อวิ๋นฟางใช้เวลาชีวิตที่เหลืออยู่กับการฝึกฝนเรียนรู้ทุกๆอย่างอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ ส่วนเวลาที่เหลือจากการฝึกฝนเธอก็ไปเลือกซื้อของต่างๆ เพื่อเก็บใส่มิติไว้ยามฉุกเฉิน
เพราะอวิ๋นฟางถือคติว่า เหลือดีกว่าขาด! เธอยอมซื้อของไปแล้วไม่ได้ใช้ดีกว่าการที่ซื้อไปแล้วขาดดีกว่า
ซึ่งเธอทำแบบนี้ไปเรื่อยๆในทุกๆวัน จนกระทั่งมาถึงวันที่ไม่มีใครอยากให้มาถึง นั่นก็คือวันครบรอบอายุ20ปีของอวิ๋นฟางนั่นเอง…
[20:30 น.]
“สุขสันต์วันเกิดนะอวิ๋นฟางลูกรัก แม่ขอให้ลูกสาวของแม่มีแต่ความสุข มีแต่คนรักมีแต่คนเอ็นดูนะลูก ”
อวิ๋นฟางที่เห็นท่าทางพยายามฝืนยิ้มทั้งที่ตาแดงเรื่อของผู้เป็นมารดาก็อดที่จะรู้สึกเศร้าขึ้นมาไม่ได้ แต่ก็ต้องฝืนยิ้มออกมาเพื่อให้ทุกคนสบายใจ!
“ขอบคุณนะคะแม่อวิ๋น ขอบคุณที่รักและคอยดูแลหนูมาลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ ทั้งๆที่หนูไม่ใช่ลูกแท้ๆของพ่อกับแม่ด้วยซ้ำ อึก! หนูรักพ่ออวิ๋นกับแม่อวิ๋นที่สุดเลยค่ะ ฮือๆ …!” อวิ๋นฟางที่เอ่ยพูดออกมาอีกทั้งต้องพยายามกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเอง ทว่าเธอก็ยังก็ไม่อาจกลั้นได้จนเผลอร้องไห้โฮออกมาจนคนที่มองอยู่ก็ยังต้องรู้สึกเศร้าเสียใจไปตามๆ กัน
“พ่อกับแม่ก็รักลูกเหมือนกันนะจ้ะ ลูกอย่าร้องไห้ไปเลยนะลูก มากอดพ่อกับแม่เร็ว! ”
อวิ๋นฟางไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปกอดผู้เป็นบิดามารดาอย่างเสียใจทันที
“ลูกสาวของพ่อพ่อขอให้หนูเป็นคนที่มีแต่ความสุข ไม่ว่าจะทำอะไรพ่อก็ขอให้หนูมีสตินะลูก หากเมื่อไหร่ที่ลูกรู้สึกไม่ดีให้นึกถึงพ่อกับแม่ พ่อกับแม่จะคอยปลอบปะโลมทุกความเสียใจของลูกเสมอ”
คนเป็นพ่อเอ่ยอวยพรทั้งที่ยังคงกอดปลอบบุตรสาวอย่างรักใคร่…
“ขอบคุณนะคะพ่ออวิ๋น ขอโทษที่หนูไม่ได้อยู่ทดแทนบุญคุณของพ่อกับแม่เท่าที่ควรนะคะ เพราะแบบนั้นหนูขอให้พ่ออวิ๋นกับแม่อวิ๋นดูแลรักษาสุขภาพด้วยนะคะ ฮึก! ”
“พ่อกับแม่เข้าใจแล้วจ่ะ ลูกไม่ต้องเป็นห่วงหรือกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องของพ่อกับแม่เลยรู้ไหม? พ่อกับแม่จะคอยดูแลกันให้ดี”
“เธอไม่ต้องเป็นห่วงคุณน้าทั้งสองเลยนะอวิ๋นฟาง ฉันจะคอยมาดูแลท่านทั้งสองคนทนเธอเอง! คุณน้าทั้งสองคนก็เหมือนพ่อแม่ของฉันอีกคนหนึ่งเพราะฉะนั้นเธอไม่ต้องกังวลใจเลยนะ ”
“ขอบใจเธอมากนะซูหนี่ ฉันดีใจจริงๆที่มีเธอเป็นเพื่อน! ”
ซูหนี่ช่วยปัดน้ำตาที่ไหลอยู่ตามกรอบหน้าของเธอ จึงได้เอื้อมมือเรียวมาเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะเอ่ยตอบออกมา
“ฉันก็ดีใจที่มีเธอเป็นเพื่อนนะ เธอจะเป็นเพื่อนรักเพียงคนเดียวของฉันตลอดไป
แล้วก็สุขสันต์วันเกิดที่อายุครบ20ปีบริบูรณ์นะจ้ะเพื่อนสาว! ฉัน…อึก! ขอให้เธอมีความสุข ไม่ว่าอยู่ที่ไหนฉันก็ขอให้เธอแคล้วคลาดปลอดภัยนะฮือๆ … ”
“ขอบใจนะจ้ะซูหนี่ ฉันฝากเธอดูแลพ่อกับแม่ของฉันแทนฉันด้วยนะ ”
“อื้ม! เธอไม่ต้องห่วงนะ ”
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ช่วยกันเลี้ยงส่งวันเกิดครั้งสุดท้ายให้แก่อวิ๋นฟางอย่างมีความสุข แม้ในใจทุกคนจะเสียใจแค่ไหนแต่ก็ไม่มีใครแสดงออกมาให้เธอได้รับรู้
ทว่าเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ อีกไม่กี่นาทีเวลาของอวิ๋นฟางก็จะหมดแล้ว…
“วันนี้เป็นวันที่หนูจะจดจำไปตลอดชีวิตเลยค่ะ! ขอบคุณนะคะ ขอบคุณเธอด้วยนะซูหนี่สำหรับวันนี้” อวิ๋นฟางหันมาเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มที่สดใส
อวิ๋นฟางเอ่ยประโยคสุดท้ายและจบด้วยรอยยิ้มที่สดใสก่อนที่ลมหายใจของเธอจะค่อยๆ จางหายไป จนกระทั่งไม่เหลือลมหายใจอยู่แล้ว
ทั้งสามคนที่รู้ว่าอวิ๋นฟางได้จากไปแล้วก็ต่างพากันนั่งลงข้างๆ โซฟาของอวิ๋นฟางก่อนที่จะยื่นมือมาจับมือของอวิ๋นฟางพร้อมกับร้องไห้เสียใจออกมาอย่างน่าเวทนา
………
ณ ประเทศจีน เมืองมณฑลยูนนาน ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1976
“อึก! ทำไมปวดเนื้อปวดตัวอย่างนี้เนี่ย อ๊า! … ” อวิ๋นฟางกุมขมับของตัวเองอย่างเจ็บปวด
ไม่นานอวิ๋นฟางเธอก็ค่อยๆ เรียบเรียงภาพความทรงจำต่างๆ ที่ได้ส่งมาให้เธอ ไม่นานอวิ๋นฟางเธอก็เริ่มที่จะประติดประต่อความทรงจำต่างๆได้
“ขนมจ้ะกระต่ายน้อยของแม่” หนิงเหมยว่างจานขนมกับนมลงบนโต๊ะ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ลูกสาว“ขอบคุณค่ะคุณแม่ อี้เออร์จะกินแล้วน้า~” พูดจบก็รีบยื่นมืออวบอ้วนของตัวเองไปหยิบคุกกี้ในจานเข้าปาก ก่อนจะหลับตาพริ้มราวกับว่ากำลังขึ้นเคลิ้มอย่างไงอย่างงั้นแหละ หึๆการกระทำของเด็กสาวทำเอาคนเป็นแม่กับย่าอดจะยิ้มขำด้วยความเอ็นดู และรักใคร่ไม่ได้ นับวันยิ่งแก่นแก้วและรู้ความนัก“ง่ำๆ อาหย่อยมากเยยค่า อิอิ” เด็กสาวเคี้ยวขนมตุ้ยๆ จนแก้มพอง“หนิงอี้ไม่เอาไม่ทำแบบนี้นะคะ ตอนนี้หนูโตแล้ว เวลาที่กินอะไรอยู่ในปากต้องเคี้ยวให้หมดปากก่อนแล้วถึงค่อยพูด” นางหม่าที่เป็นย่าคนแล้วก็เอ่ยดุหลานสาวคนโปรดออกมา หากหล่อนไปทำแบบนี้ที่อื่นจะทำให้คนอื่นมองไม่ดีเอาได้แต่ทว่าเมื่อเจ้ากระต่ายน้อยที่โดนคนเป็นย่าดุก็ถึงกับยู่ปากอย่างน้อยอกน้อยใจ “คุณย่าดุอี้เออร์…”“อี้เออร์ลูกไม่ร้องนะจ้ะ การที่คุณย่าดุก็ไม่ใช่เพราะว่าหวังดีกับหนูหรือจ้ะ? ไหนลองบอกแม่สิว่าที่คุณย่าดุหนูเมื่อกี้เพราะหนูทำอะไร?”“ฮึก! …เพราะอี้เออร์เคี้ยวขนมไม่หมดปากแล้วพูดค่ะ” เด็กน้อยตอบพร้อมกับเช็ดน้ำตาป้อยๆ“ใช่ แล้วที่คุณย่าดุหนูมันสมควรไหมจ้ะ?”
“แล้วตกลงว่าคุณต้องการจะเอาเรื่องจริงๆ ใช่ไหมครับสหายหนิงเหมย?”“ใช่ค่ะ ครั้งนี้ฉันรับกับการกระทำอุกอาจของแม่สามีไม่ได้จริงๆ ค่ะ คิดจะมาปล้นขโมยของในบ้านฉันทั้งๆ ที่ฉันกำลังตั้งครรภ์อยู่แบบนี้ ถ้าเกิดครั้งนี้ไม่มีแม่หม่าอยู่ด้วยฉันก็คง…” หนิงเหมยไม่ได้กล่าวประโยคอะไรออกมาอีก ได้แต่ปล่อยให้คนคิดกันเองต่อไป“ถ้าอย่างนั้นผมก็คงจะต้องขอเชิญคุณไปที่สถานีตำรวจเพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมด้วยนะครับ ไป! จับตัวหล่อนไป!”“ไม่! ฉันไม่ไป! กรี๊ด! ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ส…สามีคุณช่วยฉันด้วย ฮือๆ” นางโม่วโฉวกรีดร้องออกมาอย่างไม่อาย“นี่พวกคุณจะจับตัวภรรยาของผมไปไหน?” ตำรวจหนุ่มที่ได้ยินคำถามของชายชราด้านหลังก็ได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันมาตอบ“พวกเราต้องขอจับกุมตัวคนร้ายไปที่สถานีตำรวจเพื่อดำเนินคดีต่อไปครับ! หากคุณอยากไปขอยื่นเรื่องประกันตัวก็ให้ไปทำเรื่องที่สถานีตำรวจ” ตำรวจหนุ่มตอบก็เดินออกไปทิ้งให้ชายชราได้แต่ยืนตะลึงงันอยู่เพียงลำพังและหลังจากที่จบเรื่องจากสถานีตำรวจแล้วตงหยางก็รีบพาภรรยากับนางหม่ากลับบ้านพักผ่อนทันที เพราะกลัวว่าภรรยาจะเหนื่อยจนเกินไป โดยที่ในหัวไม่ได้คิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเก
“อะไรนะ?! รออะไรกันอยู่รีบเข้าไปจับตัวนางโม่วโฉวกันสิ!” เขาตะคอกใส่ผู้ชายในกลุ่มชาวบ้านอย่างโกรธเกรี้ยว นางกล้าดีถึงขั้นกระทำการข้ามหน้าข้ามตาเขาถึงขนาดนี้!“ปล่อยข้านะ! พวกแกกล้าดียังไงถึงได้มาจับตัวฉันแบบนี้ คอยดูเถอะฉันจะให้ตาเฒ่าอี้เอาเรื่องพวกแกแน่!” ทันทีที่ได้ยินคำพูดของหญิงชราพวกเขาก็อดที่จะกรอกตาขึ้นอย่างรำคาญใจแต่ทว่าเมื่อโดนหิ้วออกมาจากบ้าน ก็ต้องตกใจแม้กระทั่งเสียงที่กำลังโวยวายก็ยังเปล่งไม่ออก“ทะ…ท่านผู้นำมาที่นี่ได้ยังไง?” นางพยายามเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะตวัดสายตาคมมองไปยังทางหนิงเหมยอย่างไม่พอใจ “นี่แกถึงขั้นกล้าเรียกท่านผู้นำหมู่บ้านมาจับฉันเลยหรือนังลูกสะใภ้ไร้ประโยชน์?!”“หล่อนหยุดก่อเรื่องแล้วมันจะตายหรือไง!”“ท่านผู้นำ… แต่นี่มันเรื่องในครอบครัวของฉัน ท่านผู้นำจะมายุ่งอะไร?” นางโม่วโฉวพูดออกมาอย่างไม่ยินยอม อย่างไรวันนี้เธอก็ต้องได้สิ่งที่เธอต้องการกลับไปให้ได้!“นะ…นี่หล่อนกล้า!” เขายกมือกร้านแดดขึ้นมาชี้หน้าของหล่อนอย่างไม่พอใจ “หล่อนพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง นี่คิดว่าฉันอยากจะสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของหล่อนงั้นรึ? ถ้าหากหล่อนไม่มาก่อเรื่องวุ่นวายที่บ
ทันทีที่ตรวจอาการให้หญิงสาวตรงหน้าเสร็จ ก็หันไปหาชายหนุ่มที่เอาแต่เดินวนเวียนไปมาจนเขาแทบจะมึนหัวไม่ได้“พ่อหนุ่มเลิกเดินแล้วใจเย็นก่อนเถอะ ภรรยาของเอ็งไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ก็แค่ตั้งครรภ์ได้12สัปดาห์แล้วก็เท่านั้น” หมอชราประจำหมู่บ้านกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงติดจะยินดีกับสองสามีภรรยา“อ้อก็แค่ตั้งครรภ์เท่านั้น ห๋า! ภรรยาของผมกำลังท้องอยู่หรือครับ?!” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แค่พอทวนคำตอบแล้วก็ถึงกับต้องร้องตกใจออกมาอย่างตื่นเต้น“ใช่แล้วล่ะ ส่วนเรื่องอาหารการกิน หรือการดูแลภรรยาของเอ็ง เดี๋ยวข้าจะจดเอาไว้ให้ ส่วนเรื่องเทียบยาบำรุงเอ็งก็ไปหาซื้อในเมืองเอาก็แล้วกัน”“ดะ…ได้ ขอรับ!” ชายหนุ่มตอบรับอย่างตื่นเต้น เพราะตัวเขาเองกำลังจะมีลูก จนหนิงเหมยที่นั่งมองอยู่ก็อดส่ายหัวอย่างขำขันสามีไม่ได้ อะไรจะตื่นเต้นปานนั้น?“เอาล่ะ เทียบยาบำรุง อาหารที่ควรจะเลี่ยง หรือการดูแลต่างๆ ข้าก็จะเอาไว้ให้หมดแล้ว ก็คงหมดหน้าที่หมอเท้าเปล่าอย่างข้าสักทียังไงคงต้องขอตัวกลับบ้านก่อน หากมีอะไรก็ไปหาที่บ้านหมอเฉียวได้”“ได้ครับ รบกวนแล้ว ยังไงเดี๋ยวผมขับล่อออกไปส่งที่บ้านครับหมอเฉียว” หลังจากนั้นชายหนุ่ม
หนิงเหมยลูบปลายจมูกด้วยความเจ็บ“ภรรยาเจ็บมากไหมครับ ผมขอโทษนะที่ทำให้คุณเจ็บตัวแบบนี้” ชายหนุ่มกล่าว พร้อมกับจับปลายคางภรรยาให้เชิดขึ้นเพื่อดูจมูกของภรรยา“มะ…ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อีกไม่นานก็คงจะหายแล้ว ว่าแต่คุณมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?” หญิงสาวเงยหน้าถามพร้อมกับใบหน้าฉงนสงสัย“เอ่อ ผมก็เพิ่งจะเดินมาไม่นานครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วเราเข้าบ้านไปกินข้าวกันดีกว่า ป่านนี้ป้าหม่าคงจะนั่งรอแย่แล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยตอบออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องชวนคนเป็นภรรยาเข้าบ้าน“อ๊ะ! จริงด้วยค่ะ ถ้าอย่างนั้นเรารีบเข้าบ้านกันดีกว่า” ทั้งสองคนปิดประตูก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้านพร้อมกันนี่ก็เป็นเวลาหลายวันแล้วหลังจากที่ผ่านพ้นวันปีใหม่มา ตอนนี้หนิงเหมยกับตงหยางก็มีธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเองแล้ว ซึ่งหนิงเหมยทำแผงลอยขายแป้งย่างราคาไม่กี่เฟินเท่านั้นเอง และถึงแม้ว่าแผงลอยนี้จะไม่ใช่ร้านที่ใหญ่โตอะไรแต่ก็พอมีกำไรรายได้เข้ากระเป๋าให้คนทั้งคู่ได้ไม่เว้นแต่ละวันเชียวส่วนนางหม่าก็มาช่วยทั้งสองคนบ้างเป็นบางครั้งบางคราวแต่ทว่าก็ไม่ได้บ่อยนัก เพราะหนิงเหมยเองก็ไม่ค่อยอยากจะให้นางหม่าออกมาตากแดดตากลมยืนหล
“เห้อตาเฒ่าอี้ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องภายในครอบครัวของแกหรอกนะ แต่อย่างไรหนิงเหมยก็ได้ชื่อว่าเป็น ‘บุตรสาวบุญธรรม’ ของฉัน แล้วจะให้ฉันนางหม่าคนนี้ทนเห็นบุตรสาวโดนคนในครอบครัวอี้ของแกมารังแกอีกก็อย่างไรอยู่”“บุตรสาวบุญธรรม?” อี้จางหย่งสบถขึ้นมาด้วยความฉงนใจ“อ้อใช่ตอนนี้หนิงเหมยเป็นบุตรสาวบุญธรรมของฉันแล้ว หากคนบ้านอี้ยังคิดที่จะมาก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่ไม่เลิกฉันก็คงไม่คิดจะไว้หน้าใครอีก!” นางหม่าพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุดัน“ป้าหม่าครับนี่ก็ได้เวลากินข้าวแล้วพวกเรากินข้าวกันเลยดีไหม อ้อแล้วนี่คุณพ่อมีอะไรที่นี่อีกหรือเปล่าครับ?” ตงหยางเอ่ยโดยที่ไม่ได้คิดจะสนใจคนเป็นพ่อเลยสักนิด“...” อี้จางหย่งไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกมา ก่อนจะถอนหายใจฟืดฟาดแล้วกระทืบเท้าปึงปังออกจากบ้านไปด้วยความโมโหกับการกระทำของเจ้าลูกชายไม่ได้ความคนนี้ ช่างเป็นคนที่อกตัญญูจริงๆ!เมื่อคนนอกออกไปตอนนี้ภายในบ้านจึงเหลือเพียงแค่สองสามีภรรยา กับนางหม่าเท่านั้น“เอ่อถ้าอย่างนั้นฉันจะเข้าไปเตรียมอาหารออกมาขึ้นโต๊ะเลยก็แล้วกันนะคะ” หนิงเหมยเอ่ยขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าพ่อสามีเดินออกจากบ้านไปแล้วแต่ทว่ายังไม่ทันท