หยางฉิงใช้แผ่นแปะแผลที่เป็นสิ่งที่ใช้แทนการเย็บแผล นางแปะแผลที่เปิดอ้าทั้งสองด้านให้ติดเข้าหากัน และก็แปะผ้าก๊อซ ตามด้วยผ้าสะอาดพันรอบบาดแผลของเขาเอาไว้อีกรอบ นางป้อนยาแก้ปวดและยาฆ่าเชื้อให้เขากิน พร้อมใช้น้ำเย็นเช็ดตัวหลี่เซิงจนตัวของเขาเย็นลง
เมื่อนางสังเกตว่าหน้าตาของเขาไม่มีความเจ็บปวดแล้ว นางก็เก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่ได้ทำไว้ เอาไปทิ้งไว้ที่คอนโด นางหยิบเอาเสื้อผ้าของเขาออกมา พร้อมทั้งเอาของเสียของเขาออกไปทิ้งที่ห้องส้วมด้านนอกทั้งล้างและตากไว้ให้แห้ง ‘ข้าต้องเอาน้ำยาฆ่าเชื้อมาไว้ในห้องส้วมบ้างแล้ว มันช่างเหม็นจริง ๆ ดีที่ห้องส้วมของข้าอยู่ไกลจากตัวบ้าน’ วันนี้เพิ่งวันที่สองเท่านั้น แค่ลืมตาตื่นนางก็ยุ่งวุ่นวายตั้งแต่เช้า ดีที่เอาหนองตรงขาของหลี่เซิงออกทัน ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องโดนตัดขาแล้ว นางนั่งพักเหนื่อยอยู่ตรงริมลำธารข้างบ้านและเอาเสื้อผ้าของหลี่เซิงที่นางซักไว้แล้วเอามาตากอีกที เมื่อมองทุกอย่างที่ทำอย่างเร่งรีบในตอนเช้า ตอนนี้ตะวันก็โผล่พ้นขึ้นมาจนพระอาทิตย์เต็มดวง นางยังต้องทำความสะอาดบ้าน งานใหญ่ที่รออยู่… หลี่เซิงรู้สึกตัวในช่วงบ่ายของวัน เขารู้สึกเจ็บตรงบริเวณบาดแผลตรงขา เป็นความเจ็บที่ไม่ได้ทรมานเหมือนเมื่อก่อน เขาลืมตามองไปที่บาดแผล เขามองเห็นผ้าที่ใช้พันแผล เป็นผ้าสีขาวผืนใหม่ ‘ใครเป็นคนทำแผลให้เขากัน เมื่อคืนเขายังทรมานจากพิษไข้อยู่เลย’ ตอนนี้เขารู้สึกสดชื่นมาก ภายในห้องนอนก็ยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้อีกด้วย เขามองไปรอบห้องนอนก็เห็นว่า ภายในห้องนอนได้รับการทำความสะอาดอย่างดี เสื้อผ้าที่เขาใส่ก็เป็นชุดใหม่ ‘ใครเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขากัน?’ “ท่านตื่นแล้วหรือ ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ยังปวดหัวอยู่หรือไม่” นางยกอาหารมาให้เขากิน วันนี้นางทำข้าวต้มหมูใส่ไข่ เขาต้องกินไข่เยอะ ๆ ไม่อย่างนั้นแผลของเขาก็จะหายช้า “เจ้าคือคนทำแผลและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าหรือ?” “ใช่แล้ว เมื่อเช้าท่านมีไข้ข้าจึงเช็ดตัวและทำแผลให้ท่านด้วยเลย เป็นอย่างไรท่านสบายตัวขึ้นหรือไม่ บาดแผลของท่านยังเจ็บอยู่ไหม?” นางมองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง “เจ้าทำแผลให้ข้าเป็นด้วยหรือ?” เขาถามนางด้วยความแปลกใจ นางทำเรื่องพวกนี้ไม่เป็นแน่ ทุกครั้งที่ทำแผลนางจะไปตามท่านหมอหลี่เทามาดูแลเขาแทน นางมองสายตาหลี่เซิง ก็รู้ว่าเขาต้องแปลกใจหลายสิ่งหลายอย่างไม่เป็นเหมือนเดิม “อ่อ เป็นท่านหมอหลี่เทาเป็นคนสอนข้าเอง เขาบอกว่าจะไม่มีเวลามาทำแผลให้ท่าน เขาเลยให้ข้าเรียนรู้เอาไว้” นางพูดพร้อมกับหันไปสนใจอาหารที่นางยกมาให้เขาแทน “เช่นนั้นหรือ?” หรือจะเป็นอย่างที่นางพูด ท่านหมอคงไม่มีเวลามาทำแผลให้เขาแล้วก็ได้ เขาหันไปมองอาหารที่อยู่ในมือของนางพร้อมกับท้องที่ร้องออกมาด้วยความหิว “ท่านคงจะหิวแล้วแน่ ข้าจึงทำอาหารแบบง่าย ๆ เอามาให้ท่าน ท่านคงคิดว่าทำไมข้าถึงเปลี่ยนไป ข้าคิดว่าอยากจะทำดีต่อท่านให้มาก เมื่อก่อนท่านก็ส่งเงินกลับมาให้ข้าอยู่บ่อยครั้ง ถ้าท่านไม่เชื่อข้าก็ไม่เป็นไร…” นางไม่ได้เร่งให้เขาเชื่อในสิ่งที่นางพูดในเร็วนี้หรอก หลี่เซิงยังไม่ได้ถามเรื่องที่เขาคิดกับนางเลย นางก็พูดออกมาก่อนแล้ว ทุกอย่างที่นางพูดมาก็เป็นเรื่องที่เขาแปลกใจทั้งนั้น หรือนางจะกลับตัวกลับใจแล้วจริง ๆ เขามองไปที่หน้าของนางก็ไม่เห็นหน้าขาวแก้มแดงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แถมชุดที่นางใส่ก็ไม่ใช่สีฉูดฉาด แต่เป็นสีธรรมดาที่เห็นได้ทั่วไป ทำให้เขาแปลกตาอยู่บ้าง… “ท่านกินข้าวเถอะ ส่วนนี้ยาน้ำ ข้าเอาเงินที่ข้ามีไปซื้อยากับท่านหมอหลี่เทามาแล้ว ท่านหมอให้ท่านกินยาหลังอาหาร แผลของท่านจะได้หายได้เร็ว ๆ ” นางวางอาหาร ยาที่นางเอามาผสมกับน้ำเพื่อให้ดูเหมือนยาน้ำในยุคนี้และเดินออกมานอกห้องทันที เพื่อไม่ให้เขาถามอะไรอีก หยางฉิงเดินออกมาข้างนอกก็ถอนหายใจไปหนึ่งครั้ง พร้อมกับมองพื้นที่สวนที่อยู่หลังบ้าน เป็นพื้นที่ขนาดสองไร่ มีต้นหญ้าและวัชพืชขึ้นอยู่เต็มไปหมด นางไม่รู้จะปลูกอะไรและไม่รู้ว่าจะปลูกพวกมันขึ้นหรือเปล่า ตั้งแต่จำความได้ เคยลองปลูกผักหลายชนิด แต่พวกมันก็ตายลงทั้งหมด ไม่รู้ว่ามันผิดพลาดตรงไหน หรือผิดพลาดที่นางก็ได้ ตอนที่นางคิดหาวิธีจัดการสวนอยู่หน้าบ้าน ก็มีคนเดินผ่านมาทางหน้าบ้านพอดี นางอยากเปลี่ยนรั้วบ้านใหม่เสียจริง รั้วบ้านที่มีสูงแค่ครึ่งเอว คนข้างนอกมองเข้ามาก็เห็นทั้งหมดแล้ว ไม่รู้สร้างไว้ป้องกันอะไรได้? เสียงที่ดังมาจากนอกรั้วบ้านพานให้หยางฉิงหันสายตาไปมอง “อุ้ย! หลี่เจิง ดูน้องสะใภ้ของเจ้าเสียสิ วันนี้หน้าของนางไม่ได้ขาวและแก้มแดงเหมือนเดิมแล้ว” นางชี้ให้เพื่อนของนางดู “เจ้าจะไปว่าน้องสะใภ้ของข้าได้อย่างไร ไม่ใช่ว่านางเพิ่งล้มมาหรือ นางอาจจะหัวกระแทกและกลับกลายเป็นฉลาดขึ้นก็ได้” ทั้งสองคนหันไปมองทางหยางฉิงพร้อมทั้งหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน หยางฉิงมองหญิงสาวสองคนมีใบหน้าคุ้นเคยอยู่ในความทรงจำ ทั้งสองคนชอบเข้ามาหาเรื่องเจ้าของร่างอยู่เป็นประจำ หยางฉิงคนเดิมเป็นคนปากเก่ง แต่นางก็ไม่เคยได้ลงมือกับใคร ทั้งสองคนที่อยู่ในความทรงจำ คนหนึ่งเป็นพี่สาวของหลี่เซิงชื่อหลี่เจิง อีกคนเป็นเพื่อนของหลี่เจิงชื่อหลี่หยิน ทั้งสองคนมีหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งตัวเตี้ยร่างอวบ ส่วนหลี่เจิงตัวสูงผอมแห้งผิวคล้ำ ทั้งสองคนจนอายุยี่สิบเอ็ดปี ก็ยังไม่ได้แต่งงานออกเรือน ถ้าไม่ได้แต่งงานก่อนอายุสิบหกปี ชาวบ้านจะมองว่าเกินวัยหาชายหนุ่มมาแต่งงานด้วยยากเสียแล้ว “แต่ง หรือไม่แต่งแล้วอย่างไร ถึงจะแต่งหน้าขาว ปากแดง ข้าก็ยังขายออก ไม่เหมือนใครบางคนจนปานนี้อายุล่วงเลยวัยปักปิ่นมานานแล้ว ก็ยังไม่ได้แต่งงานออกไป…” นางพูดพร้อมกับเหล่ตาไปทางทั้งสองคนและยกยิ้มให้เล็กน้อย “มันว่าเจ้านะหลี่เจิง! เจ้ายอมได้หรือ” หลี่หยินไม่ยอมรับว่าเธอขายไม่ออกด้วยเช่นกัน “มันว่าเราทั้งสองคนนั้นแหละ! ปากดีไปเถอะ ตอนนี้ไม่มีใครช่วยแกได้แล้ว ข้าจะตบสั่งสอนคนไร้ค่าอย่างแก ให้รู้เสียบ้างว่าอย่ามาปากดี หลี่หยินไปจับมันไว้! วันนี้ข้าจะตบมันให้เลือดออก” หญิงสาวทั้งสองคน พังประตูรั้วบ้านที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่นัก พากันเข้าไปรุมล้อมหยางฉิงเอาไว้ หลี่เจิงหันไปส่งสายตาให้หลี่หยินเข้ามาจับตัวของหยางฉิง หลี่หยินได้รับสัญญาณจากเพื่อนสาว นางก็รีบวิ่งเข้าไปล็อกแขนผอมแห้งของหยางฉิง พร้อมกับกดเล็บลงไปอย่างแรง หยางฉิงที่ถูกทั้งสองคนบุกเข้ามาทำร้ายอย่างไม่ทันตั้งตัว นางถูกหนึ่งในสองคนนั้นล็อกตัวเอาไว้ เล็บของนางกดไปที่แขนจนเป็นรอย นางไม่ปล่อยให้ทั้งสองคนได้ใจนานนัก นางใช้แรงที่มีสะบัดแขนทั้งสองข้างออกจากการจับกุม หยางฉิงกำหมัดในมือแน่น ต่อยไปที่ช่วงท้องตรงบริเวณลิ้นปี่ของทั้งสองคนได้อย่างแม่นยำคนละหนึ่งครั้ง จนทำให้หญิงสาวสองคนนั้นล้มลงไปด้วยอาการจุกแน่นช่วงท้อง หยางฉิงเป็นคนที่ไม่ได้ยอมให้ใครมาทำร้ายก่อนอยู่แล้ว ในโลกเก่า นางเคยเรียนศิลปะป้องกันตัวมาอยู่บ้าง แค่ผู้หญิงสองคนไม่สามารถทำให้นางหวาดกลัวได้หรอกแม่ทัพหันกลับไป ก่อนจะใช้มีดสั้นขว้างไปยังพุ่มไม้ที่คาดว่ามีมือสังหารซุ่มอยู่หลังจากที่เขาปราบชายชุดดำจนสิ้นชีพ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้น นางรีบปีนลงจากต้นไม้แล้ววิ่งตรงไปยังจุดที่หลี่เซิงตกลงไป แม่ทัพมองดูนางที่กำลังร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ พลางรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยชายหนุ่มเอาไว้ได้เขาเดินไปตรวจดูศพของชายชุดดำที่สังหารเมื่อครู่ เห็นรอยเลือดและร่างไร้วิญญาณที่นอนแน่นิ่ง ‘คนผู้นี้คงเป็นคนของฉินอ๋อง’ แม่ทัพกัดฟันแน่น เป็นความผิดของเขาเอง ที่ต้องให้คนอื่นมาปกป้องตน“หลี่เซิง! ท่านอย่าเป็นอะไรนะ ฮือ!” หยางฉิงคุกเข่าร้องไห้อยู่ริมหน้าผา น้ำตาของนางไหลไม่ขาดสาย‘ถ้าไม่มีเขา ข้าก็อยู่บนโลกนี้ไม่ได้…’ ในใจของนางเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด คำว่า ‘จากลา’ ผุดขึ้นมาในหัว นางอยากกระโจนตามเขาลงไปเสียด้วยซ้ำ…แม่ทัพเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ด้านหลังหญิงสาวที่ปกปิดใบหน้าไว้ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงรู้สึกผิด“ข้าขอโทษ ที่เป็นต้นเหตุให้คนรักของเจ้าต้องตาย”คำพูดของเขาทำให้หยางฉิงตัวสั่นด้วยความโกรธ นางเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาแดงก่ำ “ท่านอย่ามาพูดเช่นนั้น!” นางกัดฟันกรอด ไม่อาจทนฟังได้ “สามีของข้ายังไม่ตาย
ทั้งสองฟาดฟันกันอยู่ครู่หนึ่ง แต่เพราะหลี่เซิงได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว แรงที่ลงไปในดาบจึงไม่มั่นคง ทำให้การโจมตีพลาดเป้าไปหลายครั้ง พวกเขาผลัดกันรุกผลัดกันรับ สู้กันอย่างไม่มีใครยอมใครกระทั่งหลี่เซิงเห็นจังหวะเหมาะ เขาจึงฟันดาบไปที่ขาของนักฆ่าทันที!นักฆ่าหลบดาบไม่ทัน จึงถูกฟันเข้าจนเกิดบาดแผล แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือความแสบร้อนบริเวณที่ถูกดาบฟัน ราวกับถูกกัดกร่อนจากบางสิ่ง“เจ้า…ทำอะไรกับข้า!?” เขาก้มลงมองบาดแผลตรงขา ก่อนจะเห็นผงสีแดงติดอยู่หลี่เซิงมองแผลของนักฆ่าด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ พลางยิ้มมุมปาก “ไม่รู้สิ…” เขาตอบยั่วอีกฝ่ายอย่างจงใจ‘ต้องถ่วงเวลาอีกสักหน่อย…’นักฆ่าเห็นว่าหลี่เซิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ธรรมดา เขาจึงเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ก่อนจะใช้มืออีกข้างหยิบมีดเล็กที่พกติดตัวมา แล้วเหวี่ยงไปทางชายตรงหน้าอย่างรวดเร็ว!หลี่เซิงที่กำลังจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ ไม่ทันสังเกตว่ามีดเล็กพุ่งเข้ามา จึงหลบไม่ทันฉึก!มีดเล่มนั้นปักเข้าที่ขาของเขาทันที!‘มีดนี้มีพิษ!’หลี่เซิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขาข้างที่ถูกมีดปักเริ่มชาและไร้ความรู้สึก เขาจึงจำเป็นต้องใช้ขาอีกข้างพยุงตัวเองเอาไว้นักฆ่าห
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง พระจันทร์ก็เคลื่อนเลยปล่องไปกว่าครึ่งแล้ว‘ข้าต้องรีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!’หลังจากเก็บของสำคัญไว้กับตัวเรียบร้อยแล้ว หลี่เซิงก็แอบย่องออกจากห้อง เขาเห็นว่าบริเวณหน้าปากถ้ำ ทหารของฝ่ายตนเริ่มเข้าปะทะกับศัตรูด้านในแล้ว เขาใช้จังหวะที่ผู้คนกำลังสับสน หลบซ่อนตัวออกมาระหว่างทาง แม้เขาจะต้องปะทะกับทหารศัตรูอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ลงมือสังหารพวกเขา เพียงแค่จัดการให้ไม่สามารถสู้ต่อได้ ในที่สุด หลี่เซิงก็หลบออกมานอกถ้ำได้อย่างปลอดภัยแต่ทันทีที่เขาก้าวออกมา เขากลับสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังตามเขามา…“นายท่านขอรับ! มีผู้บุกรุกเข้าไปในถ้ำของเราแล้ว ไม่รู้ว่ามันเอาสิ่งใดออกไปบ้าง ทหารที่เฝ้าประตูถูกฆ่าตายทั้งหมด และตอนนี้คนของท่านแม่ทัพกำลังตรวจค้นและยึดสิ่งของที่เราซ่อนไว้”ชายผู้นั้นรายงานสิ่งที่พบเห็นให้ฉินอ๋องได้รับทราบฉินอ๋องยืนฟังรายงานจากนักฆ่าฝีมือดี พลางจ้องมองไปยังค่ายของตนด้วยสายตาดุดัน เขาสังเกตเห็นเงาคนผู้หนึ่งวิ่งหนีออกมาจากค่าย ดูแตกต่างจากคนอื่น ๆ เขาพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา“เจ้าตามไปจัดการคนผู้นั้น! มันต้องมีของของข้าแน่ ถ้าหาไม่พบ… ก็ฆ่ามันทิ้ง
ทางด้านหลี่เซิง เขาหาจุดหลบซ่อนและนำของบางส่วนที่พกมาเก็บไว้อย่างมิดชิด โดยเหลือไว้เพียงสร้อยคอที่สวมติดตัว กับยาที่หยางฉิงให้มา หลังจากนั้นเขาออกค้นหาถ้ำที่ถูกระบุไว้ในจดหมาย จนกระทั่งพบว่า ปากถ้ำมีทหารยามหลายสิบคนเฝ้าอยู่ เป็นเรื่องยากที่เขาจะบุกเข้าไปเพียงลำพัง จึงตัดสินใจรอจังหวะให้คนของท่านแม่ทัพเข้าปะทะกับพวกมันก่อน จากนั้นจึงใช้โอกาสนั้นแทรกตัวเข้าไป ไม่นานนัก เสียงการต่อสู้ก็ดังขึ้นจากด้านหลังของเขา เสียงดาบกระทบกันดังไปทั่วค่าย“มีคนบุกรุก!”เสียงตะโกนแจ้งเตือนดังขึ้นในค่าย ทำให้พวกมันรีบจุดไฟส่องสว่างและกรูกันออกไปเผชิญหน้ากับศัตรู“พวกเจ้าคอยเฝ้าปากถ้ำ ข้าจะไปช่วยพวกที่อยู่ด้านนอก!”ชายที่ดูเหมือนหัวหน้าสั่งการเสร็จ ก็พาคนออกไปครึ่งหนึ่งเพื่อช่วยต่อสู้ด้านนอกหลี่เซิงเห็นโอกาสดี สายตาเขาเจือความเหี้ยมโหด เขาประทับธนู แล้วยิงลูกศรพุ่งตรงไปยังหน้าอกด้านซ้ายของยามเฝ้าปากถ้ำ สังหารไปสองคนในพริบตาเมื่อพวกยามเห็นพวกพ้องล้มลง หนึ่งในนั้นกำลังจะส่งเสียงเตือน หลี่เซิงไม่รอช้า เขาพุ่งตัวเข้าหาพวกมันอย่างรวดเร็ว ชักมีดออกมาแล้วกรีดผ่านลำคอของทั้งสามคนอย่างแม่นยำ ก่อนที่พวกมันจะได้ทัน
“ข้าเตรียมอาหารและเงินเล็กน้อยไว้ให้ท่านใช้ในยามจำเป็น นอกจากนี้ อย่าลืมพกยาที่ข้าให้ไปด้วย หากท่านรู้สึกเหนื่อย น้ำในกระบอกนี้เพียงจิบเล็กน้อยก็สามารถช่วยฟื้นฟูกำลังของท่านได้ และนี่คือสร้อยนำโชคที่ข้าทำขึ้นเพื่อท่าน อย่าลืมใส่ติดตัวตลอดเวลา อย่าปล่อยให้ตนเองต้องเผชิญอันตรายลำพัง ท่านอย่าลืมว่าข้ายังรอท่านอยู่ที่บ้าน” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่แฝงด้วยความเป็นห่วงหลี่เซิงรับสร้อยคอจากนาง มันมีลักษณะแปลกตา เป็นลูกกลม ๆ สีแดงที่ด้านในหมุนไปมาอย่างลึกลับ เขานำมันสวมไว้ที่คอ ก่อนพยักหน้ารับคำ “ข้ารู้แล้ว ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย”กล่าวอำลาหยางฉิงเสร็จแล้ว หลี่เซิงจึงก้าวออกจากบ้านไป...ขณะมองตามแผ่นหลังของหลี่เซิงที่ค่อย ๆ ไกลออกไป หยางฉิงก็ปิดบ้านให้เรียบร้อย นางเตรียมตัวเดินทางเช่นกัน ภายในมิติของนางมีสิ่งของจำเป็นพร้อมสรรพ นางแต่งกายด้วยชุดสีดำ ข้างในเป็นกางเกง ส่วนด้านนอกเป็นกระโปรงที่ช่วยให้เคลื่อนไหวสะดวก เสื้อแขนยาวสีดำเชื่อมต่อกับกระโปรง ทำให้นางคล่องตัวขณะเดินป่า และที่คอของนาง... มีเข็มทิศติดตามอยู่หนึ่งอัน...หยางฉิงรอจนกระทั่งหลี่เซิงเดินลับสายตา ก่อนค่อย ๆ ก้าวตามไปอย่างร
หยางฉิงสังเกตเห็นความผิดปกติของหลี่เซิง จึงเอ่ยถามขึ้น “ท่านเป็นอะไรหรือไม่ เหตุใดจึงดูเศร้าเช่นนี้” นางจ้องเขาด้วยความไม่เข้าใจ“เอาไว้กินข้าวเสร็จก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า” เขาพูดพลางกินข้าวต่อจนหมด วันนี้เขากินน้อยกว่าทุกวันเมื่อได้ฟังคำพูดของหลี่เซิง หยางฉิงก็รู้สึกใจคอไม่ดี นางกินข้าวไปพลางคิดไปว่าหลี่เซิงต้องการจะบอกอะไรกับนางกันแน่หลังจากนางกินเสร็จ หลี่เซิงจึงเอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้เราไม่ได้เข้าเมืองไปขายของใช่หรือไม่”“ใช่แล้ว พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของเรา” นางตอบพร้อมจิบน้ำ “ท่านมีเรื่องอะไรจะบอกข้าหรือไม่” นางถามสิ่งที่ติดค้างในใจ“ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกเจ้า พรุ่งนี้ข้าอาจต้องออกไปทำเรื่องบางอย่าง เจ้าอยู่คนเดียวต้องปิดบ้านให้ดี หากข้าไม่ได้กลับมาหลายวัน เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าอาจต้องใช้เวลานานเสียหน่อย” เขาตัดสินใจบอกนางถึงเรื่องที่ต้องขึ้นเขาหยางฉิงที่ได้ฟังทำหน้าตกใจ “ท่านไปทำสิ่งใด บอกข้าได้หรือไม่ แล้วมันอันตรายหรือเปล่า” นางรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลยหลี่เซิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะมองหน้านางด้วยสายตาลึกซึ้ง ราวกับต้องการจดจำภาพของนางให้ได้นานที่สุด “ทั้งอันตรายและไม่อันตราย ถ