ซินหลินมองดูถังไม้ที่อยู่ใต้เตียงของเขา ถังไม้มีฝาปิดเอาไว้อย่างดีเพื่อปกปิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา “ข้าขอเอาถังไม้ของท่านไปล้างก่อนนะ ท่านต้องใช้ตอนนี้หรือไม่?” นางอยากเอามันไปทิ้ง เพราะถังไม้นั้นช่างสกปรกและไม่ได้รับการทำความสะอาดที่ดีพอ
“เจ้าจะทำอะไรก็เอาไปเถอะ ข้ายังไม่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้” วันนี้นางทำไมถามเขามากเสียจริง ทุกครั้งที่นางมาที่ห้องของเขา นางก็แทบจะไม่มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ “ถ้าอย่างนั้น ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว ท่านพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะมาขอดูแผลของท่านทีหลัง” ตอนแรกนางอยากจะดูแผลตรงขาของเขาเลย แต่ตอนนี้นางอยากให้เขาพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน นางเดินเอาถังไม้เหม็น ๆ ออกไปทิ้งด้านนอก มองดูถังไม้ที่ดำเกินกว่าจะใช้งานได้อีก นางคิดถึงอุปกรณ์ดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในคอนโด มันก็มีอุปกรณ์ที่ใช้ในเรื่องพวกนี้อยู่ นางเคยเอาพวกมันมาทำวิจัย โดยใช้วัสดุอื่นมาใช้ทดแทนสำหรับหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากผู้คน ‘ถ้าข้าเอาของพวกนั้นมาใช้ เขาจะสงสัยข้าหรือไม่? เพราะของสิ่งนั้นมันดีเกินกว่าที่อยู่ในยุคนี้’ ซินหลินไม่คิดนานมากนัก ก็หายตัวกลับไปที่คอนโดและเอากระโถนสำหรับไว้ถ่ายหนัก กระบอกสำหรับถ่ายเบาที่ทำจากไม้อย่างดีเคลือบด้วยสารบางอย่างที่ทำให้เงา เวลาโดนสิ่งสกปรกก็จะทำให้ไม่เกิดเชื้อราหรือผุพังได้ง่าย มันพอดีกับยุคนี้ที่ส่วนมากของทุกอย่างจะเป็นไม้ ‘ถ้าเป็นไม้ เขาก็คงไม่สงสัยเท่าไหร่’ ถ้าเขาจะสงสัย นางก็จะบอกว่าหมอหลี่เทาให้มาก็แล้วกัน คงทนให้เขาใช้ของพวกนี้ไม่ได้หรอก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเอารถเข็นมาให้เขาด้วย ‘ทำไมมันยุ่งยากขนาดนี้กันนะ!’ นางเลิกสนใจเรื่องน่าปวดหัวพวกนี้ ชีวิตต้องดำเนินด้วยท้อง หลี่เซิงยังไม่ได้กินข้าวเลย นางก็ด้วย ตั้งแต่ย้อนเวลากลับมา อาหารก็ยังไม่ได้ตกถึงท้องเลยสักอย่างเดียว ในตอนที่ทำอาหารอยู่ นางคิดเรื่องหลายอย่าง ทั้งเรื่องที่อยู่ในโลกเดิม และเรื่องที่อยู่ในปัจจุบัน ในเมื่อซินหลินคนเก่าไม่อยู่แล้ว นางก็จะใช้ชีวิตตอนนี้ให้ดี ต่อไปนี้นางคือหยางฉิง! (ต่อไปนี้จะใช้ตัวเองเป็นหยางฉิงนะคะ) หยางฉิงทำอาหารกว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว คงสำรวจอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ แค่ดูแลหลี่เซิงคนเดียว นางก็แทบไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น นางเอาเสื้อผ้าของหลี่เซิงกลับไปที่คอนโดของนาง นางเปิดใช้เครื่องซักผ้า นางเห็นว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างยังใช้งานได้ปกติ นางก็เอาเสื้อผ้าของเขาลงไปปั่นเอาไว้ นางลองเปิดประตูออกไปนอกคอนโด แต่ประตูห้องก็เปิดไม่ได้ ถึงกลับไปไม่ได้ แต่ห้องของนางก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรให้เธอเลย หลังจากที่นางทำอาหารเสร็จแล้ว ก็เข้าไปอาบน้ำล้างตัวให้สะอาด นางยกอาหารที่ใส่จานในบ้านของหลี่เซิง ‘เขาจะได้ไม่สงสัย’ นำของที่เตรียมเอาไว้ทั้งสองอย่างเดินถือเข้าไปในห้องของหลี่เซิง เขามีสีหน้าที่อยากถามอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่ได้ซักถามมันออกมา นางบอกว่าของที่นางได้มาจากไหน เขาก็เลิกถามไป ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากพูดคุยกับนางมากกว่า ‘ไม่อยากคุยก็ไม่ต้องคุย แล้วใครจะอยากคุยกับเขากัน เหอะ! คิดว่าตัวเองหล่อมากมั่ง…’ หลังจากที่นางเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ตั้งแต่วันแรกที่ได้ทะลุมิติเข้ามา หยางฉิงล้มตัวลงนอนบนที่นอนนุ่ม ๆ พร้อมกับคิดว่าจะทำอะไรต่อไปดีในอนาคต ความรู้ก็มีแค่เรื่องกายภาพและรักษาได้บ้างเท่านั้น หรือจะไปรักษาคนเพื่อหาเงิน ‘ว่าแต่ยุคนี้มันยุคไหนกันนะ และยุคนี้ยังมีเรื่องฆ่าฟันกันอยู่หรือเปล่า?’ นางคิดอะไรหลายอย่างจนเผลอหลับไป หลี่เซิงเขาสงสัยว่าหยางฉิงนางเปลี่ยนไปมาก นางทั้งดูแลเขาอย่างดี เขามองอาหารและของทั้งสองอย่างที่นางเอามาให้เขาใช้ ของทั้งสองอย่างนี้เขาไม่คุ้นเคยกับมันเลย แต่นางอธิบายสิ่งของต่าง ๆ ว่าเขาต้องใช้อย่างไร ซึ่งมันสะดวกกว่าถังไม้ที่เขาเคยใช้มาก ยังมีอาหารที่มีทั้งไข่และเนื้อหมู นางไม่เคยทำอะไรพวกนี้ให้เขากินมาก่อนเลย… เขาได้แต่เก็บความสงสัยเหล่านั้นเอาไว้… เช้าวันต่อมา หยางฉิงตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น ‘ตอนนี้มันเป็นเวลาไหนกันแล้วเนี่ย’ นางหันมองไปทางนาฬิกาที่แขวนอยู่ในห้องนอน เข็มสั้นบนนาฬิกาชี้ไปที่เลขห้าพอดี ‘เวลาในห้องนอนกับโลกที่ข้าอยู่ปัจจุบัน ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเดียวกันหรือเปล่า’ มองดูปฏิทินที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ปฏิทินก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ไม่ได้เป็นเวลาของโลกเดิม แต่มันเป็นปีที่นางไม่รู้จัก ซึ่งปีนี้ได้ย้อนกลับไปจากโลกเดิมหลายร้อยปี และเดือนนี้ก็เป็นเดือนมีนาคม ช่วงนี้อาการหนาวเริ่มเบาบางลงแล้ว ชาวบ้านคงเริ่มปลูกข้าว ลงทำนากัน นางลุกจากเตียงนอนเพื่อไปล้างหน้าแปรงฟันและออกไปหาหลี่เซิง ตอนนี้หยางฉิงยืนอยู่หน้าห้องของหลี่เซิง นางเปิดประตูห้องเข้าไปโดยที่ไม่ได้ขอเขาก่อน พอเข้าไปในห้องนอนของเขา สายตากลมโตมองไปเห็นหลี่เซิงนอนเหงื่อออกอยู่บนเตียงนอน นางรีบเดินเข้าไปจับตัวของเขา ‘เขาตัวร้อนมาก! เขาไข้ขึ้นสูงตั้งแต่ตอนไหน’ นางไม่ได้เอายาให้เขากินตั้งแต่เมื่อวานนี้ หลังจากที่เอาอาหารให้เขากินแล้ว นางก็ไม่ได้สนใจเขาอีก นางเปิดบาดแผลตรงขาของหลี่เซิงออกดู เห็นว่าบาดแผลของเขาเริ่มเป็นหนอง นางต้องเอาหนองที่กัดกินรอบ ๆ บาดแผลออกก่อน นางหันไปมองเขา เห็นว่าเขาหลับตาคงยังไม่ตื่นตอนนี้ หยางฉิงกลับไปในห้องคอนโด เอากล่องผ่าตัดฉุกเฉินที่อยู่ในห้องออกมา กล่องผ่าตัดนี้เคยใช้สมัยเรียน ดีที่ยังเก็บมันเอาไว้ นางไม่ค่อยได้ใช้ผ่าตัดเท่าไหร่ เพราะเรียนหมอด้านกายภาพบำบัดเป็นหลักมากกว่า หยางฉิงเปิดกล่องผ่าตัดออก ใช้แฮกฮอล์ที่อยู่ในกล่องล้างมือของนางให้สะอาดก่อน และก็ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อราดไปบนบาดแผลของหลี่เซิงหนึ่งรอบ “อือ..” เสียงร้องของหลี่เซิงดังออกมาหลังจากที่นางล้างบาดแผลของเขา “ท่านทนหน่อยนะ ข้าจะรีบทำแผลของท่านให้เสร็จเร็ว ๆ มันอาจจะเจ็บนิดหน่อย” นางปลอบเขาเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูเจ็บปวดทรมาน ดีที่กล่องผ่าตัดมีเข็มฉีดยาและยาชาอยู่สามขวด หยางฉิงฉีดยาให้ตรงบริเวณรอบบาดแผล เขาจะได้ไม่เจ็บมาก เมื่อนางทดสอบดูว่าเขาไม่เจ็บแล้ว ก็ใช้มีดผ่าตัดกรีดไปตรงบาดแผลที่ปิดอยู่ มีน้ำสีขาวขุ่นอยู่ด้านใน มันทำให้แผลบวมและไม่หาย นางกรีดมีดเป็นทางยาวลงมาตามบาดแผล พอมีดกรีดลงไปแล้ว ก็เริ่มมีหนองสีขาวขุ่นไหลตามรอยมีดที่นางกรีด นางใช้สำลีซับหนองและเลือดที่ไหลออกมาพร้อมกัน หยางฉิงค่อย ๆ เปิดบาดแผลตรงขาให้กว้างขึ้น นางขูดเอาหนองที่เกาะติดตรงบาดแผลจนสิ่งที่ไหลออกมาเป็นเลือดสีแดงสด จึงหยุดมือ หยางฉิงใช้สำลีซับเลือดที่ไหลออกมาอีกครั้ง นางทำความสะอาดบาดแผลพร้อมทั้งใส่ยาฆ่าเชื้อและเอายาที่ติดมาในกล่องใส่ลงบาดแผลอีกที [4]เมื่อพูดจบ นางก็เหลือบมองสีหน้าของทั้งสองคนอ๋องสามที่รู้ว่ายาร้าน เทียนเจินถัง เป็นของดีจริง ๆ เคยกลับไปเพื่อซื้อยาเพิ่ม แต่กลับได้รับข่าวว่ายาทั้งหมดถูกขายหมดไปแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งนัก เมื่อรู้ว่าอาจารย์ของนางจะส่งยาชนิดใหม่มา เขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้เช่นกัน“ถ้าอาจารย์ของเจ้านำยาเข้ามาขายอีก เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าได้หรือไม่?” เขาถามเสียงเรียบหวังจวิ้นเจี้ยงที่ถูกท่านอ๋องตัดบทไปก็รีบพูดขึ้นทันที “ถ้าเช่นนั้น เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าด้วย ข้าเองก็อยากรู้ว่ายาตัวใหม่ของอาจารย์เจ้าจะเป็นยาแบบใดกันแน่”หยางฉิงเห็นความวุ่นวายตรงหน้าแล้วอดยิ้มไม่ได้ “ท่านทั้งสองวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าจะให้คนเข้าไปแจ้งทั้งสองท่านอย่างแน่นอน”เมื่อพูดจบ นางก็แย้มยิ้มออกมา อาจารย์ที่ว่านั้นก็คือตัวนางเอง หากมีเวลาว่างเมื่อใด นางก็จะคิดค้นและปรุงยาขึ้นในเวลานั้น ร้านของนางไม่ได้เป็นร้านขายยาโดยตรง เพียงแต่นำยามาขายเสริม แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ร้านของนางเป็นที่อิจฉาของร้านยาดัง ๆ หลายแห่งแล้ว อย่างไรก็ตาม นางยังโชคดีที่มีคนคอยคุ้มกันอย่างดี พวกนั้นจึงไม่กล้าก่อเรื่องกับครอบครัวของนางโดยตรงเมื่อทั้งสองได้รับคำมั
หลี่เซิงมองนาง แววตาของนางส่องประกายยามพูดถึงเรื่องนี้ เขาจดจำความต้องการของนางไว้ในใจ “เอาไว้เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราไปเที่ยวกันดีหรือไม่? เจ้าชอบทะเลหรือ? ข้าเองก็ไม่เคยไปเช่นกัน เอาไว้ข้าจะหาข้อมูล แล้วพาเจ้าไปในอนาคตแน่นอน “เขาพูดเสียงอ่อนโยนหยางฉิงดันตัวออกจากอ้อมกอด มองหน้าเขาด้วยความตื่นเต้น “ท่านพูดจริงหรือ? ท่านต้องสัญญากับข้านะ ว่าท่านจะพาข้าไปเที่ยวทะเลสักครั้ง” นางพูดพร้อมชูนิ้วก้อยขึ้นมาหลี่เซิงมองนิ้วก้อยของนางด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าชูนิ้วขึ้นมาทำไม?”“ก็สัญญาไง! ในโลกเดิมของข้า ถ้าจะสัญญาต้องเกี่ยวก้อยกัน” นางพูดก่อนจะจับมือหนาขึ้นมาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของตนหลี่เซิงมองการกระทำของนางด้วยสายตาเอ็นดู เขาขยับนิ้วก้อยเบา ๆ “ข้าสัญญา ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยว” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มเมื่อได้ยินคำสัญญานั้น หยางฉิงก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ความรู้สึกไม่ดีที่มีอยู่ก่อนหน้าค่อย ๆ จางหายไป อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้พูดคุยกันบ่อยนัก จึงทำให้นางคิดมากอยู่บ้าง...หนึ่งเดือนต่อมา หยางฉิงได้ยินข่าวว่าพรานหย่งชุนแต่งงานกับหลี่หยิน ด้วยค่าสินสอดหนึ่งตำลึงทอง ถือว่าเขาใจป้ำไม่น้อยถึงขนาดให้สินสอดขนาดนี้ เมื่อ
หยางฉิงสังเกตสายตาของพรานหย่งชุน นางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน“ท่านคงรู้แล้วว่าข้าให้ท่านมาพบเรื่องใด ตอนนี้ท่านคงได้คำตอบอยู่แล้ว ใช่หรือไม่?” นางถามเสียงเรียบ“เจ้าช่างฉลาดนัก...” หย่งชุนหัวเราะเบา ๆ “ใช่ ข้ารับข้อเสนอของเจ้า ไหน ๆ ข้าก็ยังไม่ได้แต่งงานอยู่แล้ว”แต่แล้วเขากลับมองหยางฉิงด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ก่อนกล่าวต่อ “แต่ข้าคงไม่มีเงินมากพอที่จะขอหญิงสาวสักคนได้หรอก...”เมื่อเห็นสายตาของพรานหย่งชุน หยางฉิงจึงยิ้มบางเบา “แน่นอน ในเมื่อข้าเสนอจะช่วยท่านแล้ว ข้าก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ถือว่าเป็นของขวัญจากข้าก็แล้วกัน แต่…เรื่องนี้ต้องเป็นความลับระหว่างเรา ข้าจะช่วยให้ท่านสมหวัง แต่เมื่อท่านแต่งงานไปแล้ว ให้ถือว่าเราไม่เคยรู้จักกัน”นางพูดเสียงเรียบพลางวางถุงเงินลงตรงหน้าเขา “ข้าช่วยท่านแล้ว ท่านก็ต้องทำหน้าที่ของท่านให้สำเร็จลุล่วง”พรานหย่งชุนรีบคว้าถุงเงินขึ้นมานับ เมื่อเห็นตำลึงทองห้าตำลึง เขาก็ตาโตด้วยความยินดี“ข้าจะทำงานนี้ให้สำเร็จ!” เขากล่าวอย่างตื่นเต้น“เงินที่ข้าให้ ท่านจงนำไปสร้างบ้านหลังใหม่ และเตรียมของแต่งงานให้พร้อม ท่านก็น่าจะรู้ว่ามารดาของหลี่หยินชอบคนมีเ
หลี่ชวนฟังคำพูดของหลี่เซิงแล้วยิ่งไม่เข้าใจ ‘กาดำตัวไหนอยากเปลี่ยนเป็นหงส์กัน? นั่นมันฝันไกลเกินไปหรือไม่…’ คิดไปก็ปวดหัว หลี่ชวนจึงเลิกใส่ใจ ก่อนเดินตามหลี่เซิงเข้าไปเพื่อทำหน้าที่ของตน...ขณะเดียวกัน เหตุการณ์หน้าประตูโรงทำน้ำพริก ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของอู๋เจิง นางกำลังถืออาหารมาให้สามีเหมือนเช่นเคย แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า นางจึงแอบหยุดฟังอยู่ห่าง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เซิง อู๋เจิงถึงกับยิ้มออกมาอย่างพอใจ’ หยางฉิงช่างมองคนได้เฉียบแหลมจริง ๆ’ นางคิดในใจดีที่วันนี้แม่สามีไม่ได้มาที่นี่ ไม่เช่นนั้น เรื่องคงไม่จบเพียงเท่านี้แน่...หลังจากรอจนหลี่หยินเดินลับสายตาไป อู๋เจิงจึงออกมาจากที่ซ่อน และนำอาหารไปให้สามีเช่นทุกวันระหว่างรับประทานอาหาร หลี่ชวนเล่าเรื่องของหลี่เซิงให้นางฟังอู๋เจิงยิ้มออกมา บางทีเรื่องนี้นางควรบอกให้หยางฉิงรู้ แต่ที่แน่ ๆ นางชอบคำพูดของหลี่เซิงเสียจริง‘กาดำอยากเป็นหงส์’ไม่มีทางที่กาดำจะกลายเป็นหงส์ได้ ยิ่งหากกาดำตนนั้นมีจิตใจที่ดำมืดอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่มีวัน...หลี่ชวนมองรอยยิ้มของภรรยา แล้วอดไม่ได้ที่จะนึกบางอย่างขึ้นมา ตั้งแต่นางไปทำงานกับหยางฉิงบ่อยครั้ง เขารู
“ข้าขอบคุณท่านมากที่นำเรื่องนี้มาบอกกับข้า แต่ข้ามั่นใจว่าหลี่เซิงไม่มีทางทำเรื่องไม่ดีกับข้าแน่นอน ท่านสบายใจได้” นางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเมื่ออู๋เจิงได้ฟังเช่นนั้น นางก็พิจารณาใบหน้าของหยางฉิง ถึงแม้นางจะไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางใด ๆ บนใบหน้า แต่ก็ยังดูงดงามสะกดตา ยิ่งเมื่อนึกเปรียบเทียบกับหลี่หยินแล้ว ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าทั้งสองแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลจริง ๆ“เจ้าพูดถูก” อู๋เจิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัวกลับบ้านก่อน จะได้ไม่รบกวนเจ้า”นางกล่าวลาหยางฉิงก่อนเดินกลับบ้านไปด้วยความสบายใจอีกด้านหนึ่ง ในขณะที่หญิงสาวทั้งสองกำลังพูดคุยกันด้วยความกังวล หลี่เซิงกลับไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น เพราะตอนนี้เขากำลังยุ่งกับการดูแลเด็กน้อยทั้งสอง จนแทบไม่ได้หลับได้นอนเขาให้แม่นมคอยสอนวิธีเลี้ยงเด็กเล็ก แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากและเหนื่อยมากกว่าที่คิด การมีลูกไม่ใช่เรื่องสบายเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เรียนรู้มันไปด้วยความเต็มใจโดยเฉพาะเมื่อเด็กน้อยทั้งสองแย้มยิ้มให้เขา ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันก็เหมือนจะมลายหายไปในพริบตา...หลี่เซิงอุ้มลูกน้อยเข
หลี่เซิงรับของจากผู้ใหญ่บ้านด้วยความเกรงใจ “ท่านมาเยี่ยมข้า ข้าก็ดีใจมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องลำบากนำของพวกนี้มาเลย”หลี่จงยิ้มพลางตอบกลับ “ข้ามาเยี่ยมหลานทั้งที จะให้มามือเปล่าได้อย่างไร”หลี่อี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้นจึงพูดแทรกขึ้นมา “ของข้าก็มีเหมือนกัน”หลี่เซิงหันไปมองหลี่อี้ ชายหนุ่มที่บัดนี้ดูดีกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รับสินค้าจากบ้านหลี่เซิงไปขายตามหัวเมืองต่าง ๆ เช่นกันหลี่เซิงรับของมาจากหลี่อี้ก่อนเอ่ยล้อเลียน “ขอบใจเจ้ามาก เอาไว้เจ้ามีลูกเมื่อไหร่ ข้าจะไปแสดงความยินดีแน่”หลี่อี้รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เพราะเขาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน “ได้ข่าวว่าร้านของเจ้าจำหน่ายยาช่วยให้มีบุตร เอาไว้ถ้าปีนี้ข้ายังไม่มีลูก ข้าคงต้องไปซื้อยาให้ภรรยาเสียแล้ว” เขาพูดพลางเหลือบมองสีหน้ามารดาตัวเอง ซึ่งดูจะไม่พอใจที่ภรรยาของเขายังไม่มีลูกหลี่เซิงมองสีหน้าของหลี่อี้อย่างเห็นใจ ก่อนเอ่ยอย่างใจกว้าง “หากไม่มีจริง ๆ ข้าจะมอบยาให้เจ้าโดยไม่คิดเงิน ดีหรือไม่?” เขาพูดพลางยักคิ้วให้หลี่อี้หานหยุนที่นั่งฟังอยู่ สีหน้าดูดีขึ้นมาทันที ใคร ๆ ก็รู้ว่ายาของร้าน เทียนเจินถัง มีชื่อเสียงโด