“ฉันอยู่ตรงนี้ มีอะไรก็รีบพูดมา”
บุรินทร์มองท่าทางตื่นกลัวของคนตรงหน้า หย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาหรูหราราคาแพง ไม่ยอมละสายตาจากเธอไปไหน
“…..” เดมี่เอาแต่ยืนก้มหน้า สองมือประสานกันไว้ดูท่าทางสำรวม บุรินทร์ดูเปลี่ยนไปมาก จนแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“ฉันให้เวลาแค่ห้านาที”
“ทำไมเฮียต้องทำร้ายพี่ครามด้วย”
“มันทำงานพลาดก็สมควรแล้ว”
“แต่พี่ครามไม่ผิด มี่เป็นคนผิดเองค่ะ ไม่เห็นจะต้องทำถึงขนาดนี้”
“…..” ชายหนุ่มหยิบมวนบุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาจุดสูบ ถอนหายใจลากยาวพลางขบกรามไว้แน่นเมื่อเดมี่ออกหน้ารับแทนผู้ชายคนอื่น
“มี่ไปเดินห้างกับเพื่อน ไม่รู้ว่าเฮียจะโกรธขนาดนี้ มะ…มี่ขอโทษค่ะ” เดมี่รวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหา ก่อนจะคุกเข่านั่งลงบนพื้นอย่างสำนึกผิด
สองมือวางบนต้นขาแกร่งเหมือนที่เคยชอบทำตอนเป็นเด็กเวลาออดอ้อนอยากให้คนอื่นตามใจ “มี่ทำตัวไม่น่ารักเอง เฮียอย่าดุมี่กับพี่ครามได้มั้ย”
“เอามือของเธอออกไป!”
“…..” หญิงสาวสะดุ้งรีบดึงมือออก เขาเคยดุยังไง มาวันนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
“จะเอาอะไรก็พูดมา” ถึงแม้ว่าเธอไม่ได้พูดออกมาแต่เขาก็พอจะเดาออกว่าเดมี่กำลังมีบางสิ่งบางอย่างในใจ
“มี่อยากได้โทรศัพท์ค่ะ เวลาไปไหนมาไหนจะได้โทรบอกพี่คราม”
“ไอ้ครามมันเป็นผัวเธอหรือไง ถึงต้องคอยรายงานมัน”
“งั้นมี่จะเอาไว้โทรบอกเฮียก็ได้ค่ะ”
“…..”
“ซื้อให้มี่หน่อยนะคะ ไม่ต้องเอาแพงมากก็ได้ เอาไว้แค่โทรหาเฮีย” อย่างน้อยเวลาไปไหนมาไหน เธอจะได้เอาไว้โทรขออนุญาตหรือติดต่อสื่อสาร
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมพาคุณเดมี่ไปซื้อเองครับนาย” ครามออกความคิดเห็น
“ไม่ต้อง!”
“…..” ริมฝีปากอิ่มสวยเม้มเข้าหากันอย่างคิดกังวล ลูกน้องทุกคนต่างดูเกรงกลัวบุรินทร์จนรู้สึกได้
“เดี๋ยวกูพาเด็กนี่ไปเอง”
“แล้วคืนนี้นายจะกลับโกดังหรือเปล่าครับ”
“กูจะค้างที่นี่”
“เดี๋ยวผมสั่งคนไปเตรียมห้องไว้ให้ครับ”
“อืม”
“เฮียกินข้าวมาหรือยัง มี่ได้ของกินมาเยอะแยะเลย” เสียงใสของหญิงสาวช่วยดึงสติของบุรินทร์ให้กลับมาอีกครั้ง
มาเฟียหนุ่มมองสิ่งของมากมายที่วางอยู่ ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เอาเงินที่ไหนซื้อมา”
“เพื่อนซื้อให้ค่ะ”
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
ถึงแม้จะถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่เธอเองก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจ
“ผู้หญิงค่ะ มี่มีเพื่อนสองคนนะชื่อเทียนหอมกับเชอลีน พวกเขาใจดีและดีกับมี่มาก”
“…..”
“ทำไมที่ผ่านมา เฮียถึงไม่มาหามี่บ้าง อยู่บ้านคนเดียวมันเหงานะ” เดมี่พูดเสียงเบา นัยน์ตาดูเศร้าหมอง ถึงแม้จะได้อยู่บ้านหลังใหญ่โตใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายแต่กลับอยู่อย่างโดดเดี่ยว มีแค่ครามที่คอยอยู่เป็นเพื่อนพูดคุย ส่วนลูกน้องคนอื่นไม่แม้แต่จะกล้าเดินเข้าใกล้เธอ
“เดี๋ยวจะหาคนมาอยู่เป็นเพื่อน”
“เฮียมาอยู่ที่นี่กับมี่ได้มั้ยคะ มาอยู่ด้วยกัน”
“ฉันมีงานต้องทำ”
“…..” หญิงสาวพยักหน้าไปมาอย่างเข้าใจ
“มาอยู่ที่นี่ก็หัดทำตัวให้มีประโยชน์ ฉันไม่ได้เอาเธอมาเลี้ยงให้อยู่ฟรีกินฟรี”
“มี่เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าเฮียอยากให้ทำอะไรบอกมาได้เลย” บุรินทร์เป็นเหมือนผู้มีพระคุณให้ชีวิตใหม่ ถ้าไม่มีเขาที่ช่วยเหลือป่านนี้ชีวิตของเธอคงลำบากเร่ร่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้
“ชงเหล้ามาให้ฉัน”
“…..” เดมี่มองขวดเหล้าราคาแพงที่วางอยู่ข้างบุรินทร์อย่างชั่งใจ แอลกอฮอล์หรือของมึนเมาตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยแตะต้องมันเลยสักครั้ง
“มัวนั่งนิ่งทำไม”
“ไม่เคยกิน ทำไม่เป็น”
“น่ารำคาญจริง!”
หมับ! สิ้นประโยคนั้น ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อฝ่ามือหนาเลื่อนเข้ามาจับที่ใบหน้าจิ้มลิ้ม ก่อนที่บุรินทร์จะหยิบขวดเหล้าขึ้นมากรอกปากเธออึกใหญ่
น้ำสีอำพันอึกใหญ่ไหลผ่านริมฝีปาก รสชาติขมเฝื่อนบาดลึกลงไปถึงลำคอ ทำเอาหญิงสาวถึงกลับสำลักหน้าดำหน้าแดง
“อื้อ…แค่ก…”
“กลืนให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่หยดเดียว”
“…..” ลูกน้องคนสนิทที่เห็น เหตุการณ์ต่างพากันยืนก้มหน้าไม่กล้ามีปากเสียง
“พวกมึงออกไป อย่าให้ใครเข้ามาบริเวณนี้จนกว่ากูจะสั่ง”
“ครับนาย”
“…..” เดมี่กลั้นความรู้สึกกระอักกระอ่วน มองตามชายฉกรรจ์ที่พากันเดินออกไป ทำให้บริเวณห้องโถงใหญ่มีแค่คนทั้งสองที่อยู่ด้วยกัน
บรรยากาศรอบตัวค่อยๆ เงียบลงจนเงียบสงัด มีเพียงเสียงหอบหายใจหนักๆ ของหญิงสาวที่ดังพอให้ได้ยิน
“มานั่งบนตักฉัน”
“…..” หญิงสาวหยุดชะงักหลังจากได้ยินประโยคคำสั่ง เลิกคิ้วมองคนตัวสูงอีกครั้งเผื่อได้ยินอะไรผิดไป
“ฉันสั่งไม่ได้ยินหรือไง มานั่งตักฉัน”
“…..” คนถูกเรียกสะดุ้งก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปหาอย่างระมัดระวัง พลางหย่อนตัวนั่งลงบนตักแกร่งของมาเฟียหนุ่ม
“เคยโดนมาบ้างหรือยัง”
“เฮียหมายถึงอะไร”
ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน ขยับใบหน้าคมคายเข้าใกล้กระซิบถามข้างใบหู “ฉันหมายถึง…เธอเคยโดนใครเอามาบ้างหรือยัง”
ไม่ถามเปล่าแต่ค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ สอดฝ่ามือที่กำลังสั่นเทาอย่างหนักเข้าไปลูบไล้ที่ต้นขาขาว ฝังปลายจมูกสูดดมกลิ่นไปตามซอกคอนวลเนียน กลิ่นที่คลั่งไคล้โหยหามาตลอดเวลาระยะเวลาเกือบสิบปี
“ถ้าเธอเคยเป็นของใคร ฉันจะตามจัดการมันให้หมด”
“ไม่เลย มะ…มี่ไม่เคยเป็นของใคร”
“เด็กดี” บุรินทร์ลูบศีรษะของหญิงสาวเบาๆ ราวกับเอ็นดูหลังจากได้ยินคำตอบที่น่าพึงพอใจ
เขาแทบจะไม่ทนไม่ไหว อยากกระแทกความเป็นชายเข้าไปในตัวเธอตอนนี้
“เฮียเฟย อย่าทำแบบนี้…มี่กลัวนะ”
“ฉันจะทำอะไรกับเธอก็ได้ทั้งนั้น!”
“แต่มี่เป็นน้องเฮียนะ แล้วมี่ก็คิดว่าเฮียเป็นพี่ชาย” เดมี่เกิดความสับสนอย่างหนัก เพราะที่ผ่านมาเธอมองเขาเป็นเหมือนพี่ชายมาโดยตลอด
แต่เหมือนว่าความคิดของบุรินทร์จะไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาไม่เคยคิดเห็นเธอเป็นน้องสาวเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเมื่อตอนสิบปีที่แล้วหรือแม้กระทั่งตอนนี้
“ไหนเคยบอกว่าชอบฉัน”
“มี่จำไม่ได้”
“แต่ฉันจำได้” บุรินทร์เลื่อนฝ่ามือเข้าไปประคองใบหน้าจิ้มลิ้มไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จ้องมองดวงตาคู่สวยอย่างเอาเรื่อง “เธอชอบฉัน เธอเคยบอกว่าชอบฉัน เธอชอบฉัน!”
“เฮียเฟย มี่กลัวนะ” เดมี่พยายามผลักอกแกร่งให้ถอยห่าง เขาเอาแต่พูดประโยคเดิมซ้ำๆ วนไปวนมา
สายตาของผู้ชายคนนี้ดูว่างเปล่า จนเธอไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของเขาได้เลย
“ฉันมีแค่เธอ รอแค่เธอ”
หญิงสาวถูกผลักในนอนราบไปบนโซฟาตัวใหญ่ ก่อนที่กระโปรงนักศึกษาตัวยาวคลุมเข่าจะถูกถกขึ้นมาโชว์ต้นขาขาว “ฮะ…เฮียจะทำแบบนั้นกับมี่จริงๆ เหรอ”
“…..”
“งั้นขอเวลาให้มี่สักหน่อยได้ไหม มี่สัญญาว่าจะเป็นของเฮีย” สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้เธอตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้น แล้วมันก็ได้ผลเมื่อบุรินทร์ยอมหยุดการกระทำ “มี่จะเป็นเด็กดีของเฮีย มี่จะยอมให้เฮียทุกอย่างเลย”
“ที่บอกว่าขอเวลา ต้องการกี่วัน”
“…..”
โรงพยาบาล “น้องจิ๋วมาแล้ว” “ไหนๆ ขอดูบ้าง” “ทำไมน้องไม่ลืมตา” “ตัวนิ่มมากเลย ลองจับดูสิ” เสียงบทสนทนาของพวกเด็กน้อยกำลังพูดคุยกันอย่างไร้เดียงสา ยืนล้อมวงจ้องมองสมาชิกใหม่ที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน “ตัวเป็นอะไร ทำไมไม่มาดูน้องคนใหม่” ฟรานเดินเข้าไปถามแฝดน้องที่เอาแต่นั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงไม่ยอมพูดจา “เบื่อ! เค้าไม่อยากได้น้องผู้ชาย เค้าอยากมีน้องผู้หญิง” เด็กชายบ่นพึมพำพลางเบือนหน้าหันหนี “ผู้ชายก็ดีนะ ตัวจะได้ไม่เหงา จะได้มีเพื่อนเล่นไง” “เล่นแต่ฟุตบอลกับปั่นจักรยานจนเบื่อแล้ว อยากเล่นอย่างอื่นบ้าง” “แล้วอย่างอื่นที่แฝดว่ามันคืออะไร อยากเล่นขายของหรือเล่นตุ๊กตาเหรอ” ใบหน้าน้อยๆ ของฟรานเอียงคอมองน้องชายฝาแฝดอย่างไม่เข้าใจ “เพราะหม่ามี๊เลือกน้องให้เราไม่ได้” “แล้วทำไมแด๊ดดี้ถึงมีแต่ลูกผู้ชาย ทำไมถึงไม่มีลูกผู้หญิงบ้าง” เด็กชายตัดพ้อทำสีหน้าเศร้า ถ้ามีน้องผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนคงได้ปวดหัวกว่าเดิม “เพร
หลายเดือนผ่านไป “อาการของคุณฟาเรนดีขึ้นมากเลยค่ะ วันนี้ทำกายภาพได้หลายอย่างเลย” เดมี่ยิ้มกว้างพร้อมกับหัวใจที่พองโตหลังจากได้ยินข่าวดีจากพยาบาลที่ดูแลลูกชาย ตั้งแต่ได้รับตัวยาชนิดใหม่จากบุรินทร์ อาการของฟาเรนก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ จากกล้ามเนื้อที่เคยอ่อนแรงค่อยๆ ขยับได้มากขึ้น กลายเป็นช่วยเหลือตัวเองได้ดีและเดินเองได้ในที่สุด “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยดูแลฟาเรนให้เป็นอย่างดี” “คุณฟาเรนใจสู้มากค่ะ อีกไม่นานคงวิ่งเล่นกับพวกพี่ๆ ได้อย่างแน่นอน” “มี่รักแด๊ดดี้นะ รักที่สุดในโลก” หญิงสาวเดินเข้าไปกอดชายหนุ่มไว้แน่นแทนคำขอบคุณ ใบหน้าจิ้มลิ้มซบลงบนแผงอกแกร่งอย่างออดอ้อน “อะไรของเธอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นมองการกระทำเหล่านั้น ถึงแม้จะดูเหมือนไม่ค่อยใส่ใจแต่หัวใจของเขายังคงเต้นแรงกับผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอด ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมเสมอมา “เพราะมีแด๊ดดี้ ฟาเรนถึงมีอาการดีขึ้นในทุกวัน ถ้าไม่ได้แด๊ดดี้ช่วยดูแล ลูกคงแย่แน่เลยค่ะ” บุรินทร์อ
“ฟาเรน!” เด็กชายหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย ไปหน้าน้อยๆ เอียงคอมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็นพี่สาววิ่งเข้ามากอด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าบอกว่าปู่จะพาไปเที่ยวต่างประเทศ “ไหนบอกว่าปู่จะพาไปเล่นสกีที่ญี่ปุ่นไง” “ไม่อยากไปแล้ว เอาไว้ให้ฟาเรนหายป่วย พวกเราค่อยไปด้วยกัน” ฟรานโผกอดน้องชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นวิลแชร์ด้วยความคิด เด็กหญิงไม่ได้คิดเสียใจหรือเสียดายเลยสักนิด พวกเขาสามคนตกลงกันแล้วว่าจะไม่ขอไปเที่ยวถ้าเกิดไม่มีฟาเรน หรือถ้าจะไปก็ต้องไปพร้อมกัน “ไปวิ่งเล่นกัน แด๊ดดี้ทำสนามเด็กเล่นให้พวกเราอันใหม่ใหญ่เบ้อเริ่มเลย” “แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ออกจากบ้านนะ เดี๋ยวไม่สบาย” ฟาเรนพูดเสียงเบา สีหน้าดูซึมลงอย่างน่าสงสาร เขารู้ตัวเองเสมอว่าไม่ใช่เด็กปกติเหมือนคนทั่วไป “ตอนนี้แด๊ดดี้ไม่อยู่ ทางสะดวกแล้วนะ อยากไปไหม” “ยะ…อยากไป” พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะวาดสายตาหันซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ “งั้นก็รีบขี่หลังพี่เลย” “จะไม่โดนแด๊ดดี้ตีใช่ไหม”
“ทำอะไรอยู่ตัวเล็ก” “ก่อประสาททรายอยู่ครับ” ฟาเรนเด็กชายวัยห้าขวบหันไปตอบผู้เป็นพ่อ ก่อนจะหันกลับมาสนใจสิ่งตรงหน้าดังเดิม “เล่นคนเดียวเหงาไหม” บุรินทร์ยืนมองลูกน้อยที่นั่งเล่นอยู่ไม่ไกล ข้างกายของฟาเรนมีรถเข็นวิลแชร์ประตำแหน่งและพยาบาลพิเศษมากถึงสามคนคอยประคบประหงมอยู่ไม่ห่าง ถึงแม้ว่าฟาเรนจะมีอายุห้าขวบ แต่น้ำหนักและสัดส่วนค่อนข้างตกเกณฑ์ต่ำกว่าเด็กปกติทั่วไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลข้างเคียงมาจากการคลอดก่อนกำหนด “หนูอยากมีเพื่อน” เด็กชายบอกผ่านน้ำเสียงเศร้าสร้อยท่าทางซึมลงจนสังเกตได้ ตั้งแต่จำความได้ เขาถูกเลี้ยงดูแตกต่างจากเด็กทั่วไป ในขณะที่พวกพี่ได้วิ่งเล่นแต่ฟาเรนทำได้แค่นั่งมองอยู่ในห้องพักปลอดเชื้อต้องให้ยาทุกสี่ชั่วโมง “อย่านั่งตากแดดนาน เดี๋ยวไม่สบาย” “คุณปู่ไม่รักฟาเรนเหรอครับแด๊ดดี้ ทำไมถึงไม่พาหนูไปเที่ยวด้วย” คำถามของลูกชายทำเอามาเฟียหนุ่มหยุดชะงักนิ่งไป หัวอกคนเป็นพ่อสั่นไหวค่อยๆ ย่อตัวนั่งลงข้าง
“แฟรงก์มา!”เด็กน้อยที่นั่งอยู่ต่างหันขวับกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าน้อยๆ ของหลานฉีกยิ้มกว้างเมื่อมองเห็นปู่ที่เดินเข้ามาหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือน“แฟรงก์…แฟรงก์!” เด็กหญิงตะโกนเรียกซ้ำๆ กระโดดโลดเต้นดีใจรีบวิ่งเข้าไปกอดด้วยความคิดถึงวันนี้ในมือปู่มีขนมแถมยังหิ้วของเล่นมาฝากหลานเยอะแยะ ตามใจกว่าแด๊ดดี้และหม่ามี๊ก็คงจะเป็นผู้ชายคนนี้“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกปู่ ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของพวกเอ็งนะ” คนเป็นปู่ถอนหายใจมองหน้าไอ้พวกเด็กฝรั่งที่ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอนแต่ได้พอสบสายตาอันไร้เดียงสาเหล่านั้น หัวใจแกร่งก็ยอมโอนอ่อนให้โดยดี“ปู่คืออะไร” ฟาโรห์ตัวป่วนเอียงคอถามอย่างสงสัย“คือพ่อของพ่อไง”“แล้วพ่อคือใคร” พอได้ยินแบบนั้นยิ่งทำให้งงไปกันใหญ่“พ่อก็คือแด๊ดดี้ไง ภาษาไทยเขาเรียกว่าพ่อ”“เข้าใจแล้ว”“เดี๋ยวนี้ลืมกันแล้วสิ ทำไมพวกเอ็งถึงไม่ไปหาปู่บ้างเลย” บุรินทร์ภัทรแสร้งทำท่าทางตัดพ้อน้อยใจ อยู่ที่บ้านก็เอาแต่ชะเง้อคอคอยมองทางหลานน้อยอยู่ทุกวัน“ไม่ได้ลืมสักหน่อย แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ไป” เด็กหญิงพูดแทรกน้ำเสียงเจื้อยแจ้วแต่สีหน้ากลับดูซึมลงอย่างเห็นได้ชัด“อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปเที่ย
ห้างสรรพสินค้า“อ้าปากสิ เดี๋ยวฉันป้อน” มาเฟียหนุ่มบรรจงตักไอศกรีมคำโตจ่อไปที่ริมฝีปากเล็ก“…..” เดมี่ส่ายหน้าปฏิเสธ เธอเอาแต่คิดถึงลูกน้อยจนไม่เป็นอันทำอะไร“ไหนเคยบอกว่าอยากกินไอติม ก็พามาแล้วยังจะต้องการอะไรอีก”“มี่อยากรู้ว่าลูกเป็นยังไงบ้าง”“ไว้ถึงบ้านแล้วค่อยคุย”“มี่อยากรู้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้มะ…มันไม่มีจิตใจอยากทำอะไรแล้ว” ดวงตาคู่สวยสั่นคลอนอย่างหนัก หยดน้ำตาไหลอาบใบหน้าอย่างสุดกลั้น “ทำไมแด๊ดดี้ถึงไม่บอกกันสักคำว่าลูกเป็นอะไร”“…..”ยิ่งเขาไม่พูดมันออกมา ยิ่งทำให้เธอแทบเสียสติ ในสมองมันเอาแต่คิดมากไปเองต่างๆ นานา “อยากเห็นมี่ขาดใจตายก่อนเหรอ”“ที่ไม่บอกเพราะลูกไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องร้องไห้” บุรินทร์ถอนหายใจหนัก เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาออกให้ ความทุกข์ของเดมี่ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวก็คือเรื่องลูก “ทางโรงพยาบาลเขาโทรมาแจ้งข่าวดี”“ข่าวดี?” คนตัวเล็กรีบยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแบบลวกๆ หลังจากได้ยินประโยคที่เฝ้ารอมานานแสนนาน“อาการลูกดีขึ้นมาก ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเราจะได้ไปรับลูกออกจากโรงพยาบาลด้วยกันอาทิตย์หน้า”“พูดจริงใช่ไหม อย่าหลอกให้ดีใจนะ” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าแสนห