เมื่อซูหนี่ได้ฟังเรื่องราวต่างๆจากปากเพื่อนสนิทหมดแล้วก็ถึงกับต้องอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจออกมา
‘นี่… นี่เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ เธอจะมีชีวิตอยู่ที่แห่งนี้อีก2ปีเหรออึก! ล…แล้วฉันล่ะ ฮือ! เธอจะทิ้งฉันเหรอฮึกๆฮื้อๆ’
ทันทีที่อวิ๋นฟางได้ยินเสียงปลายสายส่งเสียงร้องไห้โฮออกมาเธอถึงกับทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องเอ่ยปลอบเพื่อนสาวของเธอคนนี้อย่างไรดี!?
‘ซ…ซูหนี่เธออย่าร้องไห้ไปเลยนะ ฉันก็ยังมีเวลาอยู่กับเธออีกตั้ง2ปีไม่ใช่เหรอ อย่าร้องไห้ไปเลยนะโอ๋ๆ ตอนนี้ฉันไปโอ๋เธอไม่ได้นะ …ถ้าเธอยังไม่หยุดร้องฉันคงจะต้องร้องตามเธอแน่ๆ ล่ะ ’
แม้เธอจะรู้ว่าเพื่อนสาวคนนี้จะต้องเจ็บปวดกับการที่ต้องมารู้เรื่องการจากลาแบบนี้ แต่อย่างไรในเมื่ออีก2ปีเธอก็ต้องจากไปอยู่ดี
ไม่สู้เธอตัดสินใจบอกตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ? แม้จะเสียใจแต่ก็ยังมีเวลาได้ทำใจและตั้งใจใช้เวลาที่เหลืออยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข!
เพราะฉะนั้นเธอไม่เสียใจเลยสักนิด ที่ตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้เพื่อนสนิทฟัง
‘อื้อ! ไม่ร้องแล้วๆ อึก! วันพฤหัสฉันก็คงจะกลับเมืองไทยแล้วล่ะ ถ้าฉันกลับไปถึงฉันจะรีบไปหาเธอเป็นคนแรกเลย! ’
ซูหนี่พูดผ่านปลายสายพร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร แต่อวิ๋นฟางก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเอ่ยเปลี่ยนเรื่องเลยมันที
‘เอาล่ะๆ ฉันรู้แล้ว เธอกลับวันพฤหัสใช่มั้ย อืม… งั้นก็อีก2วันน่ะสิ เดี๋ยวฉันจะให้คุณแม่อวิ๋นทำอาหารของโปรดรอเธอเลยเป็นไง? ’
‘ดีมาก! ฝากบอกพ่ออวิ๋นแม่อวิ๋นด้วยว่าอีก2วันฉันจะไปฝากท้องที่บ้าน แล้วก็ขออาศัยที่บ้านสักวันสองวันนะค้า อิอิ ’
‘ซูหนี่คุยโทรศัพท์เสร็จหรือยังลูก พ่อกับแม่ แล้วก็พี่ชายรออยู่นะจ๊ะ ’
‘ค่าๆ จะรีบออกไปค่า ’
ในขณะที่อวิ๋นฟางกำลังสนทนากับซูหนี่อยู่ ก็มีเสียงตะโกนส่งเสียงเรียกเพื่อนสาวของเธอดังแว่วๆ ผ่านปลายสายออกมา
‘อวิ๋นฟาง งั้นเดี๋ยวฉันต้องไปแล้วอ่ะ คุณแม่มาตามแล้ว งั้นเอาไว้ว่างๆค่อยโทรคุยกันนะ’
‘ได้ๆ เที่ยวให้สนุกนะจ้ะ ’
‘เอาไว้ฉันจะซื้อขนมไปฝากเธอนะ บายจ้ะ’ ติ๊ด!
หลังจากที่วางสายไปแล้วอวิ๋นฟางก็ถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนก่อนที่จะผล็อยหลับไป
5เดือนผ่านไป…
หลังจากวันเกิดของเธอผ่านมาแล้วนี่ก็เป็นเวลา5เดือนแล้ว ตั้งแต่ที่เธอตัดสินใจหยดเลือดใส่กำไลหยกตามที่แม่อวิ๋นบอก
เมื่อหยดเลือดลงไปแล้วก็ถึงกับต้องตะลึงเพราะทันทีที่อวิ๋นฟางหยดเลือดของเธอลงไปไม่นานเธอก็ถูกกำไลหยกดูดจิตวิญญาณพร้อมกับร่างกายของเธอเข้าไปในมิติโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว!
ซึ่งภายในมิติที่เธอเห็นก็มีโกดังอยู่หลายสิบโกดังเลยทีเดียว เนื่องจากเธอจัดการเก็บโกดังที่พ่ออวิ๋นแม่อวิ๋นเตรียมของต่างๆ ไว้ให้ตลอดเป็น10กว่าปีนี้ และนี่ยังไม่รวมกับของที่อวิ๋นฟางซื้อตุนเข้าไปเพิ่มเติมตลอดๆ เลยทำให้ตอนนี้ภายในมิติของเธอนั้นมีสิ่งของต่างๆอัดแน่นอยู่เต็มไปหมด ส่วนอีกฝั่งก็มีบ้านขนาดปานกลางมีสวนหย่อมอยู่รอบๆรั้วของตัวบ้าน ภายในบ้านมีอยู่4ห้อง ซึ่งก็มีห้องนอนห้องน้ำในตัว1ห้อง ห้องครัวมีโต๊ะกินข้าวในตัว ห้องซักผ้ามีเครื่องซักอบผ้าถึง2ขนาด แล้วก็ห้องหนังสือที่รวมหนังสือต่างๆ อยู่เต็มไปหมด และพื้นที่โดยรอบในมิติก็ยังเหลือให้เธอใช้อีกมากมาย!
“อวิ๋นฟางวันนี้แม่ว่าจะพาลูกไปซื้อของต่างๆเพิ่ม อืม… เราไปซื้อพวกครีมทาตัวทาหน้า สบู่ หรือเครื่องสำอางอะไรแบบนี้ดีไหมจ๊ะ? ”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่นัยย์ตาของเธอก็ถึงกับสว่างวาบ
“ไปค่ะ! หนูอยากซื้อพวกของใช้พวกนี้ติดไปเยอะๆ เพราะไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนในเมื่อเป็นผู้หญิงก็ต้องห้ามหยุดสวยจริงมั้ยคะคุณพ่อ คิกๆ ” หญิงสาวเบนใบหน้าหันมาคุยกับคนเป็นพ่อที่กำลังยืนฟังบทสนทนาอยู่อย่างยิ้มๆ
“ฮ่าๆ ใช่แล้วล่ะลูก ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยววันนี้พ่อจะพาลูกกับแม่ไปห้างเอง อืม…งบไม่อั้นเลย! ”
“หืม? แล้วคุณพ่อไม่ต้องเข้าไปบริษัทหรือคะ? ” แม้จะดีใจที่จะได้ไปเลือกซื้อของกับพ่อแม่ แต่เธอก็ไม่อยากรบกวนเวลาของผู้เป็นพ่อจึงอดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้
“วันนี้พ่อเช็คตารางแล้วันนี้ไม่มีงานสำคัญ พ่อบอกเลขาให้ทำเรื่องลาให้พ่อแล้วล่ะ เพราะอย่างนั้นวันนี้พ่อจะพาลูกสาวไปเลือกซื้อของสักหน่อย ”
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ คุณแม่ด้วยนะคะ! ”
อวิ๋นฟางเอ่ยอย่างเอาอกเอาใจผู้เป็นพ่อ แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมากอดแล้วก็ออดอ้อนเอาใจผู้เป็นมารดา
“ขนมจ้ะกระต่ายน้อยของแม่” หนิงเหมยว่างจานขนมกับนมลงบนโต๊ะ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ลูกสาว“ขอบคุณค่ะคุณแม่ อี้เออร์จะกินแล้วน้า~” พูดจบก็รีบยื่นมืออวบอ้วนของตัวเองไปหยิบคุกกี้ในจานเข้าปาก ก่อนจะหลับตาพริ้มราวกับว่ากำลังขึ้นเคลิ้มอย่างไงอย่างงั้นแหละ หึๆการกระทำของเด็กสาวทำเอาคนเป็นแม่กับย่าอดจะยิ้มขำด้วยความเอ็นดู และรักใคร่ไม่ได้ นับวันยิ่งแก่นแก้วและรู้ความนัก“ง่ำๆ อาหย่อยมากเยยค่า อิอิ” เด็กสาวเคี้ยวขนมตุ้ยๆ จนแก้มพอง“หนิงอี้ไม่เอาไม่ทำแบบนี้นะคะ ตอนนี้หนูโตแล้ว เวลาที่กินอะไรอยู่ในปากต้องเคี้ยวให้หมดปากก่อนแล้วถึงค่อยพูด” นางหม่าที่เป็นย่าคนแล้วก็เอ่ยดุหลานสาวคนโปรดออกมา หากหล่อนไปทำแบบนี้ที่อื่นจะทำให้คนอื่นมองไม่ดีเอาได้แต่ทว่าเมื่อเจ้ากระต่ายน้อยที่โดนคนเป็นย่าดุก็ถึงกับยู่ปากอย่างน้อยอกน้อยใจ “คุณย่าดุอี้เออร์…”“อี้เออร์ลูกไม่ร้องนะจ้ะ การที่คุณย่าดุก็ไม่ใช่เพราะว่าหวังดีกับหนูหรือจ้ะ? ไหนลองบอกแม่สิว่าที่คุณย่าดุหนูเมื่อกี้เพราะหนูทำอะไร?”“ฮึก! …เพราะอี้เออร์เคี้ยวขนมไม่หมดปากแล้วพูดค่ะ” เด็กน้อยตอบพร้อมกับเช็ดน้ำตาป้อยๆ“ใช่ แล้วที่คุณย่าดุหนูมันสมควรไหมจ้ะ?”
“แล้วตกลงว่าคุณต้องการจะเอาเรื่องจริงๆ ใช่ไหมครับสหายหนิงเหมย?”“ใช่ค่ะ ครั้งนี้ฉันรับกับการกระทำอุกอาจของแม่สามีไม่ได้จริงๆ ค่ะ คิดจะมาปล้นขโมยของในบ้านฉันทั้งๆ ที่ฉันกำลังตั้งครรภ์อยู่แบบนี้ ถ้าเกิดครั้งนี้ไม่มีแม่หม่าอยู่ด้วยฉันก็คง…” หนิงเหมยไม่ได้กล่าวประโยคอะไรออกมาอีก ได้แต่ปล่อยให้คนคิดกันเองต่อไป“ถ้าอย่างนั้นผมก็คงจะต้องขอเชิญคุณไปที่สถานีตำรวจเพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมด้วยนะครับ ไป! จับตัวหล่อนไป!”“ไม่! ฉันไม่ไป! กรี๊ด! ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ส…สามีคุณช่วยฉันด้วย ฮือๆ” นางโม่วโฉวกรีดร้องออกมาอย่างไม่อาย“นี่พวกคุณจะจับตัวภรรยาของผมไปไหน?” ตำรวจหนุ่มที่ได้ยินคำถามของชายชราด้านหลังก็ได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันมาตอบ“พวกเราต้องขอจับกุมตัวคนร้ายไปที่สถานีตำรวจเพื่อดำเนินคดีต่อไปครับ! หากคุณอยากไปขอยื่นเรื่องประกันตัวก็ให้ไปทำเรื่องที่สถานีตำรวจ” ตำรวจหนุ่มตอบก็เดินออกไปทิ้งให้ชายชราได้แต่ยืนตะลึงงันอยู่เพียงลำพังและหลังจากที่จบเรื่องจากสถานีตำรวจแล้วตงหยางก็รีบพาภรรยากับนางหม่ากลับบ้านพักผ่อนทันที เพราะกลัวว่าภรรยาจะเหนื่อยจนเกินไป โดยที่ในหัวไม่ได้คิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเก
“อะไรนะ?! รออะไรกันอยู่รีบเข้าไปจับตัวนางโม่วโฉวกันสิ!” เขาตะคอกใส่ผู้ชายในกลุ่มชาวบ้านอย่างโกรธเกรี้ยว นางกล้าดีถึงขั้นกระทำการข้ามหน้าข้ามตาเขาถึงขนาดนี้!“ปล่อยข้านะ! พวกแกกล้าดียังไงถึงได้มาจับตัวฉันแบบนี้ คอยดูเถอะฉันจะให้ตาเฒ่าอี้เอาเรื่องพวกแกแน่!” ทันทีที่ได้ยินคำพูดของหญิงชราพวกเขาก็อดที่จะกรอกตาขึ้นอย่างรำคาญใจแต่ทว่าเมื่อโดนหิ้วออกมาจากบ้าน ก็ต้องตกใจแม้กระทั่งเสียงที่กำลังโวยวายก็ยังเปล่งไม่ออก“ทะ…ท่านผู้นำมาที่นี่ได้ยังไง?” นางพยายามเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะตวัดสายตาคมมองไปยังทางหนิงเหมยอย่างไม่พอใจ “นี่แกถึงขั้นกล้าเรียกท่านผู้นำหมู่บ้านมาจับฉันเลยหรือนังลูกสะใภ้ไร้ประโยชน์?!”“หล่อนหยุดก่อเรื่องแล้วมันจะตายหรือไง!”“ท่านผู้นำ… แต่นี่มันเรื่องในครอบครัวของฉัน ท่านผู้นำจะมายุ่งอะไร?” นางโม่วโฉวพูดออกมาอย่างไม่ยินยอม อย่างไรวันนี้เธอก็ต้องได้สิ่งที่เธอต้องการกลับไปให้ได้!“นะ…นี่หล่อนกล้า!” เขายกมือกร้านแดดขึ้นมาชี้หน้าของหล่อนอย่างไม่พอใจ “หล่อนพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง นี่คิดว่าฉันอยากจะสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของหล่อนงั้นรึ? ถ้าหากหล่อนไม่มาก่อเรื่องวุ่นวายที่บ
ทันทีที่ตรวจอาการให้หญิงสาวตรงหน้าเสร็จ ก็หันไปหาชายหนุ่มที่เอาแต่เดินวนเวียนไปมาจนเขาแทบจะมึนหัวไม่ได้“พ่อหนุ่มเลิกเดินแล้วใจเย็นก่อนเถอะ ภรรยาของเอ็งไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ก็แค่ตั้งครรภ์ได้12สัปดาห์แล้วก็เท่านั้น” หมอชราประจำหมู่บ้านกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงติดจะยินดีกับสองสามีภรรยา“อ้อก็แค่ตั้งครรภ์เท่านั้น ห๋า! ภรรยาของผมกำลังท้องอยู่หรือครับ?!” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แค่พอทวนคำตอบแล้วก็ถึงกับต้องร้องตกใจออกมาอย่างตื่นเต้น“ใช่แล้วล่ะ ส่วนเรื่องอาหารการกิน หรือการดูแลภรรยาของเอ็ง เดี๋ยวข้าจะจดเอาไว้ให้ ส่วนเรื่องเทียบยาบำรุงเอ็งก็ไปหาซื้อในเมืองเอาก็แล้วกัน”“ดะ…ได้ ขอรับ!” ชายหนุ่มตอบรับอย่างตื่นเต้น เพราะตัวเขาเองกำลังจะมีลูก จนหนิงเหมยที่นั่งมองอยู่ก็อดส่ายหัวอย่างขำขันสามีไม่ได้ อะไรจะตื่นเต้นปานนั้น?“เอาล่ะ เทียบยาบำรุง อาหารที่ควรจะเลี่ยง หรือการดูแลต่างๆ ข้าก็จะเอาไว้ให้หมดแล้ว ก็คงหมดหน้าที่หมอเท้าเปล่าอย่างข้าสักทียังไงคงต้องขอตัวกลับบ้านก่อน หากมีอะไรก็ไปหาที่บ้านหมอเฉียวได้”“ได้ครับ รบกวนแล้ว ยังไงเดี๋ยวผมขับล่อออกไปส่งที่บ้านครับหมอเฉียว” หลังจากนั้นชายหนุ่ม
หนิงเหมยลูบปลายจมูกด้วยความเจ็บ“ภรรยาเจ็บมากไหมครับ ผมขอโทษนะที่ทำให้คุณเจ็บตัวแบบนี้” ชายหนุ่มกล่าว พร้อมกับจับปลายคางภรรยาให้เชิดขึ้นเพื่อดูจมูกของภรรยา“มะ…ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อีกไม่นานก็คงจะหายแล้ว ว่าแต่คุณมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?” หญิงสาวเงยหน้าถามพร้อมกับใบหน้าฉงนสงสัย“เอ่อ ผมก็เพิ่งจะเดินมาไม่นานครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วเราเข้าบ้านไปกินข้าวกันดีกว่า ป่านนี้ป้าหม่าคงจะนั่งรอแย่แล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยตอบออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องชวนคนเป็นภรรยาเข้าบ้าน“อ๊ะ! จริงด้วยค่ะ ถ้าอย่างนั้นเรารีบเข้าบ้านกันดีกว่า” ทั้งสองคนปิดประตูก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้านพร้อมกันนี่ก็เป็นเวลาหลายวันแล้วหลังจากที่ผ่านพ้นวันปีใหม่มา ตอนนี้หนิงเหมยกับตงหยางก็มีธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเองแล้ว ซึ่งหนิงเหมยทำแผงลอยขายแป้งย่างราคาไม่กี่เฟินเท่านั้นเอง และถึงแม้ว่าแผงลอยนี้จะไม่ใช่ร้านที่ใหญ่โตอะไรแต่ก็พอมีกำไรรายได้เข้ากระเป๋าให้คนทั้งคู่ได้ไม่เว้นแต่ละวันเชียวส่วนนางหม่าก็มาช่วยทั้งสองคนบ้างเป็นบางครั้งบางคราวแต่ทว่าก็ไม่ได้บ่อยนัก เพราะหนิงเหมยเองก็ไม่ค่อยอยากจะให้นางหม่าออกมาตากแดดตากลมยืนหล
“เห้อตาเฒ่าอี้ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องภายในครอบครัวของแกหรอกนะ แต่อย่างไรหนิงเหมยก็ได้ชื่อว่าเป็น ‘บุตรสาวบุญธรรม’ ของฉัน แล้วจะให้ฉันนางหม่าคนนี้ทนเห็นบุตรสาวโดนคนในครอบครัวอี้ของแกมารังแกอีกก็อย่างไรอยู่”“บุตรสาวบุญธรรม?” อี้จางหย่งสบถขึ้นมาด้วยความฉงนใจ“อ้อใช่ตอนนี้หนิงเหมยเป็นบุตรสาวบุญธรรมของฉันแล้ว หากคนบ้านอี้ยังคิดที่จะมาก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่ไม่เลิกฉันก็คงไม่คิดจะไว้หน้าใครอีก!” นางหม่าพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุดัน“ป้าหม่าครับนี่ก็ได้เวลากินข้าวแล้วพวกเรากินข้าวกันเลยดีไหม อ้อแล้วนี่คุณพ่อมีอะไรที่นี่อีกหรือเปล่าครับ?” ตงหยางเอ่ยโดยที่ไม่ได้คิดจะสนใจคนเป็นพ่อเลยสักนิด“...” อี้จางหย่งไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกมา ก่อนจะถอนหายใจฟืดฟาดแล้วกระทืบเท้าปึงปังออกจากบ้านไปด้วยความโมโหกับการกระทำของเจ้าลูกชายไม่ได้ความคนนี้ ช่างเป็นคนที่อกตัญญูจริงๆ!เมื่อคนนอกออกไปตอนนี้ภายในบ้านจึงเหลือเพียงแค่สองสามีภรรยา กับนางหม่าเท่านั้น“เอ่อถ้าอย่างนั้นฉันจะเข้าไปเตรียมอาหารออกมาขึ้นโต๊ะเลยก็แล้วกันนะคะ” หนิงเหมยเอ่ยขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าพ่อสามีเดินออกจากบ้านไปแล้วแต่ทว่ายังไม่ทันท