ทั้งสองคนล้มลงไปนอนบนพื้นดินจนฝุ่นฟุ้งกระจายตามน้ำหนักตัว
“หลี่เจิงมันเอาแรงมาจากไหนมากมายนัก!” หลี่หยินหันไปพูดกับหลี่เจิงพร้อมกุมท้องที่เริ่มดีขึ้น “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร แต่เรื่องนี้มันยังไม่จบแค่นี้หรอก” หลี่เจิงใช้แรงที่เหลือลุกขึ้น ใบหน้าของนางดูน่ากลัว ตาที่ลุกวาวพร้อมกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ ‘ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครตีข้าเลยเสียครั้งเดียว’ แล้วมันเป็นใครถึงได้กล้ามาตีคนอย่างนาง “หน่อย!... เจ้ากล้าตีข้าหรือ คอยดูข้าจะให้ท่านแม่มาจัดการกับเจ้า!” หลี่เจิงชี้หน้าด่าหยางฉิงด้วยถ้อยคำหยาบคาย พร้อมกับมือแห้งกร้านฟาดไปบนใบหน้าหยางฉิงเต็มแรง ใบหน้าหยางฉิงหันไปตามแรงตบ บนใบหน้าซีกซ้ายเป็นรอยมือสีแดงเด่นชัด… หยางฉินมองเห็นมือหลี่เจิงกำลังตีลงมาบนใบหน้า หยางฉิงสามารถหลบฝ่ามือของนางได้ แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น นางยืนรอรับฝ่ามือของหลี่เจิงที่ฟาดลงมา อย่างเต็มใจ หยางฉิงรู้สึกเค็มและได้กลิ่นคาวเลือดมาจากข้างในปาก นางยิ้มพอใจเล็กน้อย พร้อมกับร้องตะโกนเรียกชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงให้ได้ยินกันทั่ว มือที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ก็ต่อยตีไปตรงซี่โครงของทั้งสองคนซ้ำ ๆ จนทั้งสองคนล้มไปกองอยู่บนพื้นดินหน้าบ้าน เสียงการตบตีและเสียงกรีดร้องของทั้งสามคนนั้น ดังไปทั่วบริเวณโดยรอบ บนพื้นดินมีฝุ่นฟุ้งกระจายตามร่างหญิงสาวทั้งสามคนเกลือกกลิ้งกันไปมา ผมของทั้งสามคนต่างชีฟูไม่เป็นทรง เสื้อผ้าของพวกนางเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน “ช่วยด้วย! มีคนบุกเข้ามาในบ้านของข้า! ใครก็ได้ช่วยที! ” หยางฉิงร้องตะโกนให้คนช่วย ส่วนมือทั้งสองข้างของนางก็ไม่หยุดนิ่ง หยางฉิงใช้มือทั้งสองข้างต่อยตีไปตรงซี่โครงของพวกนางไม่ยังมือ นางตบตีในส่วนที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้ สภาพของนางก็ไม่ต่างกับทั้งสองคนเท่าไหร่นัก ชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของหยางฉิง ต่างพากันวิ่งออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกเขามองเห็นสภาพของแต่ละคนก็ต่างพากันตกใจกับภาพตรงหน้า มือของหลี่เจิงดึงทึ้งผมของหยางฉิง ส่วนมือหยางฉิงดึงผมของหลี่เจิง เท้าของนางยังเตะไปตรงท้องของหลี่หยินที่นอนอยู่บนพื้นดิน! หญิงสาวมีอายุคนหนึ่งร้องห้ามทั้งสามคนเสียงดัง “หยุด! ๆ พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน? ” หลี่จือได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากหยางฉิง นางจึงรีบเดินเข้ามาดู เพราะบ้านของนางอยู่ใกล้กับบ้านของหยางฉิงมากที่สุด เมื่อมาถึงก็พบเห็นหญิงสาวทั้งสามคนกำลังตบตีกันอยู่ “ถ้าไม่หยุดข้าจะไปฟ้องผู้ใหญ่บ้านนะ! ” หลี่จือมองดูทั้งสามที่ไม่ยอมหยุดมือ ทั้งสามคนได้ยินเสียงดังของคนอื่นจึงได้หยุดมือ หญิงสาวสามคนแยกกันไปยืนคนละทางสภาพของพวกนางไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก แต่ละคนต่างเอามือจัดแต่งทรงผมและปัดเป่าเศษฝุ่นดินที่ติดมาตามเสื้อผ้าออกไป “พวกเจ้ามาทำอะไรที่บ้านของหยางฉิงกัน? และทำไมถึงได้บุกเข้ามาตบตีนางถึงในบ้านของนางได้” หลี่จือถามทั้งสองคนออกไป “ก็หยางฉิงน่ะสิป้าหลี่จือ พวกข้าได้ข่าวว่านางเพิ่งตกหลุมหัวกระแทก พวกข้าจึงเป็นห่วงเดินมาดู แต่พอมาถึง นางก็ด่าว่าพวกข้าก่อน...” หลี่เจิงรีบอธิบายให้ป้าหลี่จือฟัง “จริงหรือเปล่าหยางฉิงที่นางทั้งสองคนพูด?” นางถามหยางฉิงเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะนางรู้จักทั้งสองคนที่มาตบตีกับหยางฉิงดี ทั้งสองคนเป็นสาวโสดประจำหมู่บ้านและขายไม่ออก นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ “ป้าหลี่จือต้องให้ความเป็นธรรมกับข้า ข้าจะไปหาเรื่องพวกนางได้อย่างไรกัน ข้าดูแลสามีที่ป่วยเดินไม่ได้ในแต่ละวันก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว และดูหน้าของข้าสิ มีเลือดออกกบปากขนาดนี้ พวกนางทั้งสองคนมารุมทำร้ายข้าถึงในบ้าน ป้าคิดว่าใครจะเป็นคนผิดกันแน่ ข้าตั้งใจจะกลับตัวเป็นคนดี ตั้งใจดูแลสามีของข้าให้ดี แต่ข้าต้องโดนคนเข้ามาทำร้ายข้าถึงในบ้าน!...” หยางฉิงแกล้งร้องไห้เสียใจและพูดให้เสียงดัง จนชาวบ้านมามุงดูกันมากขึ้น “ก็จริงของหยางฉิงมันนะ เรื่องมันก็เกิดขึ้นในบ้านของนางด้วย อีกอย่างหยางฉิงก็มีคนเดียว แต่พวกเจ้ามีตั้งสองคน” ชาวบ้านช่วยกันพูดเข้าข้างหยางฉิง “ขอบคุณทุกคนมากเลยจ๊ะ ตั้งแต่ที่ข้าล้ม ข้าตั้งใจจะใช้ชีวิตให้ดี เปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้น แต่ข้าก็ยังโดนกลั่นแกล้งอยู่แบบนี้ ข้าจะมีชีวิตอยู่ได้เช่นไร ฮื้ออ!….” นางแกล้งร้องไห้เสียงดังขึ้นไปอีก จนชาวบ้านที่เข้ามามุงดูรู้สึกสงสาร “นั่นสิ ทั้งสองคนทำไม่ถูกจริง ๆ ดูตัวพวกเจ้าและตัวของหยางฉิง ขนาดต่างกันตั้งเท่าไหร่” มีเสียงดังขึ้นมาจากกลุ่มชายหลายวัยที่ยืนมุงดูเหตุการณ์ หญิงสาวสองคน โดนชาวบ้านรุมพูดว่า พวกนางต่างทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะเถียงออกไปเช่นไรดี ทั้งสองได้แต่ยืนกำหมัดและขบเคี้ยวฟันทำสีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ สายตาของหลี่เจิงมองไปทางหยางฉิงด้วยสายตาโกรธแค้น ‘คอยดูเถอะ! ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านแม่!’ นางพูดอยู่ในใจ หลี่เจิงร้องโวยวายและเดินหนีชาวบ้านออกมา นางไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร วันนี้นางหยางฉิงมันทำไมถึงได้แปลกไปเช่นนี้? “หลี่เจิงรอข้าด้วย เจ้าเดินออกไปไม่เรียกข้าไปด้วยเลยหรือ” หลี่หยินวิ่งตามมาจนถึงหลี่เจิง นางก็ไม่ได้อยากอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน ไม่รู้ชาวบ้านพวกนั้นเอาเรื่องของนางไปพูดบอกกับพ่อแม่หรือไม่ พ่อแม่ไม่ได้เข้าข้างเธอเหมือนเช่นหลี่เจิงหรอกนะ ‘ข้ารู้สึกหวาดกลัวนัก’ “เจ้าทำไมรีบเดินออกมาเช่นนี้ เจ้าจะยอมให้น้องสะใภ้ว่าเจ้าเช่นนี้หรือ” ตั้งแต่ที่เธอคบกับหลี่เจิงมา เพื่อนของนางไม่ใช่คนยอมใคร ครั้งนี้หยางฉิงคงต้องโดนหนักเสียแล้ว “ใครบอกว่าข้ายอมมัน ข้ากำลังจะไปฟ้องท่านแม่ของข้าต่างหาก เจ้าก็รู้ว่าท่านแม่ของข้าไม่ชอบสะใภ้คนนี้มากขนาดไหน ดีที่ตอนนี้น้องเล็กนอนเป็นคนพิการเดินไม่ได้ ก็คงไม่มีใครที่ช่วยมันได้แล้วละ” หลี่เจิงพูดพร้อมกับหัวเราะ พอเธอหัวเราะแรงขึ้น นางก็เจ็บตรงซี่โครง ‘นางหยางฉิงมันมือหนักขนาดนี้เลยหรือ’ นางรู้สึกแปลกใจที่เมื่อก่อนหยางฉิงถึงจะปากเก่งแต่พอเอาเข้าจริง มันก็ไม่กล้าสู้นางเลยด้วยซ้ำ “นี่ หลี่เจิงเจ้าคิดว่าหยางฉิงมันแปลกไปหรือไม่ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราทำร้ายมัน แต่มันก็ไม่เคยจะสู้เราขนาดนี้ หรือหัวสมองของมันกระทบกระเทือนแล้วจริง ๆ อย่างที่ชาวบ้านคนอื่นพูด” “เรื่องนี้ก็อาจเป็นไปได้?” นางคิดถึงคำพูดของหลี่หยิน หยางฉิงมองพวกนางทั้งสองคนรีบเดินหนีกลับบ้านไป เธอคิดว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายแน่ พวกนางไม่ใช่ว่าเป็นลูกแหง่หรือ เป็นลูกที่พ่อแม่คอยเอาใจ ถึงตอนนี้หลี่เซิงจะป่วยอยู่ไม่อาจจะปกป้องเธอได้ ต่อไปนี้จะไม่เป็นเช่นเดิมอีกเพราะซินหลินหญิงสาวสุดแกร่งได้มาเข้าร่างของหยางฉิงแล้ว นางจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายแน่นอน!วันหนึ่ง นางเดินทอดน่องชมร้านดอกไม้ มีเพียงบ่าวรับใช้หนึ่งคนติดตามมาด้วย ขณะกำลังเพลิดเพลินกับดอกไม้ตรงหน้า นางก็เดินชนใครบางคนเข้าอย่างจังสายตาทั้งคู่สบกันหัวใจของหลี่หยูฟางพลันเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่นางจดจำได้ไม่ลืม เพียงแวบเดียว...นางรู้ทันทีว่าเขาคือใครทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยทัก เขาก็เบือนหน้าหนีแล้วรีบเดินจากไป‘เขาหนีข้าไปอีกแล้ว...’ นางคิดในใจด้วยความเจ็บปวด คราวนี้นางไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว นางเติบโตพอจะออกเรือนได้ด้วยซ้ำ...ฝ่ายชายหนุ่มเมื่อเหลือบเห็นสีหน้าผิดหวังของหญิงสาว ก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้ นางโตขึ้นมากจริง ๆ งดงามยิ่งนักผู้ติดตามที่คอยเฝ้าดูอยู่ข้างกายเขา ถึงกับไม่เชื่อสายตาตนเอง เมื่อนายท่านของเขาแย้มยิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตานั้น ชายหนุ่มจึงหุบยิ้มลงทันที สายตาเหม่อมองเมืองหลวงเบื้องหน้า เมืองที่เขาเคยมาเมื่อห้าปีก่อน บัดนี้เปลี่ยนไปมากจนแทบจำไม่ได้...เว้นเสียแต่กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของนาง ที่ยังคงติดอยู่ในใจเขาไม่จางหายหลังจากวันนั้น เขาก็หาเรื่องใกล้ชิดนางอยู่หลายครั้ง บ้างแกล้งเดินชน บ้างแกล้งทำของตก เพื่อให้มีโอกาสพูดค
ด้านหลี่หยูฟาง นางลอบออกมานอกเรือน เดินไปยังจุดที่เคยพบเด็กชายผู้นั้น ตามที่นางสังเกต เด็กคนนั้นน่าจะมีอายุมากกว่านางเล็กน้อย และอาจจะน้อยกว่าพี่ชายของตนอยู่บ้างแต่เมื่อมาถึงจุดเดิม กลับไม่พบร่างของเด็กชายคนนั้นเสียแล้ว...นางถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความเสียดาย แล้วกำลังจะหันหลังกลับทว่าในเงามืดเบื้องหลัง ปรากฏร่างของเด็กชายผู้หนึ่ง ผมยาวสลวยรวบเป็นมวยต่ำด้านหลัง ใบหน้าขาวกระจ่าง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมีแววเจ้าเล่ห์แฝงอยู่เพียงชั่วครู่ เขามองเด็กหญิงวัยสิบขวบตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเฉยเขาเห็นว่านางกำลังมองหาใครบางคนอยู่ และเฝ้ามองนางเงียบ ๆ ไม่เผยตัว จนกระทั่งนางหันหลังกลับ จึงจงใจขยับตัวให้เกิดเสียงเสียงเบา ๆ ที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้หลี่หยูฟางหันขวับไปมอง และเมื่อพบว่าเป็นคนที่นางกำลังตามหา ดวงตาของนางก็เปล่งประกายทันใด “เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย! ข้านึกว่าเจ้ากลับไปเสียแล้ว” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดีเด็กชายผู้นั้นกลับไม่ตอบอะไร เพียงจ้องมองนางอย่างนิ่งเงียบเมื่อนางไม่ได้รับคำตอบ สีหน้าของหลี่หยูฟางก็พลันหม่นลงเล็กน้อย นางรู้สึกเสียใจลึก ๆ กับท่าทีเย็นชาของเขา...เมื่อเห็นเขาไม่ตอบ หลี่หยูฟางจึงถ
ภายในห้องนอน หยางฉิงหลับใหลไปด้วยความเหนื่อยล้า โดยมีหลี่เซิงนอนกอดอยู่เคียงข้าง ทั้งสองใช้เวลาร่วมกันตลอดทั้งคืน จนกระทั่งยามนี้จึงได้หลับพักผ่อนอย่างแท้จริงเมื่อทั้งสองตื่นขึ้นมาก็สายมากแล้ว จึงออกมาจากมิติ หลี่เซิงดูสดชื่นกว่าทุกวัน เพราะเมื่อคืนเขาได้เติมเต็มช่วงเวลาที่ขาดหายไป หยางฉิงมองเขาอย่างหมั่นไส้น้อย ๆ เมื่อออกจากห้อง นางก็พบว่าลูกชายทั้งสองออกจากห้องไปนานแล้ว ตอนนี้พวกเขาโตพอที่จะไม่ติดแม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว...เวลาแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้เข้าสู่ปีที่สอง หยางฉิงตั้งครรภ์ได้แปดเดือนแล้ว ท้องครั้งนี้ของนางไม่ใหญ่เท่าตอนท้องลูกชาย ทำให้นางคิดว่าน่าจะได้ลูกเพียงคนเดียวนางมาพักอยู่ในเรือนที่เมืองหลวง เพราะอย่างน้อยก็สามารถออกมานั่งเฝ้าร้าน ดูแลกิจการหน้าร้านได้บ้าง จึงไม่รู้สึกเบื่อมากนักเมื่อเข้าสู่เดือนที่เก้า หยางฉิงคลอดลูกตามที่คาดหวังไว้ เป็นเด็กหญิงตัวอวบอ้วนน่ารักน่าชัง เด็กน้อยเปรียบเสมือนสีสันใหม่ของครอบครัว หยางฉิงจึงตั้งชื่อให้ลูกสาวว่า ‘หลี่หยูฟาง’ แปลว่า กลิ่นหอมละมุน เพราะนางเกิดมาพร้อมกลิ่นกายหอมอ่อน ๆ เป็นเอกลักษณ์ ใครเข้าใกล้ก็อดที่จะอยากอุ้มนางไม่
เมื่อชายชรานั่งรถเกวียนมาจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ก็มีผู้คนออกมาต้อนรับมากมาย พร้อมกับเสียงเรียกขานว่า“เชิญเสด็จพะยะค่ะ ฝ่าบาท!”เสียงเรียกขานเปี่ยมด้วยความยินดีดังขึ้นพร้อมกันเมื่อชายชราได้ยินคำเรียกขานนั้น เขาถึงกับถอนหายใจเบา ๆ ความสนุกตลอดหลายวันที่เขาแอบออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ตนเคยปกป้องดูแล บัดนี้จำต้องวางลงเสียแล้ว...ทางด้าน หยางฉิง นางยืนอยู่ต่อหน้าเด็กน้อยทั้งสองคนที่มีนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งสุขุมเยือกเย็น อีกคนกลับซุกซนเอาเรื่อง นางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะส่ายหน้าให้ลูกชายคนโตหยางฉิงเพิ่งได้ฟังเรื่องราวจากท่านตาโจวเล่อ นางหันไปมองหลี่เต๋อชางด้วยแววตาภาคภูมิใจ เขาช่างละม้ายคล้ายสามีของนาง เพียงแต่เงียบขรึมกว่า ต่างจากหลี่เจียเฉิงโดยสิ้นเชิงนางถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ เมื่อคิดว่าลูกชายคนโตแอบออกไปเล่นตอนไหน ถึงกับไปแกล้งลูกของท่านอ๋องสามจนร้องไห้ ดีที่ท่านอ๋องไม่ติดใจเอาความอะไรหยางฉิงปรายตามองหลี่เจียเฉิงด้วยสายตาดุเมื่อหลี่เจียเฉิงเห็นสายตาของมารดา เขาก็หลบตาลงทันที“เจ้ารู้ไหมว่าวันนี้เจ้าทำอะไรผิดไป?” นางถามด้วยน้ำเสียงเข้มได้ยินเช่นนั้น หลี่เจียเฉิงสะด
หลี่เจียถิง บุตรชายคนโต เป็นเด็กฉลาด ช่างพูด และกล้าแสดงออก ต่างจากหลี่เต๋อชาง ซึ่งเป็นเด็กช่างสังเกต เงียบขรึม และไม่ค่อยพูดเท่าใดนัก นางให้ลูกทั้งสองทดลองฝึกงานในกิจการของนางทั้งหมด หลี่เจียถิงชอบฝึกฝนในโรงเตี๊ยมและโรงทำน้ำมันพริก ส่วนหลี่เต๋อชางกลับชอบกิจการในเมืองหลวงและโรงเรือนทำยามากกว่า โดยเฉพาะเรื่องสมุนไพรที่เขาสนใจเป็นพิเศษนางไม่คิดจะบังคับ หากพวกเขาชอบหรือไม่ชอบสิ่งใด นางก็จะตามใจ ไม่ว่าในอนาคตพวกเขาจะสานต่อกิจการหรือไม่ก็ตาม เพราะตอนนี้พวกเขายังเด็กนัก นางจึงไม่อยากให้ต้องคิดมากเหมือนผู้ใหญ่วันหนึ่ง ขณะที่นางกำลังยุ่งกับการดูแลร้านเทียนเจินถัง นางจึงฝากหลี่เต๋อชางให้อยู่กับท่านตาโจวเฉียวทางด้านโจวเฉียวกำลังนั่งคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาได้ทำงานกับหยางฉิงมาเกือบห้าปีแล้ว เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำงานที่นี่ ตอนนี้โจวเล่อก็เติบโตพอจะช่วยงานได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นเด็กเรียนดี เขาจึงไม่ค่อยเป็นกังวลนักโจวเฉียวเหลือบมองหลี่เต๋อชาง ซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะคิดเงินด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ เขารู้สึกเอ็นดูเด็กชายผู้นี้เหมือนเป็นหลานแท้ ๆ หลี่เต๋อชางเป็นเด็กฉลาดเกินวัย นั่นทำให้เขาอด
เมื่อพูดจบ นางก็เหลือบมองสีหน้าของทั้งสองคนอ๋องสามที่รู้ว่ายาร้าน เทียนเจินถัง เป็นของดีจริง ๆ เคยกลับไปเพื่อซื้อยาเพิ่ม แต่กลับได้รับข่าวว่ายาทั้งหมดถูกขายหมดไปแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งนัก เมื่อรู้ว่าอาจารย์ของนางจะส่งยาชนิดใหม่มา เขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้เช่นกัน“ถ้าอาจารย์ของเจ้านำยาเข้ามาขายอีก เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าได้หรือไม่?” เขาถามเสียงเรียบหวังจวิ้นเจี้ยงที่ถูกท่านอ๋องตัดบทไปก็รีบพูดขึ้นทันที “ถ้าเช่นนั้น เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าด้วย ข้าเองก็อยากรู้ว่ายาตัวใหม่ของอาจารย์เจ้าจะเป็นยาแบบใดกันแน่”หยางฉิงเห็นความวุ่นวายตรงหน้าแล้วอดยิ้มไม่ได้ “ท่านทั้งสองวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าจะให้คนเข้าไปแจ้งทั้งสองท่านอย่างแน่นอน”เมื่อพูดจบ นางก็แย้มยิ้มออกมา อาจารย์ที่ว่านั้นก็คือตัวนางเอง หากมีเวลาว่างเมื่อใด นางก็จะคิดค้นและปรุงยาขึ้นในเวลานั้น ร้านของนางไม่ได้เป็นร้านขายยาโดยตรง เพียงแต่นำยามาขายเสริม แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ร้านของนางเป็นที่อิจฉาของร้านยาดัง ๆ หลายแห่งแล้ว อย่างไรก็ตาม นางยังโชคดีที่มีคนคอยคุ้มกันอย่างดี พวกนั้นจึงไม่กล้าก่อเรื่องกับครอบครัวของนางโดยตรงเมื่อทั้งสองได้รับคำมั