“พวกเจ้ามีเรื่องอะไร ถึงมาหาข้าเวลานี้” ฉินอ๋องพูดเสียงห้วน พลางคิดในใจว่า ‘ช่างมาขัดความสุขของข้าจริง ๆ’“ข้าน้อยมีเรื่องที่ท่านฉินอ๋องมอบหมายให้ไปทำมารายงานขอรับ” ชายที่มีไฝใต้ตาเอ่ยขึ้นฉินอ๋องนิ่งฟังเงียบ ๆ มือยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ผมยาวสยายอยู่ด้านหลัง รับกับใบหน้าคมคายแต่แฝงความเจ้าเล่ห์ ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับเขามากขึ้นไปอีก หญิงสาวทั้งสองนางที่ยืนอยู่ด้านข้างเหลือบมองเขาด้วยสายตาหลงใหล“แล้วอย่างไร” ฉินอ๋องเอ่ยถาม พลางหมุนแก้วชาในมือเล่น“คือว่า… ข้าน้อยได้ตามล่าเพื่อนำลูกแมวป่าและลูกหมาป่าที่มีขนสีขาวสนิทมาให้ท่านฉินอ๋องแล้วขอรับ แต่…” ชายที่มีไฝใต้ตาลังเล ก่อนจะหันไปสะกิดเพื่อนให้พูดต่อฉินอ๋องปรายตามองทั้งสองคน คล้ายต้องการคำตอบโดยเร็วชายที่มีผ้าปิดตาข้างหนึ่งจึงจำใจพูดออกมาแทน “ข้าน้อยแบ่งกันไล่ล่าแม่แมวป่ากับแม่หมาป่าไปคนละทาง และได้เอาลูกของพวกมันไปซ่อนไว้ที่กอไผ่ขอรับ ข้าน้อยตามล่าแม่ของมันได้ไม่นานนัก แต่เมื่อย้อนกลับไป ลูกของพวกมันก็หายไปเสียแล้ว… แถมต้นโสมคนก็ถูกขโมยไปด้วยเช่นกัน” เขารายงานด้วยเสียงเบาลงเรื่อย ๆฉินอ๋องได้ยินเช่นนั้น อารมณ์ก็พลุ่งพล่านขึ้นทันที! เขาเขวี้
หลี่เซิงรู้สึกใจคอไม่ดีนัก เขาคิดว่ากำลังจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นแน่นอน จึงเปลี่ยนเส้นทางเดินบนเขา เลือกใช้เส้นทางลับที่เขาใช้เป็นประจำแทน รอยเท้าของพวกเขาทั้งสองถูกลบออกไปจนหมดหยางฉิงที่สังเกตเห็นว่าหลี่เซิงมีท่าทางกังวล นางคิดว่าคงมีอันตรายบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามาหาพวกเขา นางจึงปิดปากเงียบ ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เมื่อหลี่เซิงบอกให้นางทำสิ่งใด นางก็ทำตามโดยไม่อิดออด พยายามไม่ส่งเสียงรบกวนสมาธิของเขาหลี่เซิงพานางลัดเลาะไปตามเส้นทางเล็ก ๆ ทางเข้าถูกปกคลุมด้วยพุ่มหญ้าหนาทึบ เขาสร้างเส้นทางหลอกเอาไว้ก่อน แล้ววกกลับมาใช้เส้นทางเดิมที่ถูกเถาวัลย์ปกปิดอยู่ เมื่อเปิดออกก็พบกับถ้ำเล็ก ๆ ซึ่งสามารถทะลุไปอีกฝั่งได้ เส้นทางนี้เขาเก็บไว้ใช้ยามจำเป็นและไม่ค่อยได้ใช้งานบ่อยนักเขาหันไปมองหยางฉิง เห็นว่านางเดินตามมาเงียบ ๆ ไม่เอ่ยสิ่งใดเมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในถ้ำ หลี่เซิงก็เลื่อนเถาวัลย์และพงหญ้ากลับมาปกปิดทางเข้าเช่นเดิม เขาพานางเดินต่อไปในความมืดอยู่อีกครู่หนึ่งจนพบทางออก ซึ่งเป็นเส้นทางสายหลักที่อยู่ตรงข้ามกับทางที่เข้ามาเมื่อออกมาแล้ว เขาพานางเดินไปตามเส้นทางที่ชาวบ้านใช้สัญจร ตลอดทางพวกเขาไม่พบ
หยางฉิงรับรู้ได้ว่าพวกเขาใกล้ถึงจุดหมายแล้ว นางรู้สึกว่ามือของตนเองเริ่มเปล่งแสงสีเขียวเรืองรองออกมา เป็นแสงที่มีเพียงนางเท่านั้นที่รับรู้ได้ ‘ข้างหน้าต้องมีบางสิ่งอยู่อย่างแน่นอน’ นางคิดพลางกวาดตามองไปทั่วบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่าน นางมองเห็นดอกไม้สีขาวปนเขียวอ่อนเป็นช่อบริเวณยอด ลำต้นสูงประมาณสองฉื่อ (ราวหกสิบเซนติเมตร) มีใบย่อย ๆ ประมาณสามถึงห้าใบ นอกจากนี้ยังมีผลสีแดงลูกเล็ก ๆ อยู่ประมาณห้าผล เมื่อพินิจดูอย่างละเอียด นางก็จำได้ว่าพืชชนิดนี้คือ โสมคน!“หลี่เซิง! นั่นมันโสมคนใช่หรือไม่?” นางร้องบอกเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ เพราะที่ผ่านมา นางเคยเห็นต้นโสมคนแค่ในหนังสือเท่านั้นหลี่เซิงเพ่งมองอย่างละเอียด และพบว่ามันเป็นโสมคนจริง ๆ แถมยังเป็นต้นที่โตเต็มวัยแล้วอีกด้วย จากที่เขาสังเกตเห็น มีต้นโสมคนขึ้นอยู่ประมาณสามต้น และแต่ละต้นก็มีผลสีแดงซึ่งสามารถนำไปขยายพันธุ์ได้ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถปลูกมันให้เติบโตขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นหยางฉิง เขาคิดว่านางน่าจะทำได้“เจ้าพูดถูกแล้ว พวกมันคือโสมคนที่โตเต็มวัย ผลสีแดงเหล่านี้สามารถนำไปขยายพันธุ์ได้ ทุกส่วนของมันสามารถใ
หลี่เซิงพูดขึ้นด้วยเสียงดังเล็กน้อย ทำให้หยางฉิงที่กำลังเหม่อลอยรีบหันไปมองตามเสียงของเขา นางเห็นว่าบริเวณนั้นเป็นที่ราบโล่ง มีทุ่งดอกหญ้าสีขาวแผ่กว้างออกไปทั่ว และตรงจุดที่หลี่เซิงชี้ให้ดู ก็เป็นร่องรอยที่เขาเคยขุดพริกออกไป ซึ่งตอนนี้มีต้นพริกต้นเล็ก ๆ งอกขึ้นมาแทนแล้วด้านข้างกันนั้น นางสังเกตเห็นว่ามีเถาพืชชนิดหนึ่งที่ดูคุ้นตาขึ้นอยู่ นางรีบเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่ามันคือเถามันหวานนั่นเอง“ที่นี่ดีอย่างที่ท่านว่าไว้จริง ๆ ข้าเห็นว่ามีเถามันขึ้นอยู่ด้วย ท่านช่วยขุดตรงนี้ให้ข้าหน่อย” นางชี้จุดที่ต้องการให้เขาขุดหลี่เซิงใช้จอบขุดลึกลงไปตามที่นางบอก แล้วเขาก็พบกับหัวพืชชนิดหนึ่งที่มีเปลือกสีแดง มันเติบโตเป็นพวงอยู่ใต้ดิน“ของสิ่งนี้กินได้หรือ?” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะไม่เคยเห็นหรือกินมันมาก่อน“กินได้สิ นี่เป็นของอร่อยเลย ที่บ้านของข้าเรียกพวกมันว่า มันหวาน ท่านเคยพบพวกมันมาก่อนไหม? พืชชนิดนี้ชอบขึ้นในดินที่ร่วนซุย เดี๋ยวข้าจะลองนำไปปลูกไว้หลังบ้านของเรา”นางยังพบต้นมันหวานอีกหลายต้น จึงขุดมันขึ้นมาเก็บไว้ทั้งหมด เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาเก็บอีกระหว่างที่เดินสำรวจในบริเว
ที่จริงนางมีรองเท้าของน้องชายอยู่ในห้องด้วย นางอยากเอาไปให้หลี่เซิงลองใส่ แต่ก็คิดว่าคงดูแปลกเกินไป แถมในตู้เสื้อผ้าของนางยังมีข้าวของเครื่องใช้ของผู้ชายอยู่หลายอย่าง เพราะน้องชายมักมาอาศัยที่คอนโดของนางเป็นบางครั้ง หยางฉิงจึงยังไม่ได้เก็บของพวกนั้นออกไป‘ถ้าใส่รองเท้าแบบอื่น คงจะปวดเท้าแน่ ๆ’ นางคิด ก่อนจะเลือกใส่รองเท้ากีฬาแทน จากนั้นก็สวมเสื้อสีน้ำตาลกับกางเกงขายาวที่ปิดเท้าเพื่อป้องกันไม่ให้หลี่เซิงมองเห็นเมื่อเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว นางก็จัดเตรียมอาหาร นางเลือกมาม่าเป็นเสบียงและพกเนื้อหมูใส่ไว้ เมื่อต้มน้ำจนเดือด นางก็เก็บทุกอย่างไว้ในมิติ รอขึ้นไปบนเขาแล้วค่อยนำออกมากินเมื่อทุกอย่างพร้อม นางก็เดินออกไปหาหลี่เซิงที่นั่งรออยู่หน้าบ้าน“ข้าพร้อมแล้ว เราต้องเอาตะกร้าไปไหม?” นางถาม เพราะมีมิติอยู่แล้ว นางจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องพกตะกร้าไป“เจ้าเอาไปเถอะ คนอื่นเห็นจะได้ไม่สงสัย” หลี่เซิงตอบ เพราะทางขึ้นเขายังต้องผ่านบ้านเรือนของชาวบ้านอยู่บ้างหยางฉิงคิดตามแล้วเห็นด้วย นางจึงเดินกลับไปหยิบตะกร้ามาสะพายไว้บนหลัง แต่พอเดินเข้าไปใกล้หลี่เซิง เขากลับแย่งตะกร้าไปแบกเอง“ถ้าอย่างนั้นเรารีบไป
“ใช่ ตอนนี้เรามีเงินหนึ่งร้อยตำลึงทอง คงเพียงพอที่จะซื้อเกวียนวัวได้สักคันพอดี ช่วงนี้เราจ้างท่านลุงหลี่ห้าวไปขายของบ่อยขึ้น ยิ่งทำให้เป็นที่สนใจมากขึ้นอีก อีกไม่นาน มะพร้าวก็คงมีคนปลูกเต็มตลาดไปหมด” นางพูดอย่างไม่กังวล เพราะไม่ว่าผู้คนจะปลูกมากเท่าไร นางก็มั่นใจว่ายังสามารถขายได้อยู่ดี“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้หลังจากขายของเสร็จ ไปดูรถเกวียนวัวสักคันดีหรือไม่? พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องเอาของไปขายมากมายนักหรอก” หลี่เซิงเสนอขึ้น เพราะช่วงหลายวันที่ผ่านมา พวกเขาขายของจนแทบไม่มีเวลาพูดคุยกันเลยหยางฉิงคิดตาม ช่วงนี้นางขายของเยอะมากจริง ๆ เพราะต้องการรีบเก็บเงิน จึงไม่ค่อยได้สนใจหลี่เซิงเท่าที่ควร บางทีนางอาจต้องจับตาดูเขาเป็นพิเศษเสียแล้ว“ก็ได้ ข้าจะเอาไปขายเพียงครึ่งหนึ่งก็พอ เราจะได้มีเวลาไปหาซื้อรถเกวียนวัว”หลังจากที่พูดตกลงกับหลี่เซิงแล้ว นางยังรู้สึกไม่ดีอยู่ นางจึงหายเข้าไปในมิติ เพื่อค้นดูอุปกรณ์ที่สามารถใช้ปกป้องตัวเองได้นางนั่งนึกอยู่นาน ก็คิดขึ้นได้ว่านางมีปืนพกอยู่หนึ่งกระบอก แต่เสียงของมันดังเกินไป หากนำมาใช้คงไม่ดี ‘คนในยุคนี้เขาใช้อะไรต่อสู้กันนะ?’‘ธนูหรือมีด? แน่นอน เพราะตั้งแต