-เช้าวันต่อมา-
หญิงสาวขยับพลิกตัวอยู่บนเตียงนอนในช่วงเช้าของวันใหม่ กระชับผ้านวมหนาขึ้นมาห่มร่างกายที่เปลือยเปล่า
เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองอย่างงัวเงีย สอดส่องสายตามองบริเวณรอบห้องนอนไปมาคล้ายกับมองหาใครบางคนแต่กลับไร้วี่แวว
“มอนิ่งน้องไข่” เดมี่หยิบตุ๊กตาที่นอนอยู่ข้างกันขึ้นมาสำรวจ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยังเก็บมันไว้แถมดูแลอย่างดี
เมื่อคืนบุรินทร์และเธอเปลือยเปล่านอนกอดกันอยู่บนเตียงนี้ ก่อนที่ตัวเองจะผล็อยหลับอยู่ในอ้อมกอดของเขาตลอดทั้งคืน
‘เฮียเฟย เบาหน่อยมั้ย มี่ไม่ไหวแล้ว’
‘ของเธอเล็กมาก รัดนิ้วฉันแน่นไปหมด’
‘อึก…ไม่เอาแล้ว เอามันออกไป’
‘แค่นิ้วจะกลัวอะไร’
‘มี่เจ็บ…’
‘ฉันแทบจะทนไม่ไหว อยากxxxเดี๋ยวนี้’
‘ฮึก! ไม่เอา มี่กลัว’
เดมี่สะบัดหัวอย่างแรงเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นนั่งขยับแผ่นหลังพิงหัวเตียงพลางถอนหายใจลากยาว ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวจนขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา
คำพูดหยาบโลนและการกระทำของบุรินทร์ฝังลงลึกเข้าไปในโสตประสาทไม่สามารถสลัดมันออกไปได้
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณเดมี่” เดมี่ตื่นจากความคิด เมื่อครามเดินเข้ามาทัก เขามองสีหน้าอิดโรยของเดมี่ที่ดูไม่ค่อยสดใสเหมือนทุกวัน เหลือบสายตามองไปเห็นรอยแดงหลายจุดอยู่บนลำคอ ก่อนจะยิ้มให้ “เมื่อคืนนอนดึกเหรอครับ”
“…..” เดมี่ยิ้มแทนคำตอบ วาดสายตามองหาไปทั่วบริเวณ ก่อนจะถอนหายใจอย่างนึกโล่งอกเมื่อไม่เห็นบุรินทร์อยู่แถวนี้
หรือบางทีก็อาจจะกลับไปแล้ว เธออยากให้เป็นแบบนั้น
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เฮียเฟยกลับไปหรือยังคะ”
“ยังครับ…ตอนนี้นายน้อยออกกำลังกายอยู่ที่โรงยิม”
“…..” หญิงสาวทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาหลังจากได้ยินประโยคผิดหวัง เมื่อก่อนรู้สึกอยากเจอหน้าเขาทุกวัน แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนความคิดอย่างสิ้นเชิง
“นายน้อยสั่งไว้ ถ้าคุณมี่ตื่นแล้วให้รีบไปหาครับ”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ”
“เดี๋ยวมี่ไปหาเฮียเองค่ะ”
“รีบไปเลยนะครับ นายไม่ชอบรอนาน”
เดมี่ไม่คิดอยากเจอหน้า จึงเดินอ้อยอิ่งใช้เวลานานหลายนาทีกว่าจะมาถึงโรงยิมขนาดใหญ่ที่อยู่หลังบ้าน ภายในมีเครื่องออกกำลังกายอย่างครบครัน ส่วนข้างกันเป็นสนามเก็บเสียงเอาไว้ฝึกยิงปืน
“เฮียอยู่ไหน”
“ด้านในครับ นายน้อยกำลังรอคุณเดมี่อยู่พอดี”
สองขาหยุดยืนอยู่ทางด้านหลัง เธอจ้องมองแผ่นหลังกว้างกำยำที่เคลือบไปด้วยหยาดเหงื่อจนเปียกมันวาว
บุรินทร์ที่กำลังก้มหน้าขมักเขม้นกับการออกกำลังกายอย่างหนัก ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า ส่วนท่อนล่างสวมเพียงกางเกงวอร์มและรองเท้าผ้าใบคู่ใจ
“เฮียอยากเจอมี่เหรอคะ”
มาเฟียหนุ่มหยุดการกระทำพร้อมเผยรอยยิ้มบางเมื่อได้ยินเสียงของคนที่เฝ้ารอ สองขาแกร่งก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้า มองไปยังหญิงสาวที่แต่งชุดนักศึกษาเรียบร้อย “ทำไมมาช้า”
“วันนี้มี่ตื่นสาย”
“เดินมาหาฉันสิ เข้ามาใกล้ๆ”
“มะ…มีอะไรหรือเปล่าคะ”
เอื้อมมือเข้าประคองใบหน้าจิ้มลิ้มให้เงยขึ้นมาสบตาแล้วจูบที่แก้มของเธอเบาๆ ราวกับหวงแหนนักหนา “ไม่มีอะไร แค่คิดถึง”
“…..”
“เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหม”
“…..” หัวใจดวงน้อยเต้นแรง ใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์พวกนั้น
“โทรศัพท์ที่เธออยากได้”
ดวงตาคู่สวยฉายแววเป็นประกายเมื่อได้รับอิสระ ฉีกรอยยิ้มกว้างรีบหยิบสิ่งของที่ชายหนุ่มยื่นให้ราวกับดีใจนักหนา
“ในเครื่องมีเบอร์ส่วนตัวของฉัน ถ้าต้องการอะไรให้โทรมา”
“ขอบคุณค่ะ”
“มีอะไรที่อยากได้อีกไหม ฉันจะสั่งลูกน้องจัดการให้”
“ขอเงินด้วยได้ไหม มี่จะเอาไว้ซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง”
“จะเอาเท่าไหร่”
เดมี่เอียงคอทำสีหน้าครุ่นคิดพลางยกมือขึ้นมานับนิ้วไปพลางๆ “มี่อยากได้สี่แสนค่ะ”
บุรินทร์เลิกคิ้วขึ้นมองอย่างพิจารณาหลังจากได้ยินจำนวนเงินที่หญิงสาวต้องการ แต่ก็ยอมหยิบให้แต่โดยดี
“ขอบคุณค่ะ” เดมี่รีบเก็บเงินปึกหนาที่เขายื่นให้ใส่กระเป๋าสะพายอย่างรีบร้อน โดยไม่ทันสังเกตถึงสายตาของบุรินทร์ที่กำลังจ้องมอง
“ฉันอยากได้มากกว่าคำขอบคุณ”
“แล้วเฮียอยากให้มี่ทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทน”
“ยอมเป็นเมียฉันสิ ยอมให้ฉันเอาตอนนี้เลย”
เดมี่ก้าวถอยหลังหนีเมื่อถูกบุรินทร์ต้อนให้เข้าไปยืนอยู่ที่มุมห้อง พร้อมกับโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนปลายจมูกทั้งสองคลอเคลียสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนของกันและกัน
“สะ…สายมากแล้ว วันนี้มี่ต้องรีบไปเรียน”
“อยากให้ฉันไปส่งไหม”
“ไม่ค่ะ” เธอตอบทันทีอย่างไม่ลังเล
“ตั้งใจเรียน อย่าไปเถลไถลที่ไหน”
“วันนี้เฮียไม่ไปทำงานเหรอคะ”
“สั่งให้ลูกน้องทำแทนได้”
“มี่ขอตัวไปเรียนก่อนนะคะ”
“เลิกเรียนแล้วรีบกลับมา ฉันรออยู่”
“ค่ะ”
“เด็กดี” ใบหน้าคมคายยกยิ้มมุมปากพร้อมกับเอื้อมปลายนิ้วเกลี่ยลงบนริมฝีปากเล็กอย่างทะนุถนอม ใช้ปลายจมูกโด่งคมซุกไซ้พรมจูบไปตามลำคอ โดยไม่แคร์สายตานับสิบของลูกน้องที่กำลังให้ความสนใจ
“…..”
“คุณเดมี่ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเลยนะนาย ให้ผมจัดการเลยไหมครับ” ลูกน้องคนสนิทที่เฝ้าดูเหตุการณ์เดินเข้าไปถาม
“อย่ายุ่งกับเธอ” จากแววตาอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกในชั่วพริบตา
“แต่เด็กนั่นกำลังจะหักหลังนาย นายก็รู้” เดมี่เองก็คงไม่รู้ตัวว่าเผลอแสดงทำท่าทางมีพิรุธออกมามากขนาดไหน
“เอาไว้ให้ถึงวันนั้นเมื่อไหร่ กูจะเป็นคนลากคอมันมาจัดการด้วยตัวเอง!”
“…..”
“กูรอเธอมาเป็นสิบๆ ปี ให้รออีกแค่นี้ ทำไมจะรอไม่ได้”
“…..”
…
-มหาวิทยาลัย-
“ไอ้มี่ เป็นอะไร” เชอลีนหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนข้างกันพร้อมกอดคอเพื่อนสาวไว้แน่น วันนี้เดมี่มันดูใจลอยแปลกๆ แถมยังทำท่าทางลับๆ ล่อๆ จนอดสงสัยไม่ได้
หญิงสาวหันมองซ้ายขวา พร้อมกับหยิบเงินที่บุรินทร์เพิ่งให้มาออกจากกระเป๋าสะพาย
“มี่มีตังค์แค่นี้พอไหมเชอลีน” ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแต่ก็มิวายหยิบหมูปิ้งของโปรดขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย
“แกไปเอาเงินจากไหน” วันก่อนแม้แต่เหรียญบาทก็ยังไม่มี พอมาวันนี้ยัยฝรั่งดองมันหอบเงินมาเต็มกระเป๋า
“มี่เอาของเฮียมา”
“แกหมายความว่าไง จะเอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะ”
“มี่ไม่อยากอยู่บ้านใหญ่ มี่ไม่อยากอยู่กับเฮีย” บุรินทร์คือผู้ชายอันตรายที่ไม่ควรอยู่ใกล้ เขาไม่เหมือนคนปกติทั่วไป
“หมายความว่าไงไอ้มี่ แกจะหนีออกจากบ้านเหรอ”
“…..”
“แล้วเฮียเฟยจะยอมเหรอ ดูท่าเขาหวงแกมากเลยนะ” ขนาดไม่เคยเห็นหน้าคร่าตายังรู้สึกได้ว่าบุรินทร์หวงเดมี่ยิ่งกว่าไข่ในหิน จนบางทีก็แอบคิดถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองที่เป็นมากกว่าพี่น้อง
“แต่มี่ไม่อยากอยู่ที่นั่นแล้ว”
“ทำไม มันเกิดอะไรขึ้น”
“มี่กลัว…มี่ไม่อยากอยู่กับเฮีย”
“เขาทำอะไรแกหรือเปล่า มันทำร้ายตบตีแกตรงไหน บอกฉันมา! ฉันจะพาไปแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้”
“เปล่า…เฮียไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น”
“แล้วทำแบบไหน”
“…..”
“จะทำอะไรก็คิดให้ดีนะมี่ พี่ชายแกเขาไม่ใช่คนธรรมดานะ”
“…..”
โรงพยาบาล “น้องจิ๋วมาแล้ว” “ไหนๆ ขอดูบ้าง” “ทำไมน้องไม่ลืมตา” “ตัวนิ่มมากเลย ลองจับดูสิ” เสียงบทสนทนาของพวกเด็กน้อยกำลังพูดคุยกันอย่างไร้เดียงสา ยืนล้อมวงจ้องมองสมาชิกใหม่ที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน “ตัวเป็นอะไร ทำไมไม่มาดูน้องคนใหม่” ฟรานเดินเข้าไปถามแฝดน้องที่เอาแต่นั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงไม่ยอมพูดจา “เบื่อ! เค้าไม่อยากได้น้องผู้ชาย เค้าอยากมีน้องผู้หญิง” เด็กชายบ่นพึมพำพลางเบือนหน้าหันหนี “ผู้ชายก็ดีนะ ตัวจะได้ไม่เหงา จะได้มีเพื่อนเล่นไง” “เล่นแต่ฟุตบอลกับปั่นจักรยานจนเบื่อแล้ว อยากเล่นอย่างอื่นบ้าง” “แล้วอย่างอื่นที่แฝดว่ามันคืออะไร อยากเล่นขายของหรือเล่นตุ๊กตาเหรอ” ใบหน้าน้อยๆ ของฟรานเอียงคอมองน้องชายฝาแฝดอย่างไม่เข้าใจ “เพราะหม่ามี๊เลือกน้องให้เราไม่ได้” “แล้วทำไมแด๊ดดี้ถึงมีแต่ลูกผู้ชาย ทำไมถึงไม่มีลูกผู้หญิงบ้าง” เด็กชายตัดพ้อทำสีหน้าเศร้า ถ้ามีน้องผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนคงได้ปวดหัวกว่าเดิม “เพร
หลายเดือนผ่านไป “อาการของคุณฟาเรนดีขึ้นมากเลยค่ะ วันนี้ทำกายภาพได้หลายอย่างเลย” เดมี่ยิ้มกว้างพร้อมกับหัวใจที่พองโตหลังจากได้ยินข่าวดีจากพยาบาลที่ดูแลลูกชาย ตั้งแต่ได้รับตัวยาชนิดใหม่จากบุรินทร์ อาการของฟาเรนก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ จากกล้ามเนื้อที่เคยอ่อนแรงค่อยๆ ขยับได้มากขึ้น กลายเป็นช่วยเหลือตัวเองได้ดีและเดินเองได้ในที่สุด “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยดูแลฟาเรนให้เป็นอย่างดี” “คุณฟาเรนใจสู้มากค่ะ อีกไม่นานคงวิ่งเล่นกับพวกพี่ๆ ได้อย่างแน่นอน” “มี่รักแด๊ดดี้นะ รักที่สุดในโลก” หญิงสาวเดินเข้าไปกอดชายหนุ่มไว้แน่นแทนคำขอบคุณ ใบหน้าจิ้มลิ้มซบลงบนแผงอกแกร่งอย่างออดอ้อน “อะไรของเธอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นมองการกระทำเหล่านั้น ถึงแม้จะดูเหมือนไม่ค่อยใส่ใจแต่หัวใจของเขายังคงเต้นแรงกับผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอด ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมเสมอมา “เพราะมีแด๊ดดี้ ฟาเรนถึงมีอาการดีขึ้นในทุกวัน ถ้าไม่ได้แด๊ดดี้ช่วยดูแล ลูกคงแย่แน่เลยค่ะ” บุรินทร์อ
“ฟาเรน!” เด็กชายหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย ไปหน้าน้อยๆ เอียงคอมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็นพี่สาววิ่งเข้ามากอด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าบอกว่าปู่จะพาไปเที่ยวต่างประเทศ “ไหนบอกว่าปู่จะพาไปเล่นสกีที่ญี่ปุ่นไง” “ไม่อยากไปแล้ว เอาไว้ให้ฟาเรนหายป่วย พวกเราค่อยไปด้วยกัน” ฟรานโผกอดน้องชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นวิลแชร์ด้วยความคิด เด็กหญิงไม่ได้คิดเสียใจหรือเสียดายเลยสักนิด พวกเขาสามคนตกลงกันแล้วว่าจะไม่ขอไปเที่ยวถ้าเกิดไม่มีฟาเรน หรือถ้าจะไปก็ต้องไปพร้อมกัน “ไปวิ่งเล่นกัน แด๊ดดี้ทำสนามเด็กเล่นให้พวกเราอันใหม่ใหญ่เบ้อเริ่มเลย” “แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ออกจากบ้านนะ เดี๋ยวไม่สบาย” ฟาเรนพูดเสียงเบา สีหน้าดูซึมลงอย่างน่าสงสาร เขารู้ตัวเองเสมอว่าไม่ใช่เด็กปกติเหมือนคนทั่วไป “ตอนนี้แด๊ดดี้ไม่อยู่ ทางสะดวกแล้วนะ อยากไปไหม” “ยะ…อยากไป” พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะวาดสายตาหันซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ “งั้นก็รีบขี่หลังพี่เลย” “จะไม่โดนแด๊ดดี้ตีใช่ไหม”
“ทำอะไรอยู่ตัวเล็ก” “ก่อประสาททรายอยู่ครับ” ฟาเรนเด็กชายวัยห้าขวบหันไปตอบผู้เป็นพ่อ ก่อนจะหันกลับมาสนใจสิ่งตรงหน้าดังเดิม “เล่นคนเดียวเหงาไหม” บุรินทร์ยืนมองลูกน้อยที่นั่งเล่นอยู่ไม่ไกล ข้างกายของฟาเรนมีรถเข็นวิลแชร์ประตำแหน่งและพยาบาลพิเศษมากถึงสามคนคอยประคบประหงมอยู่ไม่ห่าง ถึงแม้ว่าฟาเรนจะมีอายุห้าขวบ แต่น้ำหนักและสัดส่วนค่อนข้างตกเกณฑ์ต่ำกว่าเด็กปกติทั่วไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลข้างเคียงมาจากการคลอดก่อนกำหนด “หนูอยากมีเพื่อน” เด็กชายบอกผ่านน้ำเสียงเศร้าสร้อยท่าทางซึมลงจนสังเกตได้ ตั้งแต่จำความได้ เขาถูกเลี้ยงดูแตกต่างจากเด็กทั่วไป ในขณะที่พวกพี่ได้วิ่งเล่นแต่ฟาเรนทำได้แค่นั่งมองอยู่ในห้องพักปลอดเชื้อต้องให้ยาทุกสี่ชั่วโมง “อย่านั่งตากแดดนาน เดี๋ยวไม่สบาย” “คุณปู่ไม่รักฟาเรนเหรอครับแด๊ดดี้ ทำไมถึงไม่พาหนูไปเที่ยวด้วย” คำถามของลูกชายทำเอามาเฟียหนุ่มหยุดชะงักนิ่งไป หัวอกคนเป็นพ่อสั่นไหวค่อยๆ ย่อตัวนั่งลงข้าง
“แฟรงก์มา!”เด็กน้อยที่นั่งอยู่ต่างหันขวับกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าน้อยๆ ของหลานฉีกยิ้มกว้างเมื่อมองเห็นปู่ที่เดินเข้ามาหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือน“แฟรงก์…แฟรงก์!” เด็กหญิงตะโกนเรียกซ้ำๆ กระโดดโลดเต้นดีใจรีบวิ่งเข้าไปกอดด้วยความคิดถึงวันนี้ในมือปู่มีขนมแถมยังหิ้วของเล่นมาฝากหลานเยอะแยะ ตามใจกว่าแด๊ดดี้และหม่ามี๊ก็คงจะเป็นผู้ชายคนนี้“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกปู่ ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของพวกเอ็งนะ” คนเป็นปู่ถอนหายใจมองหน้าไอ้พวกเด็กฝรั่งที่ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอนแต่ได้พอสบสายตาอันไร้เดียงสาเหล่านั้น หัวใจแกร่งก็ยอมโอนอ่อนให้โดยดี“ปู่คืออะไร” ฟาโรห์ตัวป่วนเอียงคอถามอย่างสงสัย“คือพ่อของพ่อไง”“แล้วพ่อคือใคร” พอได้ยินแบบนั้นยิ่งทำให้งงไปกันใหญ่“พ่อก็คือแด๊ดดี้ไง ภาษาไทยเขาเรียกว่าพ่อ”“เข้าใจแล้ว”“เดี๋ยวนี้ลืมกันแล้วสิ ทำไมพวกเอ็งถึงไม่ไปหาปู่บ้างเลย” บุรินทร์ภัทรแสร้งทำท่าทางตัดพ้อน้อยใจ อยู่ที่บ้านก็เอาแต่ชะเง้อคอคอยมองทางหลานน้อยอยู่ทุกวัน“ไม่ได้ลืมสักหน่อย แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ไป” เด็กหญิงพูดแทรกน้ำเสียงเจื้อยแจ้วแต่สีหน้ากลับดูซึมลงอย่างเห็นได้ชัด“อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปเที่ย
ห้างสรรพสินค้า“อ้าปากสิ เดี๋ยวฉันป้อน” มาเฟียหนุ่มบรรจงตักไอศกรีมคำโตจ่อไปที่ริมฝีปากเล็ก“…..” เดมี่ส่ายหน้าปฏิเสธ เธอเอาแต่คิดถึงลูกน้อยจนไม่เป็นอันทำอะไร“ไหนเคยบอกว่าอยากกินไอติม ก็พามาแล้วยังจะต้องการอะไรอีก”“มี่อยากรู้ว่าลูกเป็นยังไงบ้าง”“ไว้ถึงบ้านแล้วค่อยคุย”“มี่อยากรู้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้มะ…มันไม่มีจิตใจอยากทำอะไรแล้ว” ดวงตาคู่สวยสั่นคลอนอย่างหนัก หยดน้ำตาไหลอาบใบหน้าอย่างสุดกลั้น “ทำไมแด๊ดดี้ถึงไม่บอกกันสักคำว่าลูกเป็นอะไร”“…..”ยิ่งเขาไม่พูดมันออกมา ยิ่งทำให้เธอแทบเสียสติ ในสมองมันเอาแต่คิดมากไปเองต่างๆ นานา “อยากเห็นมี่ขาดใจตายก่อนเหรอ”“ที่ไม่บอกเพราะลูกไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องร้องไห้” บุรินทร์ถอนหายใจหนัก เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาออกให้ ความทุกข์ของเดมี่ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวก็คือเรื่องลูก “ทางโรงพยาบาลเขาโทรมาแจ้งข่าวดี”“ข่าวดี?” คนตัวเล็กรีบยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแบบลวกๆ หลังจากได้ยินประโยคที่เฝ้ารอมานานแสนนาน“อาการลูกดีขึ้นมาก ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเราจะได้ไปรับลูกออกจากโรงพยาบาลด้วยกันอาทิตย์หน้า”“พูดจริงใช่ไหม อย่าหลอกให้ดีใจนะ” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าแสนห