หลังจากแยกบ้านวันนี้ก็ผ่านมาสามวันแล้ว เหอเสี่ยวหงในตอนนี้ก็กำลังบำรุงร่างกายเพราะเพิ่งแท้งลูกและยืนนานเกินไปตกดึกจึงปวดท้องทำให้ล้มนอนอีกครั้ง
‘พี่สะใภ้ใหญ่’
‘อ้าว น้องสาวสามตื่นแล้วเหรอ’
‘ใช่ค่ะ เสี่ยวจวี่ร้องไห้งอแงน่ะค่ะ’
เสียงทักทายของพี่สะใภ้และน้องสาวสามีดังขึ้นข้างนอกห้องของเหอเสี่ยวหง
เนื่องจากบ้านหลังนี้มี 8 ห้องนอน เหอเสี่ยวหงเลือกเอา 3 ห้อง เหอหรงหรงก็เลือกเอา 3 ห้อง โจวมี่เลือก 1 ห้อง มันจึงเหลือ 1 ห้อง ทั้งสามจึงตกลงกันว่าจะทำเป็นห้องครัว ส่วนห้องครัวเก่าก็จะทำเป็นห้องเก็บฟืน
บ้านหลังนี้อยู่ติดกับคลองน้ำที่ชาวบ้านใช้ แต่บ้านหลังนี้อยู่ต้นน้ำและมีกำแพงอ้อมสูง 2 เมตร ลานหน้าบ้านนั้นมีต้นไม้ต้นใหญ่ 2 ต้น ใต้ต้นไม้จะมีโต๊ะและเก้าอี้อยู่ 2-3 ตัว
ข้างบ้านด้านขวาจะมีห้องครัวเก่าที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นห้องเก็บฟืน กับมีบ่อน้ำที่มีไม่กี่บ่อในหมู่บ้าน ส่วนด้านหลังนั้นจะเป็นแปลงผักกับเล้าไก่เก่า
ภายในตัวบ้านจะคล้ายครึ่งวงกลม เมื่อเปิดประตูทางซ้ายจะเป็นห้องครัว ถัดจากห้องครัว 2 ห้อง จะเป็นห้องของเหอหรงหรง ส่วนอีกห้องจะเป็นห้องตรงข้ามกับประตู ข้างๆกันจะมีอีกห้องที่ยกให้โจวมี่ และทางด้านขวาจะเป็นห้องของเหอเสี่ยวหง
เหอเสี่ยวห้องนั้นนอนห้องที่อยู่ติดประตูและตรงข้ามห้องครัวกับลูกสาวคนเล็ก ส่วนลูกสาวคนโต คนรอง คนกลาง นอนห้องตรงกลางเพราะลูกๆเริ่มโตแล้วเหอเสี่ยวหงจึงแยกห้องนอน และเตียงเตานั้นเล็กเกินไป
ส่วนตรงกลางบ้านจะมีโต๊ะยาวที่สามารถนั่งได้หลายคนกับมีเก้าอีก 7 ตัว
ส่วนอาหารนั้นแน่นอนว่าต้องแยกกันทำเพราะทุกคนได้แยกบ้านกันแล้ว แต่ถ้าหากจะกินข้าวด้วยกันก็แค่ทำแล้วเอามารวมกันก็ได้
หม้อที่ได้จากการแยกบ้าน 1 ใบ กับโจวมี่ที่ได้มาจากบ้านอดีตสามี 1 ใบ พอดีกับเตาที่มีในบ้าน 2 เตา จึงทำให้การทำอาหารนั้นไม่ค่อยยุ่งยาก
แกร๊ก
“พี่สะใภ้ใหญ่ โจวมี่” เหอเสี่ยวหงเรียกทั้งสอง
“สะใภ้รองเป็นอย่างไรบ้าง มานั่งก่อน ๆ ” เหอหรงหรงมาพยุงเหอเสี่ยวหงไปนั่ง
สามวันที่ผ่านมาเหอเสี่ยวหงไม่ได้ลุกออกมาจากห้องเลย เพราะต้องพักร่างกายจะมีเหอหรงหรงกับโจวมี่เข้าไปดูอาการสลับกันบ้าง
ส่วนอาหารจะเป็นโจวเอ้อร์นีที่เป็นคนทำอาหาร ถึงแม้จะยังเด็กแต่เพราะเข้าครัวตั้งแต่เด็กจึงทำอาหารเป็นบ้าง
“เป็นอย่างไรบ้างคะพี่สะใภ้รอง” เป็นโจวมี่ที่เอ่ยถาม
“พี่ดีขึ้นแล้วจ้ะ” เหอเสี่ยวหงตอบ
“เฮ้อ หมดทุกข์สักทีนะ” เหอหรงหรงว่า
‘คิดแบบนั้นเหรอ’ เหอเสี่ยวหงคิดในใจ
“แล้วโจวมี่จะเอายังไงเหรอจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงถาม
“เดิมทีฉันจะเอาลูกมาฝากคุณแม่เลี้ยงน่ะค่ะ แต่จะจ้างเลี้ยง แต่คงจะไม่ได้แล้ว นี่ก็ใกล้หมดเวลาลาของฉันแล้ว” โจวมี่ว่าพลางป้อนนมลูกสาว
“แล้วทำไมถึงหย่ากับน้องเขยละจ๊ะ” เป็นเหอหรงหรงที่เป็นคนถาม
“ก็เพราะคนบ้านหลี่รู้ยังไงล่ะคะว่าพี่ชายใหญ่ฉันบาดเจ็บและพี่รองฉันถูกส่งไปที่อื่น! ก็เลยหาทางเขี่ยฉันออกเพราะสามีฉันไปชอบลูกสาวหัวหน้าแผนกฉัน! พอคลอดเสี่ยวจวี่ ก็บังคับฉันหย่า บอกว่าฉันไม่มีหลานชายให้ ยังดีที่พ่อสามียังมีเยื่อใยต่อหลานสาวบ้างก็เลยให้จักรเย็บผ้ากับจักรยานพ่วงข้างที่ได้เป็นสินสอดให้ฉัน เอาหม้อให้กับเงินอีกร้อยกว่าหยวน” โจวมี่พูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด
คนบ้านหลี่ย่อมรู้ว่าตอนนี้บ้านโจวไม่ต่างกับนกที่ปีกหัก เพราะเสาหลักของบ้านคนหนึ่งก็บาดเจ็บ คนหนึ่งก็ถูกย้ายไปที่อื่น ทำให้ไม่มีใครเกรงกลัวโจวมี่และบังคับหย่า
“คนบ้านหลี่นี่ก็จริงๆ พอจะแต่งก็แทบกราบเท้า พอจะหย่าก็หย่า!” เหอหรงหรงโมโห
ลูกสาวที่แต่งออกจากบ้านก็เหมือนกับน้ำที่ถูกสาดออก แล้วหากถูกหย่าก็ไม่มีใครอยากแต่งงานด้วยอีก ในตอนนี้ยังไม่ได้พัฒนามาก หากถูกหย่าและกลับบ้านเดิมก็จะถูกนินทา!
“ยังดีนะคะ ที่บ้านหลี่ได้ซื้อนมไว้แล้วเพราะคิดว่าจะได้หลานชาย พอหย่าฉันก็ให้นมผงมา 5 กระปุก!” โจวมี่ว่า
“โอ้ ดีจริง ๆ” เหอเสี่ยวหงเห็นด้วย
หากจะซื้อของต้องมีคูปองและเส้นสายกับความเร็วบ้างถึงจะซื้อได้ เพราะของเป็นที่ต้องการมาก บ้านหลี่มีตำแหน่งในร้านค้าของรัฐหลายแห่งจึงซื้อได้แต่ก็ต้องจ่ายเงินอีกหลายหยวนเพื่อซื้อ
ตอนนี้เสี่ยวจวี่ยังกินนมของโจวมี่อยู่ นม 5 กระป๋องจึงยังไม่ได้ใช้ แต่ถ้าเสี่ยวจวี่ต้องกินนมผง อย่างน้อยก็อยู่ได้เดือนเดียวกับอย่างมากก็สองเดือน
“เอาอย่างนี้ไหม เอาเสี่ยวจวี่ให้พี่เลี้ยงให้ก่อน เธอจะได้ทำงานได้!” เหอหรงหรงบอกโจวมี่
จริงๆเหอเสี่ยวหงก็อยากเป็นคนเลี้ยงอยู่หรอกแต่ก็เพราะตอนนี้เหอเสี่ยวหงยังมีลูกสาวที่ต้องบำรุงร่างกายอยู่ จึงไม่สามารถรับปากว่าจะเลี้ยงให้ได้
“จริงเหรอคะ! ฉันจะให้เงินพี่ 6 หยวนต่อเดือนให้ดู เสี่ยวจวี่และเสี่ยวยวี่ให้ฉัน!” โจวมี่เหมือนเห็นแสงสว่าง
“ใช่จ้ะ ตอนนี้สะใภ้รองร่างกายไม่สะดวก พี่จะดูแลให้เอง” เหอหรงหรงยิ้ม
เหอเสี่ยวหงนั้นเพิ่งแท้งลูกไป อีกทั้งยังมีลูกสาวอีกสี่คนหากจะให้เลี้ยงคงจะไม่ได้ หล่อนมีลูกสาวสามคน คนโตกับคนกลางก็ดูแลตัวเองได้แล้ว เพราะฉะนั้นหล่อนจึงนับว่าเหมาะสมกว่าเหอเสี่ยวหง
แอ้ แอ้ แง่!~
“เอาเสี่ยวจวี่ไปนอนเถอะจ้ะ” เหอเสี่ยวหงบอกเพราะเสี่ยวจวี่เริ่มร้องไห้แล้ว
“ได้ค่ะ! ไปเถอะเสี่ยวยวี่” โจวมี่เรียกลูกสาวคนโต
จริง ๆ แล้วลูกสาวคนโตหล่อนชื่อว่า ‘หลี่ยวี่’ ลูกสาวคนเล็กชื่อว่า ‘หลี่จวี่’ แต่เพราะหย่ากันแล้วหล่อนจึงไม่อยากเกี่ยวของกันจึงไม่เรียกชื่อเต็มของลูกสาว
หลังจากโจวที่พาลูกสาวเข้าห้องไปก็เหลือเพียงเหอเสี่ยวหงกับเหอหรงหรง ส่วนลูกสาวนั้นเล่นกันอยู่ในห้อง
“คะ?” เหอเสี่ยวหงสงสัย
เพราะเมื่อโจวมี่เข้าห้องไป เหอหรงหรงก็เอาเงินออกมายื่นให้เหอเสี่ยวหงพร้อมกับตั๋วคูปองปึกใหญ่
“นี่คือเงิดชดเชยที่บาดเจ็บของสามีฉันเอง ทางนู้นส่งมาให้ในวันที่เราแยกบ้านกันพอดีแต่ฉันไม่ได้เอาออกมา” เหอหรงหรงบอก
“แต่นี่ของพี่ชายใหญ่นะคะ มันก็เป็นของบ้านใหญ่ก็ถูกแล้ว” เหอเสี่ยวหงตอบ
“เอาไปเถอะ! ถ้าไม่มีเธอเราก็ไม่ได้แยกบ้าน!” เหอหรงหรงยัดเงินและตั๋วคูปองใส่มือน้องสาวที่พ่วงตำแหน่งน้องสะใภ้
เพราะฉะนั้นเหอเสี่ยวหงจึงได้เงินเพิ่มมา บวกเงินตอนแยกบ้านและเงินเก็บที่มี เหอเสี่ยวหงก็พบว่าเธอมีเงินมากกว่าสองพันหยวน!! ไหนจะมีคูปองปึกใหญ่อีก
“ถ้าโรงเรียนในตำบลเปิด ฉันจะส่งลูกสาวเข้าเรียน!” เหอเสี่ยวหงพูดต่อ
เพราะตอนนี้โรงเรียนปิดให้เด็ก ๆ ไปช่วยผู้ปกครองเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่จึงจำเป็นต้องปิดโรงเรียน
ในตำบลจะมีโรงเรียนประถมของหน่วยผลิตอยู่แห่งหนึ่ง ค่าเรียนปีละ 10 หยวน เรียน 5 ปี! ไม่รวมค่าอื่นๆอย่างน้อยก็ต้องมี 50 หยวน!! ทำให้ไม่มีใครอยากส่งลูกหลานเรียน หากส่งเรียนแล้วคนในครอบครัวต้องอดจะส่งไปเรียนทำไม?
แต่ก็สามารถสอบเทียบระดับได้หากทั่นใจว่าจะผ่านเพราะจะได้ประหยัดค่าเล่าเรียนด้วย
ประถมเรียน 5 ปี มัธยมต้นและมัธยมปลายเรียนชั้นละ 2 ปี!
เพราะในตอนที่พ่อโจวยังมีชีวิตอยู่ ถึงนางหลี่ซือไม่มีอำนาจมากแต่นางก็กลัวลูกชายนางไม่มีเงินใช้ จึงบอกพ่อโจวว่าเงินไม่พอที่จะส่งหลานสาวเรียนทั้งหมดเพราะโจวกว่างเรียนอยู่ ถึงพอโจวจะรักลูกเท่าๆกันแต่แน่นอนว่าลูกชายกับหลานสาวพ่อโจวเลือกลูกชาย
ถึงแม้พวกนางยืนยันจะส่งลูกสาวเข้าเรียนเหมือนพวกนางก็ไม่สามารถทำได้ ในเวลานั้นเป็นช่วงที่พ่อโจวล้มป่วยด้วย นางหลี่ซือจึงมีข้ออ้างมากขึ้น
ลูกสาวของเธอจึงได้เรียนแค่ที่เธอสอนและในเวลาที่จะนอนแล้วเท่านั้น เพราะเวลาอื่นต้องทำงาน!
“พอดีเลย! ฉันก็จะส่งต้านีกับซือนีของฉันไปเรียนด้วย!!” เหอหรงหรงตาลุกวาว
พวกเธอเป็นคนบ้านเหอ แน่นอนว่าพวกเธอได้เรียนในระดับมัธยม! แต่มีเพียงเหอเสี่ยวหงจบในระดับมัธยมปลาย ส่วนเหอหรงหรงนั้นเรียนจบแค่มัธยมต้นเพราะถึงแม้บ้านเหอจะมีเงิน แต่เหอหรงหรงรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่มีความสามารถเท่าเหอเสี่ยวหง จึงเรียนจบแค่มัธยมต้นเท่านั้น
“ฉันจะให้เอ้อร์นีกับซานนีไปเรียนก่อน แล้วปีหน้าค่อยส่งอู๋นีไปด้วย” เหอเสี่ยวหงบอก
“ใช่ อู๋นียังเด็ก” เหอหรงหรงพยักหน้า
“ต้องถามโจวมี่ด้วยจะให้เสี่ยวจวี่เข้าเรียนไหม” เหอหรงหรงพูดต่อ
“ใช่” เหอเสี่ยวหงเห็นด้วย
“ฉันว่าจะไปอำเภอน่ะค่ะ พี่จะฝากซื้ออะไรไหม” เหอเสี่ยวหงถามต่อ
“ไม่จ้ะ” เหอหรงหรงปฏิเสธ
“ฉันฝากลูกฉันด้วยนะคะ”
“ได้” เหอหรงหรงพยักหน้าตอบ
เพราะในวันนี้เหอเสี่ยวหงจะไปซื้อพวกของมาไว้กินกับลูก ๆ หากเธอเอาของออกมาโดยที่ไม่มีที่มาจะมีคนสงสัยเอาได้ และเธอก็จะไปหาดูลู่ทางทำเงินสักหน่อย
ของที่ได้มาตอนแยกบ้านมันไม่ได้ลดลงมากเพราะโจวเอ้อร์หงหรือที่เธอเรียกว่าเอ้อร์นี
นั้นเวลาที่ต้องมาช่วยทำอาหารต้องใช้น้อยที่สุด จึงไม่กล้าใช้ทำอาหารเยอะ
คิดว่าจะเอาพวกเนื้อออกไปขายสัก 2-3 ชั่งอย่างน้อยก็น่าจะได้สัก 3-4 หยวน ถึงแม้จะน้อยแต่ก็ดีกว่าไม่มีรายได้เพราะตอนนี้ไม่รู้ว่าโจวเหวินหลงเป็นอย่างไรบ้าง
ตั้งแต่ที่โจวเหวินหลงย้ายไปทำงานที่อื่นชั่วคราวหลังพ่อโจวเสียชีวิตก็จะ 2 เดือนแล้ว
พอบอกสะใภ้ใหญ่ว่าจะเข้าอำเภอ เหอเสี่ยวหงก็ไปยืมรถจักรยานกับโจวมี่ แล้วออกไปอาบน้ำที่บ่อข้างบ้าน
หลังจากอาบน้ำเสร็จเหอเสี่ยวหงก็แต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กับกางเกงยีนสีดำที่โจวเหวินหลงเคยซื้อให้ เมื่อกำลังจะออกจากห้องจึงหันไปบอกลูกสาวคนโต
“เอ้อร์นีจ๊ะ แม่จะไปข้างนอก หนูดูแลน้องด้วยนะจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาว
“ได้ค่ะ!” โจวเอ้อร์นีรับคำ
“ฉันไปแล้วนะคะ!!”
หลังจากออกจากห้องก็หันไปตะโกนบอกเหอหรงหรงที่อยู่ในห้อง จากนั้นก็ออกมาหน้าบ้านแต่ก็ได้ยินเหอหรงพูดตามหลังมาแต่ก็ไม่รู้ว่าบอกอะไร
เหอเสี่ยวหงปั่นจักรยานพ่วงข้างที่มีตะกร้า 2-3 อันอยู่ผ่านหมู่บ้านและผ่านแปลงนาเพราะถึงไม่อยากขี่ผ่านทางนี้ก็คงไม่ได้เพราะมันมีทางเดียว
ระหว่างทางเหอเสี่ยวหงที่ค่อย ๆ ปั่นในช่วงเวลาสายของวันจึงเห็นคนทำงานในแปลงนา
‘สะใภ้บ้านรองโจวจะไปไหนนั่น’ ชาวบ้านที่กำลังถอนวัชพืชกลุ่มหนึ่งพูดคุยกัน
‘เหอะ! คงจะไปใช้เงินน่ะสิ! หล่อนขอแยกบ้านแล้วเอาเงินไปหลายร้อยหยวน!’
จางซือสะใภ้รองบ้านจางที่อยู่ข้างบ้านโจวเอ่ยขึ้นอย่างดูแคลน
นางเป็นคนนอกหมู่บ้านที่แต่งเข้าบ้านจางก่อนที่เหอเสี่ยวหงแต่งเข้าบ้านโจวไม่กี่วัน! แต่เหอเสี่ยวหงกลับมีลูกก่อนนางเป็นปี นางถูกแม่สามีด่าว่าไร้ความสามารถเป็นปี!
ในขณะที่เหอเสี่ยวหงแม่สามีไม่กล้าด่าที่มีลูกเป็นผู้หญิงเพราะสามีของเหอเสี่ยวหงเป็นพนักงานที่มีเงินเดือน! นางที่แต่งเข้าบ้านจาง 2 ปี กลับคลอดลูกสาวออกมาให้แม่สามีด่าหนักกว่าเดิม!
‘โอ้ ทำไมเจ้ารู้’ ชาวบ้านที่ทำงานด้วยกันอุทาน
‘ทำไมจะไม่รู้? วันนั้นฉันหยุดงานแล้วได้ยินเลขาธิการหม่าพูด!’ วันนั้นหล่อนเป็นลมจึงต้องกลับไปพักที่บ้าน
‘โอ้! สามีไม่อยู่แทนที่จะกตัญูญูต่อแม่ของสามี!’ ชาวบ้านอีกคนว่า
‘ใช่’ หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย
เสียงที่ชาวบ้านนินทาเหอเสี่ยวหงนั้นไม่เบาเพราะแต่ละคนถึงจะทำงานบริเวณเดียวกันแต่ก็ห่างกันอยู่ไม่น้อยจึงต้องพูดคุยกันเสียงดัง แต่เหอเสี่ยวหงทำเป็นไม่ได้ยิน
ในยุคนี้หากแยกบ้านนั้น พ่อกับแม่ต้องเสียชีวิตเท่านั้น เพราะถ้าแยกบ้านตอนพ่อและแม่ยังมีชีวิตอยู่จะเป็นการอกตัญญู!
แต่เหอเสี่ยวหงไม่สนใจ เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะนางหลี่ซือไม่ใช่แม่ของสามีเธอ!
สองข้างทางจากหมู่บ้านโจวไปตำบลถ้าเดินใช้เวลาครึ่งชั่วโมงหากใช้รถจักรยานไม่ถึง 20 นาที แต่ถ้าไปอำเภอเดินใช้เวลา 2 ชั่วโมง มีจักรยานอย่างเร็วสุด 1 ชั่วโมง!
ในใจของเหอเสี่ยวหงนั้นอยากจะย้ายเข้ามาอยู่ในอำเภอเลย เพราะมันมีความสะดวกสบายมากกว่าอยู่หมู่บ้านยากจนอย่างหมู่บ้านโจว
แต่ก็นั่นแหละถ้าออกมาโดยที่มีแค่เธอและลูกจะถูกสงสัยเรื่องเงินทันที เพราะเธอคิดที่จะขายของเก็งกำไร!
เมื่อปั่นมาได้ครึ่งทางเหอเสี่ยวหงก็จอดพักเพราะเธอเหนื่อยและไม่อยากฝืนร่างกายเกินไป พอหายเหนื่อยก็ปั่นต่อและเป็นแบบนี้มาตลอดทาง กว่าจะถึงอำเภอก็ใช้เวลามากกว่า 2 ชั่วโมง!
อันดับแรกที่เหอเสี่ยวหงไปนั่นก็คือตลาดมืด! เมื่อก่อนเหอเสี่ยวหงไม่เคยมาเลยเพราะอย่างที่รู้ ๆ ว่าตลาดมือคืออะไร
และแน่นอนว่าถ้าไม่เคยมาย่อมไม่รู้รหัส เหอเสี่ยวหงจึงจ่ายเงินติดสินบนผู้คุมทางเข้าไป 1 เหมา
ภายในตลาดมืดนั้นคนคึกคักเป็นอย่างมาก แต่เสียงกลับไม่ดังแต่ก็ไม่เบา
เหอเสี่ยวหงที่ใส่ผ้าคลุมหัวแล้วเก็บจักรยานเข้ามิติจากนั้นหยิบสบู่กลิ่นผลไม้รวมของตระกูลเบอร์รี่ออกมา 10 ก้อนและไข่ไก่ 1 แผง จากที่ตอนแรกจะเอาหมูมาขาย
“คุณป้ามองหาอะไรคะ? ให้ฉันช่วยหาไหม” เหอเสี่ยวหงรีบตรงไปที่ผู้หญิงวัยกลางคนที่เหมือนกำลังมองหาอะไรอยู่แล้วเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา
“ฉันมองหาไข่ไก่นะจ้ะ พอดีที่บ้านหลานสาวฉันหล่อนชอบกินมาก แต่วันนี้มันหมดฉันเลยมาซื้อแต่หาไม่เจอเลย”
คุณป้าที่เหอเสี่ยวหงเรียกนั้นที่บ้านมีลูกชายเป็นทหารและมีหลานสาวคนเดียวหล่อนจึงเลี้ยงหลานอย่างดีด้วยไข่ไก่ที่อย่างน้อยก็ต้องได้กินวันละ 2 ฟอง! แต่วันนี้ร้านที่ซื้อประจำกลับไม่มา
“คุณป้าคะ! พอดีฉันมีของนะคะ” เหอเสี่ยวหงรีบบอก
“โอ้! เธอมีจริงๆเหรอ!” คุณป้าอุทาน
“ใช่ค่ะ ฉันมีอยู่ 6 ชั่ง นี่ค่ะ ดูได้เลย” เหอเสี่ยวหงเปิดตะกร้าที่ใช้ผ้าปิดไว้ออกและข้างในมันมีไข่แผง 1 และสบู่ที่ซีลใซ่ถุงใส่อยู่อีกทาง
“โอ้! เธอมีไข่ไก่ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ! ฉันเอาทั้งหมด!” คุณป้าอุทานตกใจอีกรอบที่เห็นไข่ไก่
ไข่ไก่ใน ปี2022 มีขนาดใหญ่กว่าไข่ไก่ใน ปี1960 ไข่ไก่ใน ปี1960 2 ฟอง ค่อยมีขนาดใหญ่เท่าไข่ไก่ใน ปี2022
“แต่ไข่ไก่ของฉันมีราคามากกว่าปกตินะคะ!” เหอเสี่ยวหงรีบบอกเพราะเดี๋ยวจะหาว่าเธอโกง
“แล้วเท่าไรละจ๊ะ” คุณป้าถาม
“ 6 ชั่ง 1 หยวนค่ะ” เหอเสี่ยวหงที่คิดราคาในใจแล้วตอบคุณป้า
“แพงจัง! 8 เหมา 5 เฟิน ได้ไหม” คุณป้าที่ตอนแรกคิดว่าราคามันจะเป็นราคาที่ขายในตลาดมืดก็ต่อรองราคากับเหอเสี่ยวหง
“คุณป้าดูไข่ของฉันซิคะ! ถ้าผัด 3 ฟองก็กินได้ทั้งครอบครัว ไม่ต้องใช้คูปอง ปกติไข่ไก่ชั่งละ 1 เหมา แต่นี่ที่ไหนคะ? ไม่ต้องใช้คูปอง ไข่ไก่ก็ฟองใหญ่ ถ้าไม่เอาก็ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปแล้ว” เหอเสี่ยวหงเดินออก
เรื่องอะไรที่เธอจะลดราคาล่ะ! ถ้าซื้อในสหกรณ์ต้องใช้คูปอง 3 ใบ กับเงินอีก 6 เหมา! ถ้าซื้อในตลาดมืดราคาจะอยู่ที่ 1 เหมา 2 เฟิน ถึง 1 เหมา 4 เฟิน หรือบางทีถ้าใช้คูปองด้วยอาจได้ราคาถูกกว่า
“เดี๋ยวจ้ะ! ฉันจะเอาทั้งหมดเลย!”
เหอเสี่ยวหงยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี
เรื่องราวของหยาดฟ้าที่เหอเสี่ยวหงคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไรทั้งนั้นหยาดฟ้าในวัยสิบสองขวบเป็นเด็กสาวที่น่าสงสารคนหนึ่ง ตั้งแต่เด็กจนโตเธอไม่เคยเห็นหน้าผู้เป็นพ่อสักครั้ง แม่ให้เหตุผลว่าเลิกกันก่อนที่เธอจะลืมตาดูโลก และเล่าให้ฟังว่าพ่อติดเหล้าหนักมาก และชอบทุบตีแม่ที่กำลังท้องเธอเกือบห้าเดือน สุดท้ายแม่ทนไม่ไหวก็เลยเก็บเงินที่ซ่อนไว้หนีมาบ้านเกิดผู้เป็นยายและยายของเธอก็เป็นเพื่อนวัยเด็กของคุณย่าเหอ คุณย่าเหอที่สงสารก็เลยรับแม่ของเธอมาเป็นคนสนิท จนกระทั่งเธออายุสิบสองขวบก็เกิดข่าวร้ายแม่ของเธอมีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงหลังจากที่คลอดเธอออกมา และไม่ยอมเข้ารักษาอาการป่วยจนเกิดเรื้อรัง สุดท้ายจึงจากเธอไปวันนั้นหยาดฟ้าจำได้ดี เธอร้องไห้แทบใจขาดเมื่อคนที่อยู่กับเธอมาตลอดจากไป และเป็นวันเดียวกันที่มีคนเข้ามาช่วยพยุงเธอเอาไว้ นั่นก็คือคุณย่าเหอกับเหอเสี่ยวหง เพื่อนสนิทสาวพ่วงตำแหน่งเจ้านายของเธอ ถึงคุณย่าเหอกับเหอเสี่ยวหงไม่ได้เจ้ากี้เจ้าการกับตำแหน่ง และเธอก็ถือว่าเป็นหลานบุญธรรมของท่านแล้ว แต่เธอก็รู้ตัวดีว่าไม่ควรเอาตัวเองไปเทียบกับเหอเสี่ยวหงคุณย่าเหอเ
เหอเสี่ยวหงรู้สึกว่าช่วงนี้ดวงของสามีตกมาก เมื่อได้ที่ดินคืนมาแล้วทั้งโจวเหวินหลงกับพี่ชายใหญ่ก็จะพากันกลับ แต่ก็เกิดเรื่องอีกครั้งโจวกว่างโมโหที่ผู้เป็นพ่อยกบ้านและที่ดินให้กับพี่ชาย จึงลงมือกับคนเป็นแม่ด้วยอาการมึนเมา มีคนเข้าไปช่วยทันแต่อาการนางหลี่ซื่อก็หนักมาก เพราะไม่มีเงินไปหาหมอโจวเหวินหลงรับรู้และเขาก็ยังกลับฉงชิ่งไม่ได้ การกลับบ้านจึงต้องเลื่อนออกไปอีกหลายวัน ถึงนางหลี่ซื่อไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของโจวเหวินหลง โจวจือหยวน และโจวมี่ แต่นางก็เลี้ยงโจวมี่มา โจวมี่เลยมาขอร้องพี่ชายให้พานางหลี่ซื่อไปโรงพยาบาล“ถ้าคุณพานางไป ก็ไม่ต้องกลับมา” เหอเสี่ยวหงกล่าวเสียงเรียบในวันที่เธอแท้งลูก นางหลี่ซื่อไม่มีแม้แต่เชิญหมอมารักษาหรือพาเธอไปหาหมอ ปล่อยให้เธอแท้งลูกซ้ำยังบอกย่าโจวว่าเธอสะดุดขยะในห้องล้มอีก แม้นางหลี่ซื่อตายเธอก็ไม่เสียใจ‘ผมบอกพวกเขาแล้วครับ’มีไม่กี่เรื่องที่เหอเสี่ยวหงจะปฏิเสธสามี และครั้งนี้ต่อให้ใครมาขอร้องเหอเสี่ยวหงก็ไม่ยอม ลูกชายและลูกสะใภ้ หลานของนางก็ยังอยู่ ทำไมถึงต้องมาพึ่งสามีเธอด้วย อีกอย่างก่อนที่พวกเธอจะออกจากหมู่บ้าน นางหลี่ซื่อยังอยู่ในกลุ่มที่มาไล่พวกเธอเลย“ฉัน
เข้าสู่วันที่ห้าของการกลับบ้านของโจวเหวินหลง เหอเสี่ยวหงก็ได้รับข่าวร้าย สกุลโจวได้สิ้นผู้อาวุโวอย่างย่าโจวไปแล้ว นางจากไปด้วยโรคชราที่เป็นปัญหามาหลายปีเหอเสี่ยวหงส่ายหน้าเมื่อวางสายจากสามีไปหลังเขาติดต่อมา ในร้านน้ำชามีโทรศัพท์จึงไม่แปลกที่เหอเสี่ยวหงจะได้รับการติดต่อจากสามี ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาการย่าโจวทรุดหลังจากที่เธอพาครอบครัวกลับ“มีอะไรหรือเปล่าครับ”เป็นผู้จัดการหลงที่เก็บโต๊ะเสร็จถามเหอเสี่ยวหง เขาเห็นเจ้านายนั่งคุยกับปลายสายไม่นาน แต่ตอนนี้หล่อนกลับมีสีหน้าที่เคร่งเครียด“ไม่มีอะไรค่ะ เดี๋ยวถ้าเอาบัญชีร้านขึ้นไปบนห้อง ตามโจวต้านีให้ด้วยนะคะ” เหอเสี่ยวหงส่ายหน้า“ได้ครับ”โจวต้านียังไม่กลับมาทำงาน คงเพราะหลานสาวตัวน้อยของเธอป่วย อันที่จริงเธอก็บอกหล่อนแล้วว่าไม่ต้องมา แต่โจวต้านีก็รั้นมาจนได้“แม่คุยอะไรกับพ่อเหรอคะ”พอผู้จัดการหลงเดินออกจากร้านไป ก็เป็นซานนีที่ประจำร้านอยู่เอ่ยถาม หล่อนรู้แค่ว่ามารดาคุยกับใคร แต่จับใจความไม่ค่อยได้“ย่าโจวเสียแล้ว” เหอเสี่ยวหงถอนหายใจสำหรับเหอเสี่ยวหงแล้วเธอรู้สึกว่ามันผ่านไปเร็วมาก อีกอย่างเรื่องที่เธอแท้งเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ยังไม่ได้บอกย่าโจ
เหอเสี่ยวหงมองหน้าหลานสาวตัวน้อยนามเฟยฮวาวัยห้าเดือนในอ้อมแขนแล้วถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าสกุลเฟยตาบอดหรือยังไง ทำไมถึงมองไม่เห็นความน่ารักของหลานสาวตัวน้อยคิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเมื่อมองลูกสาวช่วยคนอื่นขนของโจวต้านีลงจากรถ หรือเพราะเธอไม่บังคับลูกสาวกันนะ ถึงไม่ได้มีหลานให้อุ้มแบบนี้ได้แต่อิจฉาสะใภ้ใหญ่ที่ได้ลูกเขยก่อนคนอื่น แล้วยังได้หลานก่อนคนอื่นอีก ยังดีที่สหายของเธอยังไม่มีหลาน เหอเสี่ยวหงจึงไม่ต้องทนฟังเสียงอวดหลาน“ให้ฉันอุ้มหลานบ้างสิ”สะใภ้ใหญ่เดินเข้ามาหาผู้เป็นน้องสะใภ้และน้องสาว ตั้งแต่ที่ลูกสาวอุ้มหลานสาวลงรถมา นางก็ยังไม่ได้อุ้มหลานเลย มีแต่เหอเสี่ยวหงที่อุ้มหลานแล้วไม่ยอมปล่อยให้ใครอุ้มต่อ“เดี๋ยวพี่ก็ได้อุ้มแล้ว” เหอเสี่ยวหงแย้งอย่างไม่จริงจังนักโจวต้านีขอเข้าทำงานพร้อมสามีในร้านผู้เป็นอากับอาสะใภ้ โดยที่แม่ของหล่อนยินดีที่จะดูแลหลานระหว่างที่พ่อกับแม่ของหลานทำงานแบบไม่เอาเงินสักเฟิน“หลับแล้ว” สะใภ้ใหญ่บอก“อืม”เหอเสี่ยวหงส่งหลานสาวให้ผู้เป็นยายแท้ ๆ อุ้ม แล้วตัวเองก็ออกมาช่วยทุกคนขนของเข้าบ้านตึกแถว ยังไงโจวต้านีก็แต่งออกแล้วจะให้ไปอยู่รวมกับครอบครัวก็ไม่ใช่ อีกอย
จากที่จะกลับไปพักผ่อนอยู่บ้านเกิดในช่วงปิดเทอมตามคำขอของสาว ๆ บ้านรองโจวก็ต้องกลับมาอยู่ที่ฉงชิ่ง เหอเสี่ยวหงเอ่ยขอโทษลูกสาวกับหลานสาวที่ต้องพากลับกระทันหัน ยิ่งกับอาสามแล้วเหอเสี่ยวหงยิ่งเอ่ยขอโทษอยู่หลายครั้งเหอเสี่ยวหงรู้ว่าอาสามอยากอยู่ที่บ้านเหอ แต่พอเหอเสี่ยวหงจะกลับเขาก็ไม่สามารถอยู่ต่อได้ เป็นห่วงหลาน ๆ หากปล่อยให้มาด้วยกัน“เอาไว้เรียนจบแม่ค่อยพากลับไปดีกว่า” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาวอีกตั้งหลายปีที่เด็ก ๆ จะเรียนจบ ทุกคนในหมู่บ้านก็คงจะลืมไปแล้ว อีกอย่างทุกคนก็รู้กฎหมายกันอย่างดี เหอเสี่ยวหงจึงไม่กลัวที่จะกลับไป แต่ครั้งนี้มันตั้งตัวไม่ทัน“ไม่กลับก็ได้ค่ะ อยู่นี่ก็ดีแล้ว” เอ้อร์นีเอ่ยตอบเป็นคนแรกหล่อนอยากกลับไปที่บ้านเกิดก็จริง แต่หล่อนกลัวเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นอีก ลึก ๆ แล้วหล่อนรู้ว่าแม่ของหล่อนเป็นห่วงเรื่องการบังคับแต่งงาน เอ้อร์นีไม่ใช่คนโง่ หล่อนถูกมารดาเลี้ยงมาอย่างดีแต่ก็ไม่ได้เลี้ยงให้โง่เขลา แม่ของหล่อนไม่ชอบการบังคับ หล่อนก็ไม่ชอบการบังคับเช่นเดียวกัน“ใช่ค่ะ ไม่กลับไปแล้วก็ได้” ลิ่วนีเอ่ยด้วยความหวาดกลัว หล่อนเป็นเด็กที่ตั้งแต่จำความได้ก็เติบโตมาในเมือง จึงไม่ร
เหอเสี่ยวหงเดินนำลูกสาวตามโจวเหวินหลงเข้าไปภายในบ้าน ชาวบ้านที่มามุงแหวกออกให้เข้าไป แต่พอเข้าไปแล้วก็กลับมามุงเหมือนเดิมครั้งก่อนอยู่เพียงนอกบ้าน แต่ครั้งนี้ที่ต้องเข้ามาในบ้านเพราะย่าโจวล้มป่วยอีกแล้ว ภายในบ้านที่ไม่ใหญ่จึงแคบลงถนัดตาเมื่อมีคนล้อมรอบ‘หลานสาวบ้านโจวแน่ ๆ’‘ฉันต้องทาบทามจากย่าโจวแล้ว’‘ฝันอยู่เหรอ บ้านรองโจวอยู่ในมือสะใภ้รองโจว คงจะให้ลูกสาวแต่งมาอยู่ชนบทหรอก!’‘ใครจะไปรู้ อีกอย่างสะใภ้ก็ต้องเชื่อฟังครอบครัวของสามี’‘ไม่ใช่ว่าแต่งงานกันแล้วรึ อายุขนาดนี้แล้ว’‘จริง ถ้ายังไม่แต่งคงจะไม่มีใครเอา’เหอเสี่ยวหงหันไปมองชาวบ้านที่นินทาลูกสาวของเธอ เรื่องที่ลูกสาวจะแต่งกับใครเหอเสี่ยวหงไม่ได้ห้าม ต่อให้ฝ่ายชายไม่มีเงินแต่ง ถ้าลูกสาวจะแต่งเธอก็ให้แต่ง สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่เป็นไร แต่คนอื่นจะเดือดร้อนด้วยทำไม“ลูกสาวฉันไม่แต่งงานแล้วทำไม”ชาวบ้านที่ซุบซิบอยู่หน้าบ้านเงียบปากกันลงทันที เมื่อสะใภ้รองโจวพูดขึ้น ใคร ๆ ก็ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับเหอเสี่ยวหง“นี่ย่าทวด เป็นย่าของพ่อเรา”เหอเสี่ยวหงแนะนำย่าโจวให้ลูกสาวทำความเคารพ ซึ่งเด็ก ๆ รู้จัก แต่นี่ก็ไม่ได้มาเจอกันนานแล้ว เธอจึง