หยางฉิงใช้แผ่นแปะแผลที่เป็นสิ่งที่ใช้แทนการเย็บแผล นางแปะแผลที่เปิดอ้าทั้งสองด้านให้ติดเข้าหากัน และก็แปะผ้าก๊อซ ตามด้วยผ้าสะอาดพันรอบบาดแผลของเขาเอาไว้อีกรอบ นางป้อนยาแก้ปวดและยาฆ่าเชื้อให้เขากิน พร้อมใช้น้ำเย็นเช็ดตัวหลี่เซิงจนตัวของเขาเย็นลง
เมื่อนางสังเกตว่าหน้าตาของเขาไม่มีความเจ็บปวดแล้ว นางก็เก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่ได้ทำไว้ เอาไปทิ้งไว้ที่คอนโด นางหยิบเอาเสื้อผ้าของเขาออกมา พร้อมทั้งเอาของเสียของเขาออกไปทิ้งที่ห้องส้วมด้านนอกทั้งล้างและตากไว้ให้แห้ง ‘ข้าต้องเอาน้ำยาฆ่าเชื้อมาไว้ในห้องส้วมบ้างแล้ว มันช่างเหม็นจริง ๆ ดีที่ห้องส้วมของข้าอยู่ไกลจากตัวบ้าน’ วันนี้เพิ่งวันที่สองเท่านั้น แค่ลืมตาตื่นนางก็ยุ่งวุ่นวายตั้งแต่เช้า ดีที่เอาหนองตรงขาของหลี่เซิงออกทัน ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องโดนตัดขาแล้ว นางนั่งพักเหนื่อยอยู่ตรงริมลำธารข้างบ้านและเอาเสื้อผ้าของหลี่เซิงที่นางซักไว้แล้วเอามาตากอีกที เมื่อมองทุกอย่างที่ทำอย่างเร่งรีบในตอนเช้า ตอนนี้ตะวันก็โผล่พ้นขึ้นมาจนพระอาทิตย์เต็มดวง นางยังต้องทำความสะอาดบ้าน งานใหญ่ที่รออยู่… หลี่เซิงรู้สึกตัวในช่วงบ่ายของวัน เขารู้สึกเจ็บตรงบริเวณบาดแผลตรงขา เป็นความเจ็บที่ไม่ได้ทรมานเหมือนเมื่อก่อน เขาลืมตามองไปที่บาดแผล เขามองเห็นผ้าที่ใช้พันแผล เป็นผ้าสีขาวผืนใหม่ ‘ใครเป็นคนทำแผลให้เขากัน เมื่อคืนเขายังทรมานจากพิษไข้อยู่เลย’ ตอนนี้เขารู้สึกสดชื่นมาก ภายในห้องนอนก็ยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้อีกด้วย เขามองไปรอบห้องนอนก็เห็นว่า ภายในห้องนอนได้รับการทำความสะอาดอย่างดี เสื้อผ้าที่เขาใส่ก็เป็นชุดใหม่ ‘ใครเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขากัน?’ “ท่านตื่นแล้วหรือ ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ยังปวดหัวอยู่หรือไม่” นางยกอาหารมาให้เขากิน วันนี้นางทำข้าวต้มหมูใส่ไข่ เขาต้องกินไข่เยอะ ๆ ไม่อย่างนั้นแผลของเขาก็จะหายช้า “เจ้าคือคนทำแผลและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าหรือ?” “ใช่แล้ว เมื่อเช้าท่านมีไข้ข้าจึงเช็ดตัวและทำแผลให้ท่านด้วยเลย เป็นอย่างไรท่านสบายตัวขึ้นหรือไม่ บาดแผลของท่านยังเจ็บอยู่ไหม?” นางมองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง “เจ้าทำแผลให้ข้าเป็นด้วยหรือ?” เขาถามนางด้วยความแปลกใจ นางทำเรื่องพวกนี้ไม่เป็นแน่ ทุกครั้งที่ทำแผลนางจะไปตามท่านหมอหลี่เทามาดูแลเขาแทน นางมองสายตาหลี่เซิง ก็รู้ว่าเขาต้องแปลกใจหลายสิ่งหลายอย่างไม่เป็นเหมือนเดิม “อ่อ เป็นท่านหมอหลี่เทาเป็นคนสอนข้าเอง เขาบอกว่าจะไม่มีเวลามาทำแผลให้ท่าน เขาเลยให้ข้าเรียนรู้เอาไว้” นางพูดพร้อมกับหันไปสนใจอาหารที่นางยกมาให้เขาแทน “เช่นนั้นหรือ?” หรือจะเป็นอย่างที่นางพูด ท่านหมอคงไม่มีเวลามาทำแผลให้เขาแล้วก็ได้ เขาหันไปมองอาหารที่อยู่ในมือของนางพร้อมกับท้องที่ร้องออกมาด้วยความหิว “ท่านคงจะหิวแล้วแน่ ข้าจึงทำอาหารแบบง่าย ๆ เอามาให้ท่าน ท่านคงคิดว่าทำไมข้าถึงเปลี่ยนไป ข้าคิดว่าอยากจะทำดีต่อท่านให้มาก เมื่อก่อนท่านก็ส่งเงินกลับมาให้ข้าอยู่บ่อยครั้ง ถ้าท่านไม่เชื่อข้าก็ไม่เป็นไร…” นางไม่ได้เร่งให้เขาเชื่อในสิ่งที่นางพูดในเร็วนี้หรอก หลี่เซิงยังไม่ได้ถามเรื่องที่เขาคิดกับนางเลย นางก็พูดออกมาก่อนแล้ว ทุกอย่างที่นางพูดมาก็เป็นเรื่องที่เขาแปลกใจทั้งนั้น หรือนางจะกลับตัวกลับใจแล้วจริง ๆ เขามองไปที่หน้าของนางก็ไม่เห็นหน้าขาวแก้มแดงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แถมชุดที่นางใส่ก็ไม่ใช่สีฉูดฉาด แต่เป็นสีธรรมดาที่เห็นได้ทั่วไป ทำให้เขาแปลกตาอยู่บ้าง… “ท่านกินข้าวเถอะ ส่วนนี้ยาน้ำ ข้าเอาเงินที่ข้ามีไปซื้อยากับท่านหมอหลี่เทามาแล้ว ท่านหมอให้ท่านกินยาหลังอาหาร แผลของท่านจะได้หายได้เร็ว ๆ ” นางวางอาหาร ยาที่นางเอามาผสมกับน้ำเพื่อให้ดูเหมือนยาน้ำในยุคนี้และเดินออกมานอกห้องทันที เพื่อไม่ให้เขาถามอะไรอีก หยางฉิงเดินออกมาข้างนอกก็ถอนหายใจไปหนึ่งครั้ง พร้อมกับมองพื้นที่สวนที่อยู่หลังบ้าน เป็นพื้นที่ขนาดสองไร่ มีต้นหญ้าและวัชพืชขึ้นอยู่เต็มไปหมด นางไม่รู้จะปลูกอะไรและไม่รู้ว่าจะปลูกพวกมันขึ้นหรือเปล่า ตั้งแต่จำความได้ เคยลองปลูกผักหลายชนิด แต่พวกมันก็ตายลงทั้งหมด ไม่รู้ว่ามันผิดพลาดตรงไหน หรือผิดพลาดที่นางก็ได้ ตอนที่นางคิดหาวิธีจัดการสวนอยู่หน้าบ้าน ก็มีคนเดินผ่านมาทางหน้าบ้านพอดี นางอยากเปลี่ยนรั้วบ้านใหม่เสียจริง รั้วบ้านที่มีสูงแค่ครึ่งเอว คนข้างนอกมองเข้ามาก็เห็นทั้งหมดแล้ว ไม่รู้สร้างไว้ป้องกันอะไรได้? เสียงที่ดังมาจากนอกรั้วบ้านพานให้หยางฉิงหันสายตาไปมอง “อุ้ย! หลี่เจิง ดูน้องสะใภ้ของเจ้าเสียสิ วันนี้หน้าของนางไม่ได้ขาวและแก้มแดงเหมือนเดิมแล้ว” นางชี้ให้เพื่อนของนางดู “เจ้าจะไปว่าน้องสะใภ้ของข้าได้อย่างไร ไม่ใช่ว่านางเพิ่งล้มมาหรือ นางอาจจะหัวกระแทกและกลับกลายเป็นฉลาดขึ้นก็ได้” ทั้งสองคนหันไปมองทางหยางฉิงพร้อมทั้งหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน หยางฉิงมองหญิงสาวสองคนมีใบหน้าคุ้นเคยอยู่ในความทรงจำ ทั้งสองคนชอบเข้ามาหาเรื่องเจ้าของร่างอยู่เป็นประจำ หยางฉิงคนเดิมเป็นคนปากเก่ง แต่นางก็ไม่เคยได้ลงมือกับใคร ทั้งสองคนที่อยู่ในความทรงจำ คนหนึ่งเป็นพี่สาวของหลี่เซิงชื่อหลี่เจิง อีกคนเป็นเพื่อนของหลี่เจิงชื่อหลี่หยิน ทั้งสองคนมีหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งตัวเตี้ยร่างอวบ ส่วนหลี่เจิงตัวสูงผอมแห้งผิวคล้ำ ทั้งสองคนจนอายุยี่สิบเอ็ดปี ก็ยังไม่ได้แต่งงานออกเรือน ถ้าไม่ได้แต่งงานก่อนอายุสิบหกปี ชาวบ้านจะมองว่าเกินวัยหาชายหนุ่มมาแต่งงานด้วยยากเสียแล้ว “แต่ง หรือไม่แต่งแล้วอย่างไร ถึงจะแต่งหน้าขาว ปากแดง ข้าก็ยังขายออก ไม่เหมือนใครบางคนจนปานนี้อายุล่วงเลยวัยปักปิ่นมานานแล้ว ก็ยังไม่ได้แต่งงานออกไป…” นางพูดพร้อมกับเหล่ตาไปทางทั้งสองคนและยกยิ้มให้เล็กน้อย “มันว่าเจ้านะหลี่เจิง! เจ้ายอมได้หรือ” หลี่หยินไม่ยอมรับว่าเธอขายไม่ออกด้วยเช่นกัน “มันว่าเราทั้งสองคนนั้นแหละ! ปากดีไปเถอะ ตอนนี้ไม่มีใครช่วยแกได้แล้ว ข้าจะตบสั่งสอนคนไร้ค่าอย่างแก ให้รู้เสียบ้างว่าอย่ามาปากดี หลี่หยินไปจับมันไว้! วันนี้ข้าจะตบมันให้เลือดออก” หญิงสาวทั้งสองคน พังประตูรั้วบ้านที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่นัก พากันเข้าไปรุมล้อมหยางฉิงเอาไว้ หลี่เจิงหันไปส่งสายตาให้หลี่หยินเข้ามาจับตัวของหยางฉิง หลี่หยินได้รับสัญญาณจากเพื่อนสาว นางก็รีบวิ่งเข้าไปล็อกแขนผอมแห้งของหยางฉิง พร้อมกับกดเล็บลงไปอย่างแรง หยางฉิงที่ถูกทั้งสองคนบุกเข้ามาทำร้ายอย่างไม่ทันตั้งตัว นางถูกหนึ่งในสองคนนั้นล็อกตัวเอาไว้ เล็บของนางกดไปที่แขนจนเป็นรอย นางไม่ปล่อยให้ทั้งสองคนได้ใจนานนัก นางใช้แรงที่มีสะบัดแขนทั้งสองข้างออกจากการจับกุม หยางฉิงกำหมัดในมือแน่น ต่อยไปที่ช่วงท้องตรงบริเวณลิ้นปี่ของทั้งสองคนได้อย่างแม่นยำคนละหนึ่งครั้ง จนทำให้หญิงสาวสองคนนั้นล้มลงไปด้วยอาการจุกแน่นช่วงท้อง หยางฉิงเป็นคนที่ไม่ได้ยอมให้ใครมาทำร้ายก่อนอยู่แล้ว ในโลกเก่า นางเคยเรียนศิลปะป้องกันตัวมาอยู่บ้าง แค่ผู้หญิงสองคนไม่สามารถทำให้นางหวาดกลัวได้หรอกเมื่อพูดจบ นางก็เหลือบมองสีหน้าของทั้งสองคนอ๋องสามที่รู้ว่ายาร้าน เทียนเจินถัง เป็นของดีจริง ๆ เคยกลับไปเพื่อซื้อยาเพิ่ม แต่กลับได้รับข่าวว่ายาทั้งหมดถูกขายหมดไปแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งนัก เมื่อรู้ว่าอาจารย์ของนางจะส่งยาชนิดใหม่มา เขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้เช่นกัน“ถ้าอาจารย์ของเจ้านำยาเข้ามาขายอีก เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าได้หรือไม่?” เขาถามเสียงเรียบหวังจวิ้นเจี้ยงที่ถูกท่านอ๋องตัดบทไปก็รีบพูดขึ้นทันที “ถ้าเช่นนั้น เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าด้วย ข้าเองก็อยากรู้ว่ายาตัวใหม่ของอาจารย์เจ้าจะเป็นยาแบบใดกันแน่”หยางฉิงเห็นความวุ่นวายตรงหน้าแล้วอดยิ้มไม่ได้ “ท่านทั้งสองวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าจะให้คนเข้าไปแจ้งทั้งสองท่านอย่างแน่นอน”เมื่อพูดจบ นางก็แย้มยิ้มออกมา อาจารย์ที่ว่านั้นก็คือตัวนางเอง หากมีเวลาว่างเมื่อใด นางก็จะคิดค้นและปรุงยาขึ้นในเวลานั้น ร้านของนางไม่ได้เป็นร้านขายยาโดยตรง เพียงแต่นำยามาขายเสริม แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ร้านของนางเป็นที่อิจฉาของร้านยาดัง ๆ หลายแห่งแล้ว อย่างไรก็ตาม นางยังโชคดีที่มีคนคอยคุ้มกันอย่างดี พวกนั้นจึงไม่กล้าก่อเรื่องกับครอบครัวของนางโดยตรงเมื่อทั้งสองได้รับคำมั
หลี่เซิงมองนาง แววตาของนางส่องประกายยามพูดถึงเรื่องนี้ เขาจดจำความต้องการของนางไว้ในใจ “เอาไว้เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราไปเที่ยวกันดีหรือไม่? เจ้าชอบทะเลหรือ? ข้าเองก็ไม่เคยไปเช่นกัน เอาไว้ข้าจะหาข้อมูล แล้วพาเจ้าไปในอนาคตแน่นอน “เขาพูดเสียงอ่อนโยนหยางฉิงดันตัวออกจากอ้อมกอด มองหน้าเขาด้วยความตื่นเต้น “ท่านพูดจริงหรือ? ท่านต้องสัญญากับข้านะ ว่าท่านจะพาข้าไปเที่ยวทะเลสักครั้ง” นางพูดพร้อมชูนิ้วก้อยขึ้นมาหลี่เซิงมองนิ้วก้อยของนางด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าชูนิ้วขึ้นมาทำไม?”“ก็สัญญาไง! ในโลกเดิมของข้า ถ้าจะสัญญาต้องเกี่ยวก้อยกัน” นางพูดก่อนจะจับมือหนาขึ้นมาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของตนหลี่เซิงมองการกระทำของนางด้วยสายตาเอ็นดู เขาขยับนิ้วก้อยเบา ๆ “ข้าสัญญา ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยว” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มเมื่อได้ยินคำสัญญานั้น หยางฉิงก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ความรู้สึกไม่ดีที่มีอยู่ก่อนหน้าค่อย ๆ จางหายไป อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้พูดคุยกันบ่อยนัก จึงทำให้นางคิดมากอยู่บ้าง...หนึ่งเดือนต่อมา หยางฉิงได้ยินข่าวว่าพรานหย่งชุนแต่งงานกับหลี่หยิน ด้วยค่าสินสอดหนึ่งตำลึงทอง ถือว่าเขาใจป้ำไม่น้อยถึงขนาดให้สินสอดขนาดนี้ เมื่อ
หยางฉิงสังเกตสายตาของพรานหย่งชุน นางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน“ท่านคงรู้แล้วว่าข้าให้ท่านมาพบเรื่องใด ตอนนี้ท่านคงได้คำตอบอยู่แล้ว ใช่หรือไม่?” นางถามเสียงเรียบ“เจ้าช่างฉลาดนัก...” หย่งชุนหัวเราะเบา ๆ “ใช่ ข้ารับข้อเสนอของเจ้า ไหน ๆ ข้าก็ยังไม่ได้แต่งงานอยู่แล้ว”แต่แล้วเขากลับมองหยางฉิงด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ก่อนกล่าวต่อ “แต่ข้าคงไม่มีเงินมากพอที่จะขอหญิงสาวสักคนได้หรอก...”เมื่อเห็นสายตาของพรานหย่งชุน หยางฉิงจึงยิ้มบางเบา “แน่นอน ในเมื่อข้าเสนอจะช่วยท่านแล้ว ข้าก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ถือว่าเป็นของขวัญจากข้าก็แล้วกัน แต่…เรื่องนี้ต้องเป็นความลับระหว่างเรา ข้าจะช่วยให้ท่านสมหวัง แต่เมื่อท่านแต่งงานไปแล้ว ให้ถือว่าเราไม่เคยรู้จักกัน”นางพูดเสียงเรียบพลางวางถุงเงินลงตรงหน้าเขา “ข้าช่วยท่านแล้ว ท่านก็ต้องทำหน้าที่ของท่านให้สำเร็จลุล่วง”พรานหย่งชุนรีบคว้าถุงเงินขึ้นมานับ เมื่อเห็นตำลึงทองห้าตำลึง เขาก็ตาโตด้วยความยินดี“ข้าจะทำงานนี้ให้สำเร็จ!” เขากล่าวอย่างตื่นเต้น“เงินที่ข้าให้ ท่านจงนำไปสร้างบ้านหลังใหม่ และเตรียมของแต่งงานให้พร้อม ท่านก็น่าจะรู้ว่ามารดาของหลี่หยินชอบคนมีเ
หลี่ชวนฟังคำพูดของหลี่เซิงแล้วยิ่งไม่เข้าใจ ‘กาดำตัวไหนอยากเปลี่ยนเป็นหงส์กัน? นั่นมันฝันไกลเกินไปหรือไม่…’ คิดไปก็ปวดหัว หลี่ชวนจึงเลิกใส่ใจ ก่อนเดินตามหลี่เซิงเข้าไปเพื่อทำหน้าที่ของตน...ขณะเดียวกัน เหตุการณ์หน้าประตูโรงทำน้ำพริก ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของอู๋เจิง นางกำลังถืออาหารมาให้สามีเหมือนเช่นเคย แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า นางจึงแอบหยุดฟังอยู่ห่าง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เซิง อู๋เจิงถึงกับยิ้มออกมาอย่างพอใจ’ หยางฉิงช่างมองคนได้เฉียบแหลมจริง ๆ’ นางคิดในใจดีที่วันนี้แม่สามีไม่ได้มาที่นี่ ไม่เช่นนั้น เรื่องคงไม่จบเพียงเท่านี้แน่...หลังจากรอจนหลี่หยินเดินลับสายตาไป อู๋เจิงจึงออกมาจากที่ซ่อน และนำอาหารไปให้สามีเช่นทุกวันระหว่างรับประทานอาหาร หลี่ชวนเล่าเรื่องของหลี่เซิงให้นางฟังอู๋เจิงยิ้มออกมา บางทีเรื่องนี้นางควรบอกให้หยางฉิงรู้ แต่ที่แน่ ๆ นางชอบคำพูดของหลี่เซิงเสียจริง‘กาดำอยากเป็นหงส์’ไม่มีทางที่กาดำจะกลายเป็นหงส์ได้ ยิ่งหากกาดำตนนั้นมีจิตใจที่ดำมืดอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่มีวัน...หลี่ชวนมองรอยยิ้มของภรรยา แล้วอดไม่ได้ที่จะนึกบางอย่างขึ้นมา ตั้งแต่นางไปทำงานกับหยางฉิงบ่อยครั้ง เขารู
“ข้าขอบคุณท่านมากที่นำเรื่องนี้มาบอกกับข้า แต่ข้ามั่นใจว่าหลี่เซิงไม่มีทางทำเรื่องไม่ดีกับข้าแน่นอน ท่านสบายใจได้” นางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเมื่ออู๋เจิงได้ฟังเช่นนั้น นางก็พิจารณาใบหน้าของหยางฉิง ถึงแม้นางจะไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางใด ๆ บนใบหน้า แต่ก็ยังดูงดงามสะกดตา ยิ่งเมื่อนึกเปรียบเทียบกับหลี่หยินแล้ว ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าทั้งสองแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลจริง ๆ“เจ้าพูดถูก” อู๋เจิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัวกลับบ้านก่อน จะได้ไม่รบกวนเจ้า”นางกล่าวลาหยางฉิงก่อนเดินกลับบ้านไปด้วยความสบายใจอีกด้านหนึ่ง ในขณะที่หญิงสาวทั้งสองกำลังพูดคุยกันด้วยความกังวล หลี่เซิงกลับไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น เพราะตอนนี้เขากำลังยุ่งกับการดูแลเด็กน้อยทั้งสอง จนแทบไม่ได้หลับได้นอนเขาให้แม่นมคอยสอนวิธีเลี้ยงเด็กเล็ก แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากและเหนื่อยมากกว่าที่คิด การมีลูกไม่ใช่เรื่องสบายเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เรียนรู้มันไปด้วยความเต็มใจโดยเฉพาะเมื่อเด็กน้อยทั้งสองแย้มยิ้มให้เขา ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันก็เหมือนจะมลายหายไปในพริบตา...หลี่เซิงอุ้มลูกน้อยเข
หลี่เซิงรับของจากผู้ใหญ่บ้านด้วยความเกรงใจ “ท่านมาเยี่ยมข้า ข้าก็ดีใจมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องลำบากนำของพวกนี้มาเลย”หลี่จงยิ้มพลางตอบกลับ “ข้ามาเยี่ยมหลานทั้งที จะให้มามือเปล่าได้อย่างไร”หลี่อี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้นจึงพูดแทรกขึ้นมา “ของข้าก็มีเหมือนกัน”หลี่เซิงหันไปมองหลี่อี้ ชายหนุ่มที่บัดนี้ดูดีกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รับสินค้าจากบ้านหลี่เซิงไปขายตามหัวเมืองต่าง ๆ เช่นกันหลี่เซิงรับของมาจากหลี่อี้ก่อนเอ่ยล้อเลียน “ขอบใจเจ้ามาก เอาไว้เจ้ามีลูกเมื่อไหร่ ข้าจะไปแสดงความยินดีแน่”หลี่อี้รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เพราะเขาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน “ได้ข่าวว่าร้านของเจ้าจำหน่ายยาช่วยให้มีบุตร เอาไว้ถ้าปีนี้ข้ายังไม่มีลูก ข้าคงต้องไปซื้อยาให้ภรรยาเสียแล้ว” เขาพูดพลางเหลือบมองสีหน้ามารดาตัวเอง ซึ่งดูจะไม่พอใจที่ภรรยาของเขายังไม่มีลูกหลี่เซิงมองสีหน้าของหลี่อี้อย่างเห็นใจ ก่อนเอ่ยอย่างใจกว้าง “หากไม่มีจริง ๆ ข้าจะมอบยาให้เจ้าโดยไม่คิดเงิน ดีหรือไม่?” เขาพูดพลางยักคิ้วให้หลี่อี้หานหยุนที่นั่งฟังอยู่ สีหน้าดูดีขึ้นมาทันที ใคร ๆ ก็รู้ว่ายาของร้าน เทียนเจินถัง มีชื่อเสียงโด