ทั้งสองคนล้มลงไปนอนบนพื้นดินจนฝุ่นฟุ้งกระจายตามน้ำหนักตัว
“หลี่เจิงมันเอาแรงมาจากไหนมากมายนัก!” หลี่หยินหันไปพูดกับหลี่เจิงพร้อมกุมท้องที่เริ่มดีขึ้น “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร แต่เรื่องนี้มันยังไม่จบแค่นี้หรอก” หลี่เจิงใช้แรงที่เหลือลุกขึ้น ใบหน้าของนางดูน่ากลัว ตาที่ลุกวาวพร้อมกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ ‘ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครตีข้าเลยเสียครั้งเดียว’ แล้วมันเป็นใครถึงได้กล้ามาตีคนอย่างนาง “หน่อย!... เจ้ากล้าตีข้าหรือ คอยดูข้าจะให้ท่านแม่มาจัดการกับเจ้า!” หลี่เจิงชี้หน้าด่าหยางฉิงด้วยถ้อยคำหยาบคาย พร้อมกับมือแห้งกร้านฟาดไปบนใบหน้าหยางฉิงเต็มแรง ใบหน้าหยางฉิงหันไปตามแรงตบ บนใบหน้าซีกซ้ายเป็นรอยมือสีแดงเด่นชัด… หยางฉินมองเห็นมือหลี่เจิงกำลังตีลงมาบนใบหน้า หยางฉิงสามารถหลบฝ่ามือของนางได้ แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น นางยืนรอรับฝ่ามือของหลี่เจิงที่ฟาดลงมา อย่างเต็มใจ หยางฉิงรู้สึกเค็มและได้กลิ่นคาวเลือดมาจากข้างในปาก นางยิ้มพอใจเล็กน้อย พร้อมกับร้องตะโกนเรียกชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงให้ได้ยินกันทั่ว มือที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ก็ต่อยตีไปตรงซี่โครงของทั้งสองคนซ้ำ ๆ จนทั้งสองคนล้มไปกองอยู่บนพื้นดินหน้าบ้าน เสียงการตบตีและเสียงกรีดร้องของทั้งสามคนนั้น ดังไปทั่วบริเวณโดยรอบ บนพื้นดินมีฝุ่นฟุ้งกระจายตามร่างหญิงสาวทั้งสามคนเกลือกกลิ้งกันไปมา ผมของทั้งสามคนต่างชีฟูไม่เป็นทรง เสื้อผ้าของพวกนางเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน “ช่วยด้วย! มีคนบุกเข้ามาในบ้านของข้า! ใครก็ได้ช่วยที! ” หยางฉิงร้องตะโกนให้คนช่วย ส่วนมือทั้งสองข้างของนางก็ไม่หยุดนิ่ง หยางฉิงใช้มือทั้งสองข้างต่อยตีไปตรงซี่โครงของพวกนางไม่ยังมือ นางตบตีในส่วนที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้ สภาพของนางก็ไม่ต่างกับทั้งสองคนเท่าไหร่นัก ชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของหยางฉิง ต่างพากันวิ่งออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกเขามองเห็นสภาพของแต่ละคนก็ต่างพากันตกใจกับภาพตรงหน้า มือของหลี่เจิงดึงทึ้งผมของหยางฉิง ส่วนมือหยางฉิงดึงผมของหลี่เจิง เท้าของนางยังเตะไปตรงท้องของหลี่หยินที่นอนอยู่บนพื้นดิน! หญิงสาวมีอายุคนหนึ่งร้องห้ามทั้งสามคนเสียงดัง “หยุด! ๆ พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน? ” หลี่จือได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากหยางฉิง นางจึงรีบเดินเข้ามาดู เพราะบ้านของนางอยู่ใกล้กับบ้านของหยางฉิงมากที่สุด เมื่อมาถึงก็พบเห็นหญิงสาวทั้งสามคนกำลังตบตีกันอยู่ “ถ้าไม่หยุดข้าจะไปฟ้องผู้ใหญ่บ้านนะ! ” หลี่จือมองดูทั้งสามที่ไม่ยอมหยุดมือ ทั้งสามคนได้ยินเสียงดังของคนอื่นจึงได้หยุดมือ หญิงสาวสามคนแยกกันไปยืนคนละทางสภาพของพวกนางไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก แต่ละคนต่างเอามือจัดแต่งทรงผมและปัดเป่าเศษฝุ่นดินที่ติดมาตามเสื้อผ้าออกไป “พวกเจ้ามาทำอะไรที่บ้านของหยางฉิงกัน? และทำไมถึงได้บุกเข้ามาตบตีนางถึงในบ้านของนางได้” หลี่จือถามทั้งสองคนออกไป “ก็หยางฉิงน่ะสิป้าหลี่จือ พวกข้าได้ข่าวว่านางเพิ่งตกหลุมหัวกระแทก พวกข้าจึงเป็นห่วงเดินมาดู แต่พอมาถึง นางก็ด่าว่าพวกข้าก่อน...” หลี่เจิงรีบอธิบายให้ป้าหลี่จือฟัง “จริงหรือเปล่าหยางฉิงที่นางทั้งสองคนพูด?” นางถามหยางฉิงเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะนางรู้จักทั้งสองคนที่มาตบตีกับหยางฉิงดี ทั้งสองคนเป็นสาวโสดประจำหมู่บ้านและขายไม่ออก นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ “ป้าหลี่จือต้องให้ความเป็นธรรมกับข้า ข้าจะไปหาเรื่องพวกนางได้อย่างไรกัน ข้าดูแลสามีที่ป่วยเดินไม่ได้ในแต่ละวันก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว และดูหน้าของข้าสิ มีเลือดออกกบปากขนาดนี้ พวกนางทั้งสองคนมารุมทำร้ายข้าถึงในบ้าน ป้าคิดว่าใครจะเป็นคนผิดกันแน่ ข้าตั้งใจจะกลับตัวเป็นคนดี ตั้งใจดูแลสามีของข้าให้ดี แต่ข้าต้องโดนคนเข้ามาทำร้ายข้าถึงในบ้าน!...” หยางฉิงแกล้งร้องไห้เสียใจและพูดให้เสียงดัง จนชาวบ้านมามุงดูกันมากขึ้น “ก็จริงของหยางฉิงมันนะ เรื่องมันก็เกิดขึ้นในบ้านของนางด้วย อีกอย่างหยางฉิงก็มีคนเดียว แต่พวกเจ้ามีตั้งสองคน” ชาวบ้านช่วยกันพูดเข้าข้างหยางฉิง “ขอบคุณทุกคนมากเลยจ๊ะ ตั้งแต่ที่ข้าล้ม ข้าตั้งใจจะใช้ชีวิตให้ดี เปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้น แต่ข้าก็ยังโดนกลั่นแกล้งอยู่แบบนี้ ข้าจะมีชีวิตอยู่ได้เช่นไร ฮื้ออ!….” นางแกล้งร้องไห้เสียงดังขึ้นไปอีก จนชาวบ้านที่เข้ามามุงดูรู้สึกสงสาร “นั่นสิ ทั้งสองคนทำไม่ถูกจริง ๆ ดูตัวพวกเจ้าและตัวของหยางฉิง ขนาดต่างกันตั้งเท่าไหร่” มีเสียงดังขึ้นมาจากกลุ่มชายหลายวัยที่ยืนมุงดูเหตุการณ์ หญิงสาวสองคน โดนชาวบ้านรุมพูดว่า พวกนางต่างทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะเถียงออกไปเช่นไรดี ทั้งสองได้แต่ยืนกำหมัดและขบเคี้ยวฟันทำสีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ สายตาของหลี่เจิงมองไปทางหยางฉิงด้วยสายตาโกรธแค้น ‘คอยดูเถอะ! ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านแม่!’ นางพูดอยู่ในใจ หลี่เจิงร้องโวยวายและเดินหนีชาวบ้านออกมา นางไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร วันนี้นางหยางฉิงมันทำไมถึงได้แปลกไปเช่นนี้? “หลี่เจิงรอข้าด้วย เจ้าเดินออกไปไม่เรียกข้าไปด้วยเลยหรือ” หลี่หยินวิ่งตามมาจนถึงหลี่เจิง นางก็ไม่ได้อยากอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน ไม่รู้ชาวบ้านพวกนั้นเอาเรื่องของนางไปพูดบอกกับพ่อแม่หรือไม่ พ่อแม่ไม่ได้เข้าข้างเธอเหมือนเช่นหลี่เจิงหรอกนะ ‘ข้ารู้สึกหวาดกลัวนัก’ “เจ้าทำไมรีบเดินออกมาเช่นนี้ เจ้าจะยอมให้น้องสะใภ้ว่าเจ้าเช่นนี้หรือ” ตั้งแต่ที่เธอคบกับหลี่เจิงมา เพื่อนของนางไม่ใช่คนยอมใคร ครั้งนี้หยางฉิงคงต้องโดนหนักเสียแล้ว “ใครบอกว่าข้ายอมมัน ข้ากำลังจะไปฟ้องท่านแม่ของข้าต่างหาก เจ้าก็รู้ว่าท่านแม่ของข้าไม่ชอบสะใภ้คนนี้มากขนาดไหน ดีที่ตอนนี้น้องเล็กนอนเป็นคนพิการเดินไม่ได้ ก็คงไม่มีใครที่ช่วยมันได้แล้วละ” หลี่เจิงพูดพร้อมกับหัวเราะ พอเธอหัวเราะแรงขึ้น นางก็เจ็บตรงซี่โครง ‘นางหยางฉิงมันมือหนักขนาดนี้เลยหรือ’ นางรู้สึกแปลกใจที่เมื่อก่อนหยางฉิงถึงจะปากเก่งแต่พอเอาเข้าจริง มันก็ไม่กล้าสู้นางเลยด้วยซ้ำ “นี่ หลี่เจิงเจ้าคิดว่าหยางฉิงมันแปลกไปหรือไม่ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราทำร้ายมัน แต่มันก็ไม่เคยจะสู้เราขนาดนี้ หรือหัวสมองของมันกระทบกระเทือนแล้วจริง ๆ อย่างที่ชาวบ้านคนอื่นพูด” “เรื่องนี้ก็อาจเป็นไปได้?” นางคิดถึงคำพูดของหลี่หยิน หยางฉิงมองพวกนางทั้งสองคนรีบเดินหนีกลับบ้านไป เธอคิดว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายแน่ พวกนางไม่ใช่ว่าเป็นลูกแหง่หรือ เป็นลูกที่พ่อแม่คอยเอาใจ ถึงตอนนี้หลี่เซิงจะป่วยอยู่ไม่อาจจะปกป้องเธอได้ ต่อไปนี้จะไม่เป็นเช่นเดิมอีกเพราะซินหลินหญิงสาวสุดแกร่งได้มาเข้าร่างของหยางฉิงแล้ว นางจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายแน่นอน!เมื่อพูดจบ นางก็เหลือบมองสีหน้าของทั้งสองคนอ๋องสามที่รู้ว่ายาร้าน เทียนเจินถัง เป็นของดีจริง ๆ เคยกลับไปเพื่อซื้อยาเพิ่ม แต่กลับได้รับข่าวว่ายาทั้งหมดถูกขายหมดไปแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งนัก เมื่อรู้ว่าอาจารย์ของนางจะส่งยาชนิดใหม่มา เขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้เช่นกัน“ถ้าอาจารย์ของเจ้านำยาเข้ามาขายอีก เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าได้หรือไม่?” เขาถามเสียงเรียบหวังจวิ้นเจี้ยงที่ถูกท่านอ๋องตัดบทไปก็รีบพูดขึ้นทันที “ถ้าเช่นนั้น เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าด้วย ข้าเองก็อยากรู้ว่ายาตัวใหม่ของอาจารย์เจ้าจะเป็นยาแบบใดกันแน่”หยางฉิงเห็นความวุ่นวายตรงหน้าแล้วอดยิ้มไม่ได้ “ท่านทั้งสองวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าจะให้คนเข้าไปแจ้งทั้งสองท่านอย่างแน่นอน”เมื่อพูดจบ นางก็แย้มยิ้มออกมา อาจารย์ที่ว่านั้นก็คือตัวนางเอง หากมีเวลาว่างเมื่อใด นางก็จะคิดค้นและปรุงยาขึ้นในเวลานั้น ร้านของนางไม่ได้เป็นร้านขายยาโดยตรง เพียงแต่นำยามาขายเสริม แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ร้านของนางเป็นที่อิจฉาของร้านยาดัง ๆ หลายแห่งแล้ว อย่างไรก็ตาม นางยังโชคดีที่มีคนคอยคุ้มกันอย่างดี พวกนั้นจึงไม่กล้าก่อเรื่องกับครอบครัวของนางโดยตรงเมื่อทั้งสองได้รับคำมั
หลี่เซิงมองนาง แววตาของนางส่องประกายยามพูดถึงเรื่องนี้ เขาจดจำความต้องการของนางไว้ในใจ “เอาไว้เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราไปเที่ยวกันดีหรือไม่? เจ้าชอบทะเลหรือ? ข้าเองก็ไม่เคยไปเช่นกัน เอาไว้ข้าจะหาข้อมูล แล้วพาเจ้าไปในอนาคตแน่นอน “เขาพูดเสียงอ่อนโยนหยางฉิงดันตัวออกจากอ้อมกอด มองหน้าเขาด้วยความตื่นเต้น “ท่านพูดจริงหรือ? ท่านต้องสัญญากับข้านะ ว่าท่านจะพาข้าไปเที่ยวทะเลสักครั้ง” นางพูดพร้อมชูนิ้วก้อยขึ้นมาหลี่เซิงมองนิ้วก้อยของนางด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าชูนิ้วขึ้นมาทำไม?”“ก็สัญญาไง! ในโลกเดิมของข้า ถ้าจะสัญญาต้องเกี่ยวก้อยกัน” นางพูดก่อนจะจับมือหนาขึ้นมาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของตนหลี่เซิงมองการกระทำของนางด้วยสายตาเอ็นดู เขาขยับนิ้วก้อยเบา ๆ “ข้าสัญญา ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยว” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มเมื่อได้ยินคำสัญญานั้น หยางฉิงก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ความรู้สึกไม่ดีที่มีอยู่ก่อนหน้าค่อย ๆ จางหายไป อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้พูดคุยกันบ่อยนัก จึงทำให้นางคิดมากอยู่บ้าง...หนึ่งเดือนต่อมา หยางฉิงได้ยินข่าวว่าพรานหย่งชุนแต่งงานกับหลี่หยิน ด้วยค่าสินสอดหนึ่งตำลึงทอง ถือว่าเขาใจป้ำไม่น้อยถึงขนาดให้สินสอดขนาดนี้ เมื่อ
หยางฉิงสังเกตสายตาของพรานหย่งชุน นางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน“ท่านคงรู้แล้วว่าข้าให้ท่านมาพบเรื่องใด ตอนนี้ท่านคงได้คำตอบอยู่แล้ว ใช่หรือไม่?” นางถามเสียงเรียบ“เจ้าช่างฉลาดนัก...” หย่งชุนหัวเราะเบา ๆ “ใช่ ข้ารับข้อเสนอของเจ้า ไหน ๆ ข้าก็ยังไม่ได้แต่งงานอยู่แล้ว”แต่แล้วเขากลับมองหยางฉิงด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ก่อนกล่าวต่อ “แต่ข้าคงไม่มีเงินมากพอที่จะขอหญิงสาวสักคนได้หรอก...”เมื่อเห็นสายตาของพรานหย่งชุน หยางฉิงจึงยิ้มบางเบา “แน่นอน ในเมื่อข้าเสนอจะช่วยท่านแล้ว ข้าก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ถือว่าเป็นของขวัญจากข้าก็แล้วกัน แต่…เรื่องนี้ต้องเป็นความลับระหว่างเรา ข้าจะช่วยให้ท่านสมหวัง แต่เมื่อท่านแต่งงานไปแล้ว ให้ถือว่าเราไม่เคยรู้จักกัน”นางพูดเสียงเรียบพลางวางถุงเงินลงตรงหน้าเขา “ข้าช่วยท่านแล้ว ท่านก็ต้องทำหน้าที่ของท่านให้สำเร็จลุล่วง”พรานหย่งชุนรีบคว้าถุงเงินขึ้นมานับ เมื่อเห็นตำลึงทองห้าตำลึง เขาก็ตาโตด้วยความยินดี“ข้าจะทำงานนี้ให้สำเร็จ!” เขากล่าวอย่างตื่นเต้น“เงินที่ข้าให้ ท่านจงนำไปสร้างบ้านหลังใหม่ และเตรียมของแต่งงานให้พร้อม ท่านก็น่าจะรู้ว่ามารดาของหลี่หยินชอบคนมีเ
หลี่ชวนฟังคำพูดของหลี่เซิงแล้วยิ่งไม่เข้าใจ ‘กาดำตัวไหนอยากเปลี่ยนเป็นหงส์กัน? นั่นมันฝันไกลเกินไปหรือไม่…’ คิดไปก็ปวดหัว หลี่ชวนจึงเลิกใส่ใจ ก่อนเดินตามหลี่เซิงเข้าไปเพื่อทำหน้าที่ของตน...ขณะเดียวกัน เหตุการณ์หน้าประตูโรงทำน้ำพริก ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของอู๋เจิง นางกำลังถืออาหารมาให้สามีเหมือนเช่นเคย แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า นางจึงแอบหยุดฟังอยู่ห่าง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เซิง อู๋เจิงถึงกับยิ้มออกมาอย่างพอใจ’ หยางฉิงช่างมองคนได้เฉียบแหลมจริง ๆ’ นางคิดในใจดีที่วันนี้แม่สามีไม่ได้มาที่นี่ ไม่เช่นนั้น เรื่องคงไม่จบเพียงเท่านี้แน่...หลังจากรอจนหลี่หยินเดินลับสายตาไป อู๋เจิงจึงออกมาจากที่ซ่อน และนำอาหารไปให้สามีเช่นทุกวันระหว่างรับประทานอาหาร หลี่ชวนเล่าเรื่องของหลี่เซิงให้นางฟังอู๋เจิงยิ้มออกมา บางทีเรื่องนี้นางควรบอกให้หยางฉิงรู้ แต่ที่แน่ ๆ นางชอบคำพูดของหลี่เซิงเสียจริง‘กาดำอยากเป็นหงส์’ไม่มีทางที่กาดำจะกลายเป็นหงส์ได้ ยิ่งหากกาดำตนนั้นมีจิตใจที่ดำมืดอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่มีวัน...หลี่ชวนมองรอยยิ้มของภรรยา แล้วอดไม่ได้ที่จะนึกบางอย่างขึ้นมา ตั้งแต่นางไปทำงานกับหยางฉิงบ่อยครั้ง เขารู
“ข้าขอบคุณท่านมากที่นำเรื่องนี้มาบอกกับข้า แต่ข้ามั่นใจว่าหลี่เซิงไม่มีทางทำเรื่องไม่ดีกับข้าแน่นอน ท่านสบายใจได้” นางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเมื่ออู๋เจิงได้ฟังเช่นนั้น นางก็พิจารณาใบหน้าของหยางฉิง ถึงแม้นางจะไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางใด ๆ บนใบหน้า แต่ก็ยังดูงดงามสะกดตา ยิ่งเมื่อนึกเปรียบเทียบกับหลี่หยินแล้ว ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าทั้งสองแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลจริง ๆ“เจ้าพูดถูก” อู๋เจิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัวกลับบ้านก่อน จะได้ไม่รบกวนเจ้า”นางกล่าวลาหยางฉิงก่อนเดินกลับบ้านไปด้วยความสบายใจอีกด้านหนึ่ง ในขณะที่หญิงสาวทั้งสองกำลังพูดคุยกันด้วยความกังวล หลี่เซิงกลับไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น เพราะตอนนี้เขากำลังยุ่งกับการดูแลเด็กน้อยทั้งสอง จนแทบไม่ได้หลับได้นอนเขาให้แม่นมคอยสอนวิธีเลี้ยงเด็กเล็ก แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากและเหนื่อยมากกว่าที่คิด การมีลูกไม่ใช่เรื่องสบายเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เรียนรู้มันไปด้วยความเต็มใจโดยเฉพาะเมื่อเด็กน้อยทั้งสองแย้มยิ้มให้เขา ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันก็เหมือนจะมลายหายไปในพริบตา...หลี่เซิงอุ้มลูกน้อยเข
หลี่เซิงรับของจากผู้ใหญ่บ้านด้วยความเกรงใจ “ท่านมาเยี่ยมข้า ข้าก็ดีใจมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องลำบากนำของพวกนี้มาเลย”หลี่จงยิ้มพลางตอบกลับ “ข้ามาเยี่ยมหลานทั้งที จะให้มามือเปล่าได้อย่างไร”หลี่อี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้นจึงพูดแทรกขึ้นมา “ของข้าก็มีเหมือนกัน”หลี่เซิงหันไปมองหลี่อี้ ชายหนุ่มที่บัดนี้ดูดีกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รับสินค้าจากบ้านหลี่เซิงไปขายตามหัวเมืองต่าง ๆ เช่นกันหลี่เซิงรับของมาจากหลี่อี้ก่อนเอ่ยล้อเลียน “ขอบใจเจ้ามาก เอาไว้เจ้ามีลูกเมื่อไหร่ ข้าจะไปแสดงความยินดีแน่”หลี่อี้รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เพราะเขาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน “ได้ข่าวว่าร้านของเจ้าจำหน่ายยาช่วยให้มีบุตร เอาไว้ถ้าปีนี้ข้ายังไม่มีลูก ข้าคงต้องไปซื้อยาให้ภรรยาเสียแล้ว” เขาพูดพลางเหลือบมองสีหน้ามารดาตัวเอง ซึ่งดูจะไม่พอใจที่ภรรยาของเขายังไม่มีลูกหลี่เซิงมองสีหน้าของหลี่อี้อย่างเห็นใจ ก่อนเอ่ยอย่างใจกว้าง “หากไม่มีจริง ๆ ข้าจะมอบยาให้เจ้าโดยไม่คิดเงิน ดีหรือไม่?” เขาพูดพลางยักคิ้วให้หลี่อี้หานหยุนที่นั่งฟังอยู่ สีหน้าดูดีขึ้นมาทันที ใคร ๆ ก็รู้ว่ายาของร้าน เทียนเจินถัง มีชื่อเสียงโด