LOGINสงครามครั้งนี้พรากทุกอย่างไปจากนาง ครอบครัว..พี่น้อง สหาย นางไม่เหลือผู้ใดอีกแล้วแม้กระทั่งไร้บ้านให้ซุกหัวนอน ลู่อันต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดท่ามคมดาบและต้องคอยหลบหนีพวกเดนทหาร นางเป็นสตรี สตรีในสงครามมีค่ายิ่งว่าทองคำเสียอีก ในวันที่นางเกือบสิ้นลมหายใจแต่กับมีบุรุษผู้หนึ่งยื่นมือช่วยเหลือ คนผู้นั้นคือ หลีหลงเว่ย ทั้งแข็งกร้าวเหี้ยมโหดไม่ต่างจากมัจจุราช สังหารเค้นฆ่าผู้คนได้ไม่กระพริบตา เมื่อลมหายใจเฮือกสุดท้ายมาถึง...หลีหลงเว่ยเป็นผู้หยิบยื่นโอกาสและมอบชีวิตใหม่ให้นาง กลายเป็นบุญคุณค้ำคอที่ต้องตอบแทน และตกกลุ่มพรางของบุรุษเจ้าเล่ห์ เพียงแค่ค่ำคืนนั้นค่ำคืนเดียว นางกลายเป็นสตรีใต้อาบัญติของเขาไปตลอดกาล
View Moreแผ่นดินทางตอนใต้ของแคว้นที่เงียบสงบมานานทว่าเมื่อหลายเดือนก่อนกลับถูกรุกรานด้วยเหล่าทหารกบฏที่ร่วมมือกับพวกชนเผ่าเพื่อต้องการมีอำนาจเป็นใหญ่ จนก่อเกิดสงครามและความวุ่นวายที่ยืดเยื้อขัดแย้งกันเนิ่นนานทำให้บ้านเมืองเกิดความโกลาหลบัลลังก์มังกรเกิดความกระสับกระส่าย
เหล่าขุนนางต่างแตกแยกไร้ความปองดอง สงครามที่รุกรานกินพื้นที่ของแคว้นเมื่อนานวันเข้าจึงเป็นกระจายวงกว้างส่งผลให้ผู้คนบริสุทธิ์ล้มตายเกลื่อน ไม่ว่าจะตั้งแต่เด็กเล็กตัวแดงตลอดจนไปถึงวัยชราต่างต้องลุกขึ้นมาจับดาบฆ่าฟันเพื่อเอาตัวรอด เพราะหากไม่เป็นฝ่ายฆ่ากลับต้องเป็นฝ่ายถูกฆ่าซะเอง ส่วนเหล่าสตรีตั้งแต่เด็กสาวไปจนถึงหญิงชราจะรอดพ้นจากการเป็นเครื่องมือบำเรอความสุขให้เหล่าเดนทหารได้อย่างไร สตรีนั้นมีค่ายิ่งกว่าทองคำ ชะตาที่ชีวิตที่หากไม่เป็นร่างไร้บมหายใจก็กลายเป็นร่างที่ไร้วิญญาณ สมรภูมิรบที่ลุกโชนแผดเผาผู้คนทุกหย่อมหญ้าจนมอดไหม้ เสียงหวีดร้องโหยหวนร้องขอชีวิตอย่างน่าสมเพชเวทนาแต่สิ่งที่ตอบรับมานั้นคือคมดาบที่เฉียดแทงทะลุจนกลายเป็นร่างที่ไร้วิญญาณพร้อมเสียงคำรามด้วยความสะใจอย่างไรค่า ในขณะเดียวกันนั้นภายในราชสำนักพลันเกิดการทะเยอทะยานเป็นใหญ่ระหว่างขุนนางและเหช่าเชื้อพระวงศ์ต่างพยายามแย่งชิงอำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง หากบ้านเมืองจะพังพินาศไปก็ตามแต่คนเหล่านี้ในเมื่อไม่ใช่เรื่องของตนเองย่อม ไม่สนใจ ผู้มีอำนาจรอด…ผู้ไร้อำนาจกลายเป็นเครื่องมือสังเวยของสงครามไม่มีวันจบ กระทั่งภายหลังเกือบหนึ่งปีต่อมา ซู่กั๋วกง ฉีเซียว รวบรวมอำนาจทหารส่วนหนึ่งไว้ในมือได้จึงคิดการกบฏลงมือสังหารทรราชจางฮ่องเต้และแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ปกครอง แคว้นแทน มิหนำซ้ำยังลงมีว่าราชการด้วยตนเองท่ามกลางความไม่เห็นชอบและไม่พอใจของผู้คนมากมาย ถ้อยคำของคนพวกนั้นเป็นเพียงแค่บมปากเท่านั้น ฮ่องเต้องค์ใหม่หาได้สนใจลงมือร่างกีฎาฉบับหนึ่งขึ้นมาท่านกลางเสียงขัดค้านมากมาย ผู้ที่คิดคดทรยศต่อบ้านเมืองสังหารโดยไม่ยกเว้นโทษเก้าชั่วโคตร การช่วงชิงอำนาจในราชสำนักนิ่งสงบลง บัลลังก์กลับมาเข้มแข็งดังเดิมแต่สงครามยังไม่จบสิ้น… อีกทั้งยังสั่งปลดและถอดทอนตำแหน่งแต่งตั้งบุคคล ที่จำเป็นต่อความมั่นคงของบ้านเมือง หนึ่งในนั้น หลีหลงเว่ย ให้กลายเป็นแม่ทัพกล้าออกไปรบให้แล้วสิ้น คลังอาวุธที่แทยไม่เหลือ แม้แต่เสบียงอาหารอันน้อยนิดที่ส่งออกไปยังค่ายทหารยังถูดปล้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉีฮ่องเต้มีความเห็นว่าสมควรที่จะจบศึกที่ยืดเยื้อมานานต้องจบลงในครั้งนี้ จึงส่งเหล่าทหารกล้าพร้อมแม่ทัพกล้าออกไปสู้รบปราบกบฏอีกครั้งเพื่อนำพาความสงบมาแก่บ้านเมือง ยามนี้ทางตอนใต้ของแคว้นที่เคยอุดมสมบูรณ์ แต่ในช่วงเวลาเกือบสองปีที่ถูกรุกรานพื้นที่บัดนี้กลับย่ำแย่ลงไปด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวนน่าหดหู่ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยการเค้นฆ่า จนกระทั่งล่วงเลยเข้าสู่ฤดูเหมันต์ เหล่าทหารที่ปกป้องบ้านเมืองล้มลงอย่างหมดแรง ทว่าจู่ ๆ กลับต้องลุกขึ้นมาสู้เฮือกสุดท้ายของลมหายใจ ทันทีที่เดินทางมาถึง แม่ทัพหนุ่มสวมชุดเกราะสีเงินนั่งบนหลังม้าสง่าปกปิดทุกส่วนในร่างกายมีเพียงนัยน์ตาเย็นเยือกที่จ้องมองผู้คนด้วยสายตานิ่งเฉยเท่านั้นแต่กลิ่นไอสังหารกลับแผ่ซ่า การสู้รบที่ไม่ว่าจะวางแผนอย่างไรก็ยังคงมืดมิดไร้หนท่งการเอาชนะ เสมือนว่าสวรรค์ยังคงไม่พอใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรหากรักชีวิตก็ไม่อาจหันหลังกลัยไปได้ “ฆ่า! ฆ่าอย่าให้เหลือ” น้ำเสียงแข็งกร้าวตะโกนก้อง “ไม่แบ่งแยก! หากพบเจอผู้ใด ไม่แบ่งพรรคแย่งพวกสมควรสังหารทิ้งเท่านั้น! ไม่อาจไว้ชีวิต!” แม่ทัพหนุ่มออกคำสั่งอย่างไรความปรานี…เขานั้นไม่ต่งจากมัจจุราชพร้อมจะพรากชีวิตผู้คน จู่ ๆ ก็มีน้ำเสียงหนึ่งโต้กลับมา “หากเป็นชาวบ้านคนบริสุทธิ์แล้วจะทำอย่างไรขอรับ!” เมื่อแลกกลับความสงบของคนทั้งแคว้นแล้ว… “จะเอาชะตาชีวิตของผู้คนทั้งแคว้นมาทิ้งไว้กับแค่สิบชีวิตอย่างงั้นหรือ..ฆ่าทิ้ง!”แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคนเหล่านั้นบริสุทธิ์จริงแท้ ในสมรภูมินี้มีแต่ศัตรูเท่านั้น เพียงชั่วพริบตาแม่ทัพหนุ่มจึงตะโกนโห่ร้องก้องเปี่ยมอำนาจปลุกใจเหล่าทหาร ตั้งแต่เป็นเด็กสาวจนถึงดรุณีแรกแย้ม นางล้วนพบเห็นผู้คนล้มตายต่อหน้ามานับไม่สิ้น กลิ่นสาบคาวเลือดที่เป็นเรื่องน่ากลัวกลับกลายเป็นต้องสูดลมหายใจทุกวันอย่าง และวันนี้นางตัดสินใจสู้เป็นคราแรกหลังจากหลบซ้อนอย่างหวาดกลัวมานาน แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยงของลมหายใจ..นางยังอยากมีชีวิต “แล้วสิบชีวิตไม่ใช่คนหรืออย่างไร” ในจังหวะที่แม่ทัพหนุ่มควบม้าออกล่าตระเวนอยู่นั้น จู่ ๆ ก็พลันมีเด็กสาวผู้หนึ่งสองขาของนางก้าวออกมายืนตัดทางม้าเอาไว้ โง่งมหรืออวดดีถึงกล้ายืนประจันหน้ากับบุรุษสวมชุดเกราะบนหลังม้ามองด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “ท่านคิดว่าแค่ถือดาบไว้ในมือแล้วจะลงมือสังหารผู้อื่นได้ตามใจชอบเช่นนั้นหรือ” ภายใต้หน้านั้น เขาหยักยิ้มด้วยความสมเพช เพียงพริบตาเดียวหอกแหลมลมพุ่งชี้ไปที่ลำคอระหงทันที สตรีล้วนเป็นเฉกเช่นเดียวกันหมด…สิ่งมีชีวิตที่น่ารำคาญ “แน่นอนว่าเจ้าเองก็สมควรตาย” ไฉนสวรรค์ถึงหยิบยื่นความตายให้นั้นเป็นเรื่องง่ายดายเช่นนี้ ไม่นานนางจึงพลันกรีดร้องด้วยความตกใจก่อนที่ความเจ็บจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนกระอักเลือด สตรีรูปร่างผอมผายบอบบางหรือจะทนต่อแรงเจ็บปวดได้ “ช่วยข้า…” เพียงชั่ววูบเท่านั้น…นางยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อจริง ๆจวนหลีเคยเงียบสงบในยามนี้กับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของคุณหนูหลี หลีหลงเว่ยกลายเป็นบิดาที่อบอุ่นต่างจากคนในอดีตที่แข็งกร้าว ตั้งแต่ยามรุ่งสางจนอาทิตย์ตกดิน หลีหลงเว่ยโอบอุ้มบุตรสาวตัวน้อยเดินเล่นรอบจวนเหล่าบ่าวไพร่ทั้งหลายที่พบเอ็นต่างอมยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ผู้ใดไม่รู้บ้างว่านายท่านหลีหวงแหนคุณหนูหลี จนกระทั่งเมื่อถึงยามหลับนอหลีหลงเว่ยนจึงเป็นผู้เกลี่ยกล่อมเด็กน้อยนอนหลับในซบอก โดยไม่ต้องการร้องขอความข่วยเหลือจากแม่นมหรือแม้กระทั่งภรรยาตน แค่เพียงนางคลอดบุตรสาวน่ารักผู้หนึ่งออกมาให้เขาด้วยความยากลำบากก็เกินพอแล้ว “อวี้เหม่ยนางหลับไปแล้วหรือ” น้ำเสียงของผู้เป็นภรรยาเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นผู้เป็นสามีปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอก “วางนางลงบนเตียงแล้วปล่อยให้แม่นมดูแลเถอะ” ลู่อันเองก็จนปัญญาจะพูด บุรุษผู้นี้ลุ่มหลงและห่วงใจบุตรสาวจนเกิดเหตุไปแล้ว จนกระทั่งคลอดออกมาเกือบถึงแปดเดือนแล้วยังไม่ยอมให้ผู้ใดโอบอุ้มหรือกล่อมนอนทั้งสิ้น หลีหลงเว่ยพูด “นางคือบุตรสาวของข้า” “นางก็เป็นลูกข้าเช่นกัน” ลู่อันเท้าสะเอว จ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง แม่นมที่
หลายเดือนต่อมา…ภายในวังหลวงล้วนตลบอบไปด้วยบรรยากาศที่สื่อความมงคล ทั่วทั้งวังหลวงถูกตกแต่งประดับประดาตกไปด้วยผ้าแพร สีแดงสดและโคมไฟที่แขวนเรียงรายอย่างประณีตงดงาม ความสว่างจากโคมไฟหลายร้อยดวงที่แขวนอยู่ทั่วบริเวณยิ่งแสดงถความยิ่งใหญ่ของงานแต่งงานฉีฮ่องเต้ยืนอยู่แท่งพิธีการหน้าบัลลังก์อย่างสง่างาม อาภรณ์ที่สวมใส่ล้วนเป็นสีแดงปักดิ้นทองลวดลายมังกรด้วยความวิจิตรประณีตสลับซับซ้อน ขับให้ใบหน้าดูสง่างามน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้นในยามที่สะท้อนแสงจากโคมไฟหลายร้อยดวงส่วนหงส์ที่เคียงข้างมังกรย่อมหญิงงามไม่แพ้กันสตรีต่างแคว้นที่ถูกนำมาเป็นเครื่องบรรณาการยุติความสงครามทางการเมืองย่อมถูกคำสบประมาท ดูหมิ่นและถูกครหา ไม่น้อยเลยทีเดียวทว่าทันทีที่นางปรากฏในชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มปักลายดอกไม้และหงส์สีทองที่เปี่ยมไปด้วยความละเอียดอ่อนอย่างงดงาม ผ้าคลุมหน้าโปร่งบางที่ปิดบังใบหน้าของนางไว้เพียงบางส่วนยิ่งทำให้นางดูงดงามและลึกลับในคราเดียวกันช่างเหมาะสม!เหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยกจริง ๆเพียงชั่งพริบตาก็เกิดเสียงกึกก้องดังสนั่นไปในทิศทางเดียวกันทั้งสนิทว่าสตรีต่างแคว้ยผู้นี้งดงามยิ่งนัก เป็นที่น่าเชิญชู ของแค
หลีหลงเว่ยคิดว่าถ้อยคำเมื่อครู่เป็นการยั่วยวนแต่ไฉนเลยพอกลับเข้ามาในห้องแล้ว นางถึงเอาแต่นั่งบนเตียงสายตากำลังจ้องมองเขาอย่างไม่วาง“ถอดอาภารณ์ของเจ้าออก” เขาออกคำสั่งในขณะที่ลู่อันยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้นพอเห็นว่านางยังคงนิ่งเฉย หลีหลงเว่ยจึงกระจ่างแจ้งในใจทันทีคิดว่านางยังคงเป็นห่วง สายตาคมกริบก้มมองบาดแผลก็จะเงยหน้าคิด“ข้าแผลนี้ช่างประไรหาได้สำคัญกับข้า”นางหรี่ตามอง “เฟิ่งหมิงบอกว่าท่านจงใจให้ตนเองถูกแทงงั้นหรือ” ความรู้สึกเป็นห่วงวันนั้นนางรู้สึกเสียดายจริง ๆ “ทึ่มทื่อ!” ก่อที่จะโยคหลังจากด่าทออีกฝ่ายความง่วงงุ่นยังคงไม่สาง ลู่อันยกมือปิดปากห้าวก่อนจะล้มตัวนอนราบบนเตียงมันทีหลีหลงเว่ยพลันทำตัวไม่ถูกราวกับว่าเขากำลังถูกภรรยาจับได้หลีหลงเว่ยยกยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นข้าจะรู้ได้อย่างได้ว่าผู้ใดหวังหรือต่อข้าหรือต้องการสังหารข้าทิ้ง” เขาพูดพลางถอนอาภรณ์ออกจนเผยท่อนบนเปลือยเปล่านเห็นได้ว่านางเชิญชวนเขาแท้ ๆ แต่กลับเป็นฝ่ายถอยหนีด้วยความใจร้อน หลีหลงเว่ยกระโดดขึ้นเตียงก่อนจะคร่อมร่างของนางไว้ใต้เรือนร่างด้วยความรวดเร็วลู่
ยังโชคดีที่นางตื่นมาทัน ไม่เช่นนั้นนางคงจะถูกใส่ใจร้ายบิดเยือนความจริงแน่ลู่หันจ้องมองเหนียวหนิงด้วยสายตาอาฆาต “เหตุใดถึงตามหาเรื่องข้าไม่ยอมปล่อยไปสักที” อีกใจหนึ่งนางก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายซ้ำยังไม่ได้อยากมีเรื่องกับผู้อื่นตลอดทั้งวัน ก่อนที่สายตา จะปรายไปมองบุรุษข้างกาย “เพราะท่าน! หลีหลงเว่ย!”จู่ ๆ ผู้กระทำผิดก็พลันกลายเป็นเขาเสียแล้วหลีหลงเว่ยขมวดคิ้วมุ่นแต่ใบหน้ากับมีรอยยิ้มจาง ๆ“นอกจากข้าแล้วเจ้ายังทุบตีผู้อื่นจนหัวแตกอีกหรือ” เขาย้อนถามพวกเหล่าบ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นจึงยกมือทาบอกอีกครั้ง เกรงว่าเหนียวหนิงนางคงจะประหม่าสตรีผู้นี้เกินไปแล้วเหนียวหนิงเลิกคิ้ว “เจ้าร้ายกาจจนถึงขั้นทำร้ายหลีหลงเว่ยเชียวหรือ!”ลู่อันก้าวเดินมาตรงหน้า “แม้แต่หลีหลงเว่ยยังต้องยอมข้าแล้วข้ายังมีอันใดต้องหวาดกลัวเจ้าหรือเหนียวหนิง” สายตาของนางกำลังไล่มองสตรีตรงหน้าด้วยความเหยียดหยาม “ไม่ว่าจะ ส่วนใด..ย่อมไม่อาจเทียบเคืองข้าได้”หลีหลงเว่ยปล่อยให้ลู่อันจัดการเรียกนี้ด้วยตนเอง เขาอยากจะรู้นักว่านางจะทำเช่นไรปล่อยไปหรือสังหารทิ้ง?เหตุการณ์ในตอนนี้ใหญ่โตชุลมุ่นวุ่นวายไม่น้อยคนเกือบทั่วทั้งจวนหลี
ลู่อันปิดประตูลงก่อนจะเดินมานั่งที่เตียงท่าทางไม่ค่อยสบายใจนัก พลันนึกถึงคำพูดของเฟิ่งหมิงและฉีฮ่องเต้เมื่อหลายวันที่ผ่านมา อำนาจจวนหลีอยู่ในมือนางแล้วแม้แต่หลีหลงเว่ยยัง ไม่กล้ายุ่งจริงเท็จอย่างไรนางไม่อาจแน่ใจได้“เจ้าอยากมีบิดาหรือไม่” มือน้อย ๆ ยกขึ้นลูบท้องของตนเอง พักหลังมานี้นางพูดพร่ำคนเดียวเช่นนี้อยู่บ่อยครั้งไม่ว่าผู้ใดพบเห็นล้วนซุบซิบว่านางนั้นสตรีฟั่นเฟือนเพราะโดนตีหัวครานั้นหาได้รู้ความจริงว่าในยามนี้นางกำลังตั้ครรภ์ทายาทสกุลหลีนางพลันถอนหายใจเฮือกใหญ่อาหารมื้อเที่ยงที่กินเข้าไปมากมายยังไม่ทันย่อยแต่กลับรู้สึกหิวอีกแล้ว ซ้ำยังมีความรู้สึกเหนื่อยล้าง่วงงุนแทบปรือตาไม่ขึ้น“เช่นนั้นพวกเรานอนกันเถอะ!”นางยกมือปิดปากพลางห้าว “เอาไว้ค่อยคิดถึงวันข้างหน้า ยามนี้มารดาต้องจะนอนแล้ว”หากฝืนไปก็รั้งแต่จะเหนื่อยล้าซ้ำยังคิดอันใดไม่ออก มิสู้นางนอนเอาพักผ่อนให้เต็มที่ยามตื่นมาค่อยว่ากันไม่ดีกว่าหรือ อีกทั้งหากวันไหนนางไม่ได้งีบนั้นพลันรู้สึกได้ว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรงไม่ว่าขยับทำอย่างไรก็เกียจคร้านไปหมดทุกส่วน“ว่าให้ง่ายเช่นนี้ตลอดไป”นางยังพึมพำไม่หยุดอดคิดไม่ได้ส่าหากบุตรออกมาไม
หลีหลงเว่ยไม่ปริปากพูดอันใด สายตากำลังจ้องมองบุรุษตรงหน้านิ่ง ๆ และไม่ได้ลุกลี้ลุกลนแสดงอาการใด ๆ ให้จับผิดได้ทว่าองครักษ์ข้างกายกับมีสีหน้าตื่นตะหนกมีสีหน้าซีดเซียว“ช่วยได้หรือไม่” เป็นลู่อันที่เอ่ยขึ้นจะจงใจหรือพลาดพลั้งก็ช่างเถอะ ยามนี้ต้องช่วยเหลือรักษาชีวิตไว้ให้ปลอดภัยซะก่อนเฟิ่งหมิงพยักหน้าภายหลังสำรวจดูบาดแผลแล้วกลับไม่ได้ลึกอย่างที่คาดคิดไว้แต่กับโดนจุดสำคัญที่ขั้นเลือดไหลไม่หยุดเช่นนี้ เฟิ่งหมิงจัดการบดยาสมุนไพรประคบบาดแผลให้หยุดเลือดไว้ก่อนจะนำผ้าสีขาวมาคาดพันไว้หลายรอบจนกว่าจะรู้สึกแน่น“โชคดีที่บาดแผลไม่เข้มลึกหากแต่โดนจุดสำคัญ” เฟิ่งหมิงพูดโดยไม่ได้หันขึ้นไปมอง “เกรงว่าพวกที่แทงท่านแม่ทัพคงโง่งมเป็นพวกลูกเต่าในกระดอง”ถ้อยคำด่าทอเจ็บแสบเท่าเอาจินหัวกัดฟันกรอด กำมือแน่น “เหอะ! ท่านหมอช่างคาดการณ์ได้แม่นยำ”จินหัวเอ่ยขึ้นความผิดพลาดนี้ไม่ค่อยดีนัก หากร้ายแรงอาจจะถึงแก่ชีวิตของผู้เป็นนาย ในตอนนี้จินหัวได้แต่สำนึกผิดในใจ“หากไม่ตาบอดคงมองออกว่านี้เป็นการจงใจให้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” เฟิ่งหมิงเงยหน้าขึ้นสบตาจินหัวด้วยสายที่ยากจะคาดเดาได้ ไม่ย่อมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไ












Comments