก่อประสาททรายอยู่ครับ” ฟาเรนเด็กชายวัยห้าขวบหันไปตอบผู้เป็นพ่อ ก่อนจะหันกลับมาสนใจสิ่งตรงหน้าดังเดิม “เล่นคนเดียวเหงาไหม” บุรินทร์ยืนมองลูกน้อยที่นั่งเล่นอยู่ไม่ไกล ข้างกายของฟาเรนมีรถเข็นวิลแชร์ประตำแหน่งและพยาบาลพิเศษมากถึงสามคนคอยประคบประหงมอยู่ไม่ห่าง ถึงแม้ว่าฟาเรนจะมีอายุห้าขวบ แต่น้ำหนักและสัดส่วนค่อนข้างตกเกณฑ์ต่ำกว่าเด็กปกติทั่วไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลข้างเคียงมาจากการคลอดก่อนกำหนด “หนูอยากมีเพื่อน” เด็กชายบอกผ่านน้ำเสียงเศร้าสร้อยท่าทางซึมลงจนสังเกตได้ ตั้งแต่จำความได้ เขาถูกเลี้ยงดูแตกต่างจากเด็กทั่วไป ในขณะที่พวกพี่ได้วิ่งเล่นแต่ฟาเรนทำได้แค่นั่งมองอยู่ในห้องพักปลอดเชื้อต้องให้ยาทุกสี่ชั่วโมง “อย่านั่งตากแดดนาน เดี๋ยวไม่สบาย” “คุณปู่ไม่รักฟาเรนเหรอครับแด๊ดดี้ ทำไมถึงไม่พาหนูไปเที่ยวด้วย” คำถามของลูกชายทำเอามาเฟียหนุ่มหยุดชะงักนิ่งไป หัวอกคนเป็นพ่อสั่นไหวค่อยๆ ย่อตัวนั่งลงข้าง
“แฟรงก์มา!”เด็กน้อยที่นั่งอยู่ต่างหันขวับกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าน้อยๆ ของหลานฉีกยิ้มกว้างเมื่อมองเห็นปู่ที่เดินเข้ามาหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือน“แฟรงก์…แฟรงก์!” เด็กหญิงตะโกนเรียกซ้ำๆ กระโดดโลดเต้นดีใจรีบวิ่งเข้าไปกอดด้วยความคิดถึงวันนี้ในมือปู่มีขนมแถมยังหิ้วของเล่นมาฝากหลานเยอะแยะ ตามใจกว่าแด๊ดดี้และหม่ามี๊ก็คงจะเป็นผู้ชายคนนี้“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกปู่ ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของพวกเอ็งนะ” คนเป็นปู่ถอนหายใจมองหน้าไอ้พวกเด็กฝรั่งที่ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอนแต่ได้พอสบสายตาอันไร้เดียงสาเหล่านั้น หัวใจแกร่งก็ยอมโอนอ่อนให้โดยดี“ปู่คืออะไร” ฟาโรห์ตัวป่วนเอียงคอถามอย่างสงสัย“คือพ่อของพ่อไง”“แล้วพ่อคือใคร” พอได้ยินแบบนั้นยิ่งทำให้งงไปกันใหญ่“พ่อก็คือแด๊ดดี้ไง ภาษาไทยเขาเรียกว่าพ่อ”“เข้าใจแล้ว”“เดี๋ยวนี้ลืมกันแล้วสิ ทำไมพวกเอ็งถึงไม่ไปหาปู่บ้างเลย” บุรินทร์ภัทรแสร้งทำท่าทางตัดพ้อน้อยใจ อยู่ที่บ้านก็เอาแต่ชะเง้อคอคอยมองทางหลานน้อยอยู่ทุกวัน“ไม่ได้ลืมสักหน่อย แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ไป” เด็กหญิงพูดแทรกน้ำเสียงเจื้อยแจ้วแต่สีหน้ากลับดูซึมลงอย่างเห็นได้ชัด“อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปเที่ย
ห้างสรรพสินค้า“อ้าปากสิ เดี๋ยวฉันป้อน” มาเฟียหนุ่มบรรจงตักไอศกรีมคำโตจ่อไปที่ริมฝีปากเล็ก“…..” เดมี่ส่ายหน้าปฏิเสธ เธอเอาแต่คิดถึงลูกน้อยจนไม่เป็นอันทำอะไร“ไหนเคยบอกว่าอยากกินไอติม ก็พามาแล้วยังจะต้องการอะไรอีก”“มี่อยากรู้ว่าลูกเป็นยังไงบ้าง”“ไว้ถึงบ้านแล้วค่อยคุย”“มี่อยากรู้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้มะ…มันไม่มีจิตใจอยากทำอะไรแล้ว” ดวงตาคู่สวยสั่นคลอนอย่างหนัก หยดน้ำตาไหลอาบใบหน้าอย่างสุดกลั้น “ทำไมแด๊ดดี้ถึงไม่บอกกันสักคำว่าลูกเป็นอะไร”“…..”ยิ่งเขาไม่พูดมันออกมา ยิ่งทำให้เธอแทบเสียสติ ในสมองมันเอาแต่คิดมากไปเองต่างๆ นานา “อยากเห็นมี่ขาดใจตายก่อนเหรอ”“ที่ไม่บอกเพราะลูกไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องร้องไห้” บุรินทร์ถอนหายใจหนัก เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาออกให้ ความทุกข์ของเดมี่ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวก็คือเรื่องลูก “ทางโรงพยาบาลเขาโทรมาแจ้งข่าวดี”“ข่าวดี?” คนตัวเล็กรีบยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแบบลวกๆ หลังจากได้ยินประโยคที่เฝ้ารอมานานแสนนาน“อาการลูกดีขึ้นมาก ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเราจะได้ไปรับลูกออกจากโรงพยาบาลด้วยกันอาทิตย์หน้า”“พูดจริงใช่ไหม อย่าหลอกให้ดีใจนะ” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าแสนห