หยางฉิงสังเกตสายตาของพรานหย่งชุน นางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน“ท่านคงรู้แล้วว่าข้าให้ท่านมาพบเรื่องใด ตอนนี้ท่านคงได้คำตอบอยู่แล้ว ใช่หรือไม่?” นางถามเสียงเรียบ“เจ้าช่างฉลาดนัก...” หย่งชุนหัวเราะเบา ๆ “ใช่ ข้ารับข้อเสนอของเจ้า ไหน ๆ ข้าก็ยังไม่ได้แต่งงานอยู่แล้ว”แต่แล้วเขากลับมองหยางฉิงด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ก่อนกล่าวต่อ “แต่ข้าคงไม่มีเงินมากพอที่จะขอหญิงสาวสักคนได้หรอก...”เมื่อเห็นสายตาของพรานหย่งชุน หยางฉิงจึงยิ้มบางเบา “แน่นอน ในเมื่อข้าเสนอจะช่วยท่านแล้ว ข้าก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ถือว่าเป็นของขวัญจากข้าก็แล้วกัน แต่…เรื่องนี้ต้องเป็นความลับระหว่างเรา ข้าจะช่วยให้ท่านสมหวัง แต่เมื่อท่านแต่งงานไปแล้ว ให้ถือว่าเราไม่เคยรู้จักกัน”นางพูดเสียงเรียบพลางวางถุงเงินลงตรงหน้าเขา “ข้าช่วยท่านแล้ว ท่านก็ต้องทำหน้าที่ของท่านให้สำเร็จลุล่วง”พรานหย่งชุนรีบคว้าถุงเงินขึ้นมานับ เมื่อเห็นตำลึงทองห้าตำลึง เขาก็ตาโตด้วยความยินดี“ข้าจะทำงานนี้ให้สำเร็จ!” เขากล่าวอย่างตื่นเต้น“เงินที่ข้าให้ ท่านจงนำไปสร้างบ้านหลังใหม่ และเตรียมของแต่งงานให้พร้อม ท่านก็น่าจะรู้ว่ามารดาของหลี่หยินชอบคนมีเ
หลี่ชวนฟังคำพูดของหลี่เซิงแล้วยิ่งไม่เข้าใจ ‘กาดำตัวไหนอยากเปลี่ยนเป็นหงส์กัน? นั่นมันฝันไกลเกินไปหรือไม่…’ คิดไปก็ปวดหัว หลี่ชวนจึงเลิกใส่ใจ ก่อนเดินตามหลี่เซิงเข้าไปเพื่อทำหน้าที่ของตน...ขณะเดียวกัน เหตุการณ์หน้าประตูโรงทำน้ำพริก ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของอู๋เจิง นางกำลังถืออาหารมาให้สามีเหมือนเช่นเคย แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า นางจึงแอบหยุดฟังอยู่ห่าง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เซิง อู๋เจิงถึงกับยิ้มออกมาอย่างพอใจ’ หยางฉิงช่างมองคนได้เฉียบแหลมจริง ๆ’ นางคิดในใจดีที่วันนี้แม่สามีไม่ได้มาที่นี่ ไม่เช่นนั้น เรื่องคงไม่จบเพียงเท่านี้แน่...หลังจากรอจนหลี่หยินเดินลับสายตาไป อู๋เจิงจึงออกมาจากที่ซ่อน และนำอาหารไปให้สามีเช่นทุกวันระหว่างรับประทานอาหาร หลี่ชวนเล่าเรื่องของหลี่เซิงให้นางฟังอู๋เจิงยิ้มออกมา บางทีเรื่องนี้นางควรบอกให้หยางฉิงรู้ แต่ที่แน่ ๆ นางชอบคำพูดของหลี่เซิงเสียจริง‘กาดำอยากเป็นหงส์’ไม่มีทางที่กาดำจะกลายเป็นหงส์ได้ ยิ่งหากกาดำตนนั้นมีจิตใจที่ดำมืดอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่มีวัน...หลี่ชวนมองรอยยิ้มของภรรยา แล้วอดไม่ได้ที่จะนึกบางอย่างขึ้นมา ตั้งแต่นางไปทำงานกับหยางฉิงบ่อยครั้ง เขารู
“ข้าขอบคุณท่านมากที่นำเรื่องนี้มาบอกกับข้า แต่ข้ามั่นใจว่าหลี่เซิงไม่มีทางทำเรื่องไม่ดีกับข้าแน่นอน ท่านสบายใจได้” นางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเมื่ออู๋เจิงได้ฟังเช่นนั้น นางก็พิจารณาใบหน้าของหยางฉิง ถึงแม้นางจะไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางใด ๆ บนใบหน้า แต่ก็ยังดูงดงามสะกดตา ยิ่งเมื่อนึกเปรียบเทียบกับหลี่หยินแล้ว ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าทั้งสองแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลจริง ๆ“เจ้าพูดถูก” อู๋เจิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัวกลับบ้านก่อน จะได้ไม่รบกวนเจ้า”นางกล่าวลาหยางฉิงก่อนเดินกลับบ้านไปด้วยความสบายใจอีกด้านหนึ่ง ในขณะที่หญิงสาวทั้งสองกำลังพูดคุยกันด้วยความกังวล หลี่เซิงกลับไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น เพราะตอนนี้เขากำลังยุ่งกับการดูแลเด็กน้อยทั้งสอง จนแทบไม่ได้หลับได้นอนเขาให้แม่นมคอยสอนวิธีเลี้ยงเด็กเล็ก แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากและเหนื่อยมากกว่าที่คิด การมีลูกไม่ใช่เรื่องสบายเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เรียนรู้มันไปด้วยความเต็มใจโดยเฉพาะเมื่อเด็กน้อยทั้งสองแย้มยิ้มให้เขา ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันก็เหมือนจะมลายหายไปในพริบตา...หลี่เซิงอุ้มลูกน้อยเข
หลี่เซิงรับของจากผู้ใหญ่บ้านด้วยความเกรงใจ “ท่านมาเยี่ยมข้า ข้าก็ดีใจมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องลำบากนำของพวกนี้มาเลย”หลี่จงยิ้มพลางตอบกลับ “ข้ามาเยี่ยมหลานทั้งที จะให้มามือเปล่าได้อย่างไร”หลี่อี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้นจึงพูดแทรกขึ้นมา “ของข้าก็มีเหมือนกัน”หลี่เซิงหันไปมองหลี่อี้ ชายหนุ่มที่บัดนี้ดูดีกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รับสินค้าจากบ้านหลี่เซิงไปขายตามหัวเมืองต่าง ๆ เช่นกันหลี่เซิงรับของมาจากหลี่อี้ก่อนเอ่ยล้อเลียน “ขอบใจเจ้ามาก เอาไว้เจ้ามีลูกเมื่อไหร่ ข้าจะไปแสดงความยินดีแน่”หลี่อี้รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เพราะเขาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน “ได้ข่าวว่าร้านของเจ้าจำหน่ายยาช่วยให้มีบุตร เอาไว้ถ้าปีนี้ข้ายังไม่มีลูก ข้าคงต้องไปซื้อยาให้ภรรยาเสียแล้ว” เขาพูดพลางเหลือบมองสีหน้ามารดาตัวเอง ซึ่งดูจะไม่พอใจที่ภรรยาของเขายังไม่มีลูกหลี่เซิงมองสีหน้าของหลี่อี้อย่างเห็นใจ ก่อนเอ่ยอย่างใจกว้าง “หากไม่มีจริง ๆ ข้าจะมอบยาให้เจ้าโดยไม่คิดเงิน ดีหรือไม่?” เขาพูดพลางยักคิ้วให้หลี่อี้หานหยุนที่นั่งฟังอยู่ สีหน้าดูดีขึ้นมาทันที ใคร ๆ ก็รู้ว่ายาของร้าน เทียนเจินถัง มีชื่อเสียงโด
เมื่อใดที่ลูกชายทั้งสองร้องหิวนม บ่าวก็จะนำพวกเขาออกไปให้แม่นมป้อนนมจนกระทั่งรุ่งเช้า หยางฉิงจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา นางกระพริบตาสองถึงสามครั้ง ก่อนมองไปรอบ ๆ ห้อง ก็พบว่าหลี่เซิงนอนอยู่ข้างเตียง นางเหลือบมองไปที่เปลนอนสองอัน และได้ยินเสียงอ้อแอ้ดังออกมาจากในนั้น หยางฉิงพยายามลุกขึ้นนั่ง แม้จะยังรู้สึกเจ็บแผลอยู่บ้าง แต่นางก็ค่อย ๆ พยุงตัวไปที่เปลนอนของลูกชายเมื่อนางก้มลงมอง ก็พบเด็กน้อยสองคนลืมตาดูของเล่นที่นางทำแขวนไว้ให้พวกเขา“ลูกใครกันนะ ทำไมน่ารักเช่นนี้” นางเอ่ยพลางหยอกล้อกับลูกชายไม่นานก็ได้ยินเสียงขยับตัวของหลี่เซิง“หยางฉิง เจ้าตื่นแล้วหรือ หิวหรือไม่?” เขาถามด้วยความเป็นห่วง กลัวว่านางจะยังคงเจ็บแผลอยู่“ข้าหิวอยู่บ้าง แล้วทำไมท่านมานอนที่นี่ ท่านหิวหรือไม่?” นางถามกลับเมื่อเห็นสีหน้าอิดโรยของเขา“ก็ข้าเป็นห่วงเจ้า เดี๋ยวข้าจะให้คนเตรียมอาหารมาให้เจ้า” พูดจบเขาก็เดินออกไปเรียกบ่าวให้นำอาหารและน้ำแกงบำรุงร่างกายเข้ามาไม่นาน พี่สะใภ้ใหญ่ก็เข้ามาพร้อมอาหารที่ช่วยจัดเตรียมตั้งแต่เช้าอู๋เจิงเห็นหยางฉิงตื่นขึ้นมาจึงเอ่ยด้วยความยินดี “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง นี่เป็นน้ำแกงบำรุงร่าง
“หลี่เซิง...ข้าปวดท้อง!” นางเอื้อมมือไปปลุกสามีที่นอนอยู่ข้าง ๆหลี่เซิงสะดุ้งตื่นขึ้นทันที เขารีบอุ้มนางขึ้นมา ก่อนจะตะโกนเรียกคนดูแลให้รีบไปตามหญิงทำคลอดเสียงของเขาทำให้ทุกคนในบ้านตกใจรีบร้อนออกมาทำหน้าที่ของตนหญิงทำคลอดรีบถืออุปกรณ์แล้ววิ่งตรงไปยังห้องคลอดทันที ขณะเดียวกัน บ่าวดูแลแต่ละคนต่างวิ่งวุ่น เร่งต้มน้ำให้เดือดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด“โอ๊ย! ปวดท้อง!”เสียงร้องของหยางฉิงดังก้องไปทั่วห้องคลอด“หยางฉิง เจ้ายังทนไหวหรือไม่?” หลี่เซิงถามนางด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่านางกำลังเจ็บปวดทรมานเพียงใด“นายท่าน ออกไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ หากท่านอยู่เช่นนี้ นายหญิงจะไม่มีแรงเบ่งคลอด” หญิงทำคลอดรีบบอกเขา“ข้าจะอยู่กับภรรยาของข้า!” เขาไม่อยากปล่อยให้นางเผชิญความเจ็บปวดเพียงลำพังหยางฉิงกัดฟันกลั้นความเจ็บ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “หลี่เซิง...ท่านออกไปก่อนเถิด ข้าไม่เป็นไร อย่าลืมเรื่องที่ข้าบอก” หลังจากพูดจบ นางก็ยื่นมือไปคว้าผ้าผืนยาวที่ห้อยลงมาจากเพดานเพื่อช่วยพยุงตัวขณะเบ่งคลอดหลี่เซิงเห็นดังนั้นจึงจำต้องส่งขวดยาให้พี่สะใภ้ใหญ่ พร้อมบอกวิธีใช้ จากนั้นจึงหันไปมองหยางฉิงเป็นครั้ง