หยางฉิงรับรู้ได้ว่าพวกเขาใกล้ถึงจุดหมายแล้ว นางรู้สึกว่ามือของตนเองเริ่มเปล่งแสงสีเขียวเรืองรองออกมา เป็นแสงที่มีเพียงนางเท่านั้นที่รับรู้ได้ ‘ข้างหน้าต้องมีบางสิ่งอยู่อย่างแน่นอน’ นางคิดพลางกวาดตามองไปทั่วบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่าน นางมองเห็นดอกไม้สีขาวปนเขียวอ่อนเป็นช่อบริเวณยอด ลำต้นสูงประมาณสองฉื่อ (ราวหกสิบเซนติเมตร) มีใบย่อย ๆ ประมาณสามถึงห้าใบ นอกจากนี้ยังมีผลสีแดงลูกเล็ก ๆ อยู่ประมาณห้าผล เมื่อพินิจดูอย่างละเอียด นางก็จำได้ว่าพืชชนิดนี้คือ โสมคน!“หลี่เซิง! นั่นมันโสมคนใช่หรือไม่?” นางร้องบอกเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ เพราะที่ผ่านมา นางเคยเห็นต้นโสมคนแค่ในหนังสือเท่านั้นหลี่เซิงเพ่งมองอย่างละเอียด และพบว่ามันเป็นโสมคนจริง ๆ แถมยังเป็นต้นที่โตเต็มวัยแล้วอีกด้วย จากที่เขาสังเกตเห็น มีต้นโสมคนขึ้นอยู่ประมาณสามต้น และแต่ละต้นก็มีผลสีแดงซึ่งสามารถนำไปขยายพันธุ์ได้ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถปลูกมันให้เติบโตขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นหยางฉิง เขาคิดว่านางน่าจะทำได้“เจ้าพูดถูกแล้ว พวกมันคือโสมคนที่โตเต็มวัย ผลสีแดงเหล่านี้สามารถนำไปขยายพันธุ์ได้ ทุกส่วนของมันสามารถใ
หลี่เซิงพูดขึ้นด้วยเสียงดังเล็กน้อย ทำให้หยางฉิงที่กำลังเหม่อลอยรีบหันไปมองตามเสียงของเขา นางเห็นว่าบริเวณนั้นเป็นที่ราบโล่ง มีทุ่งดอกหญ้าสีขาวแผ่กว้างออกไปทั่ว และตรงจุดที่หลี่เซิงชี้ให้ดู ก็เป็นร่องรอยที่เขาเคยขุดพริกออกไป ซึ่งตอนนี้มีต้นพริกต้นเล็ก ๆ งอกขึ้นมาแทนแล้วด้านข้างกันนั้น นางสังเกตเห็นว่ามีเถาพืชชนิดหนึ่งที่ดูคุ้นตาขึ้นอยู่ นางรีบเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่ามันคือเถามันหวานนั่นเอง“ที่นี่ดีอย่างที่ท่านว่าไว้จริง ๆ ข้าเห็นว่ามีเถามันขึ้นอยู่ด้วย ท่านช่วยขุดตรงนี้ให้ข้าหน่อย” นางชี้จุดที่ต้องการให้เขาขุดหลี่เซิงใช้จอบขุดลึกลงไปตามที่นางบอก แล้วเขาก็พบกับหัวพืชชนิดหนึ่งที่มีเปลือกสีแดง มันเติบโตเป็นพวงอยู่ใต้ดิน“ของสิ่งนี้กินได้หรือ?” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะไม่เคยเห็นหรือกินมันมาก่อน“กินได้สิ นี่เป็นของอร่อยเลย ที่บ้านของข้าเรียกพวกมันว่า มันหวาน ท่านเคยพบพวกมันมาก่อนไหม? พืชชนิดนี้ชอบขึ้นในดินที่ร่วนซุย เดี๋ยวข้าจะลองนำไปปลูกไว้หลังบ้านของเรา”นางยังพบต้นมันหวานอีกหลายต้น จึงขุดมันขึ้นมาเก็บไว้ทั้งหมด เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาเก็บอีกระหว่างที่เดินสำรวจในบริเว
ที่จริงนางมีรองเท้าของน้องชายอยู่ในห้องด้วย นางอยากเอาไปให้หลี่เซิงลองใส่ แต่ก็คิดว่าคงดูแปลกเกินไป แถมในตู้เสื้อผ้าของนางยังมีข้าวของเครื่องใช้ของผู้ชายอยู่หลายอย่าง เพราะน้องชายมักมาอาศัยที่คอนโดของนางเป็นบางครั้ง หยางฉิงจึงยังไม่ได้เก็บของพวกนั้นออกไป‘ถ้าใส่รองเท้าแบบอื่น คงจะปวดเท้าแน่ ๆ’ นางคิด ก่อนจะเลือกใส่รองเท้ากีฬาแทน จากนั้นก็สวมเสื้อสีน้ำตาลกับกางเกงขายาวที่ปิดเท้าเพื่อป้องกันไม่ให้หลี่เซิงมองเห็นเมื่อเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว นางก็จัดเตรียมอาหาร นางเลือกมาม่าเป็นเสบียงและพกเนื้อหมูใส่ไว้ เมื่อต้มน้ำจนเดือด นางก็เก็บทุกอย่างไว้ในมิติ รอขึ้นไปบนเขาแล้วค่อยนำออกมากินเมื่อทุกอย่างพร้อม นางก็เดินออกไปหาหลี่เซิงที่นั่งรออยู่หน้าบ้าน“ข้าพร้อมแล้ว เราต้องเอาตะกร้าไปไหม?” นางถาม เพราะมีมิติอยู่แล้ว นางจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องพกตะกร้าไป“เจ้าเอาไปเถอะ คนอื่นเห็นจะได้ไม่สงสัย” หลี่เซิงตอบ เพราะทางขึ้นเขายังต้องผ่านบ้านเรือนของชาวบ้านอยู่บ้างหยางฉิงคิดตามแล้วเห็นด้วย นางจึงเดินกลับไปหยิบตะกร้ามาสะพายไว้บนหลัง แต่พอเดินเข้าไปใกล้หลี่เซิง เขากลับแย่งตะกร้าไปแบกเอง“ถ้าอย่างนั้นเรารีบไป
“ใช่ ตอนนี้เรามีเงินหนึ่งร้อยตำลึงทอง คงเพียงพอที่จะซื้อเกวียนวัวได้สักคันพอดี ช่วงนี้เราจ้างท่านลุงหลี่ห้าวไปขายของบ่อยขึ้น ยิ่งทำให้เป็นที่สนใจมากขึ้นอีก อีกไม่นาน มะพร้าวก็คงมีคนปลูกเต็มตลาดไปหมด” นางพูดอย่างไม่กังวล เพราะไม่ว่าผู้คนจะปลูกมากเท่าไร นางก็มั่นใจว่ายังสามารถขายได้อยู่ดี“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้หลังจากขายของเสร็จ ไปดูรถเกวียนวัวสักคันดีหรือไม่? พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องเอาของไปขายมากมายนักหรอก” หลี่เซิงเสนอขึ้น เพราะช่วงหลายวันที่ผ่านมา พวกเขาขายของจนแทบไม่มีเวลาพูดคุยกันเลยหยางฉิงคิดตาม ช่วงนี้นางขายของเยอะมากจริง ๆ เพราะต้องการรีบเก็บเงิน จึงไม่ค่อยได้สนใจหลี่เซิงเท่าที่ควร บางทีนางอาจต้องจับตาดูเขาเป็นพิเศษเสียแล้ว“ก็ได้ ข้าจะเอาไปขายเพียงครึ่งหนึ่งก็พอ เราจะได้มีเวลาไปหาซื้อรถเกวียนวัว”หลังจากที่พูดตกลงกับหลี่เซิงแล้ว นางยังรู้สึกไม่ดีอยู่ นางจึงหายเข้าไปในมิติ เพื่อค้นดูอุปกรณ์ที่สามารถใช้ปกป้องตัวเองได้นางนั่งนึกอยู่นาน ก็คิดขึ้นได้ว่านางมีปืนพกอยู่หนึ่งกระบอก แต่เสียงของมันดังเกินไป หากนำมาใช้คงไม่ดี ‘คนในยุคนี้เขาใช้อะไรต่อสู้กันนะ?’‘ธนูหรือมีด? แน่นอน เพราะตั้งแต
“สิ่งนี้คือมะพร้าวที่เจ้าพูดถึงหรือ?” นางพินิจพิเคราะห์สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง“ใช่เจ้าค่ะ นายหญิง บ่าวได้ผ่ามะพร้าวแล้วแยกน้ำกับเนื้อออกมาให้เจ้าค่ะ” หนี่เซียงกล่าว นางได้นำน้ำมะพร้าวไปแช่ในห้องเย็นก่อนจะนำมาให้หนานเหม่ยหลิงหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ รสชาติแรกที่สัมผัสปลายลิ้นนั้นช่างหวานละมุน หอมสดชื่นจนทำให้นางไม่อยากวางแก้วลง นางดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว จากนั้นจึงหยิบเนื้อมะพร้าวขึ้นมาลองลิ้ม เนื้อของมันหวานมัน เนียนนุ่มราวกับของวิเศษที่นางไม่เคยได้ลิ้มรสที่ไหนมาก่อน มันช่างอร่อยยิ่งนัก จนนางเผลอกินไปเรื่อย ๆ ไม่อาจหยุดได้ในใจของหนานเหม่ยหลิงพลันนึกถึงท่านพี่ของนาง เขาเองก็มีอาการนอนไม่หลับเช่นเดียวกัน หากได้ลองลิ้มรสมะพร้าวนี้ก็คงดีไม่น้อยหนี่เซียงมองดูนายหญิงรับประทานอย่างเพลิดเพลิน สังเกตจากสีหน้าก็รู้ว่านางชื่นชอบผลไม้ชนิดนี้มาก ‘โชคดีจริง ๆ ที่ข้าซื้อมะพร้าวมาเยอะ’หนานเหม่ยหลิงวางถ้วยเนื้อมะพร้าวลง ก่อนเอ่ยถามบ่าวรับใช้ของนาง “เจ้าซื้อผลไม้นี้มามากน้อยเพียงใด?”“บ่าวซื้อมาทั้งหมด ยี่สิบลูกเจ้าค่ะ”“ดี ถ้าคืนนี้ข้านอนหลับสนิท พรุ่งนี้เจ้าเอามะพร้าวนี้ไปให้ท่านพี่ของข้าด้วย” นางก
“ข้าเอามะพร้าวของเจ้าเพิ่มอีกสิบลูกก็แล้วกัน” หนี่เซียงกล่าวด้วยความมั่นใจ คิดว่านายหญิงของนางต้องชอบแน่หยางฉิงได้ยินเช่นนั้นก็รีบตอบตกลงทันที “ได้ ข้าจะปอกให้ท่านเพิ่มอีกสิบลูก” จากนั้นจึงหันไปบอกหลี่เซิงให้ช่วยปอกมะพร้าวเพิ่ม และช่วยกันจัดของใส่ตะกร้าให้นาง“นี่ของท่าน ข้าปอกให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมคำเตือนของข้านะเจ้าคะ มะพร้าวหากเก็บไว้ในที่เย็นสามารถอยู่ได้นานกว่าสิบวัน แต่ถ้าอยู่ในที่ร้อนจะเก็บได้เพียงสองถึงสามวันเท่านั้น และเนื่องจากท่านซื้อของข้าไปมาก ข้าจะแถมแตงโมให้ท่านอีกหนึ่งลูก หากครั้งหน้าท่านชอบมะพร้าวของข้า ก็มาซื้อได้ ข้าจะมาขายทุกสามวัน” นางกล่าวเตือนอีกครั้งเหตุผลที่หยางฉิงไม่มาขายทุกวันก็เพราะต้องการให้ลูกค้ารู้ว่าสินค้าของนางเป็นของหายาก พอถึงวันขายอีกครั้ง คนก็จะรีบมาซื้อ นอกจากนี้ นางยังต้องใช้เวลาดูแลสวนของตน และมีแผนจะทำสิ่งอื่นอีกมากมายหนี่เซียงที่ได้รับของแถมเป็นแตงโมก็ดีใจ อย่างน้อยนางก็มีแตงโมไปฝากนายหญิงแล้ว “ขอบใจเจ้ามาก ครั้งหน้าหากมีแตงโมอีกก็เอามาขายด้วยก็ได้” นางพูดพลางหันไปเรียกบ่าวชายที่ติดตามมาให้ช่วยยกมะพร้าวกลับจวน“ได้ ครั้งหน้าข้าจะนำมา