เข้าสู่ระบบหัวใจของหานลั่วอิงเหมือนกับถูกมือยักษ์บีบรัดจนแน่น ลมหายใจนางเริ่มติดขัดด้วยความโกรธ เรื่องของถานอวิ๋นซีนั้นสร้างความบาดหมางให้สองพี่น้องมาเนิ่นนาน จากที่ไม่ถูกกันอยู่แล้ว ตอนนี้พวกนางก็แทบจะฆ่ากันด้วยคำพูดทุกครั้งเมื่อได้พบหน้ากันทุกครั้งไป
“เป็นเพราะเจ้าและมารดาใช้เล่ห์เหลี่ยมไปหลอกมารดาของพี่อวิ๋นซีต่างหาก ท่านป้าที่จากไปแล้วถึงยอมให้พี่อวินซีหมั้นกับเจ้า!”
“อุ้ย! พี่ใหญ่จำไม่ได้หรือเจ้าคะ ว่ามารดาข้าและท่านป้าเป็นสหายสนิทกัน เรื่องการผูกสัมพันธ์รุ่นลูก ย่อมเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง”
หานหนิงอันก้าวมายืนประจันหน้าพี่สาว ซึ่งกำลังออกอาการโมโหสุดขีด และนี่คือข้อเสียของหานลั่วอิงคือการไม่ยอมเก็บอารมณ์ใดๆ ไว้ในใจ ทุกอย่างล้วนแสดงออกผ่านสีหน้าและแววตาจนหมดสิ้น “โชคร้ายหน่อยนะเจ้าคะ เพราะพี่ใหญ่ไม่มีมารดามาตั้งแต่เด็ก จึงไม่มีใครคอยอบรมกิริยาให้สมกับเป็นบุตรสาวขุนนาง ตอนนี้ไม่รู้ว่าฮูหยินใหญ่จะเสียใจมากเพียงใดที่เห็นบุตรสาวเป็นเช่นนี้ แต่เอาเถิด...เสียใจอย่างไรก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะยามนี้คนกลายเป็นดินไปเสียแล้ว”
เป็นเช่นนี้เป็นเช่นไรหานลั่วอิงหาได้สนใจไม่ หากว่าหานหนิงอันล่วงเกินเพียงนาง มากหน่อยก็โต้ตอบกันพอให้เจ็บคัน แต่นี่หานหนิงอันกล้าลามปามไปถึงมารดาของนาง ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะยับยั้งชั่งใจอีกต่อไป หานลั่วอิงยกฝ่ามือขึ้นทันที หานหนิงอันก็ใจกล้ายื่นหน้ามาเช่นกัน
“พี่ใหญ่ตบข้าสิ! ตบเลย ข้าจะได้เอารอยแผลไปบอกพี่อวิ๋นซี!”
หานลั่วอิงกัดฟัน นางพยายามสะกดอารมณ์โกรธเอาไว้ อย่างไรนางก็รู้ว่าการลงมือครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่กับพี่อวิ๋นซี แต่ยังรวมถึงผู้อื่นที่รู้เรื่องนี้อีก ไม่ว่าใครก็ตาม ย่อมมองนางร้ายมากกว่าดี ถ้านางลงมือไปตามคำยั่วยุของหานหนิงอัน สุดท้ายหานลั่วอิงก็ลดมือลง ไฉ่หงรีบเดินมาคล้องแขนเจ้านายของตนเอง แล้วพาเดินเข้างานเลี้ยงไปทันที
หานหนิงอันหันไปมองซินอี๋แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาด้วยความสะใจโดยไม่ได้คิดว่าการระงับอารมณ์ได้ของหานลั่วอิงไม่ดีต่อพวกนางสักเท่าไหร่
งานเลี้ยงของอำมาตย์หานจงผ่านไปด้วยดี วันนี้หานลั่วอิงสงบเสงี่ยมเจียมตัวเป็นพิเศษ ทำให้บิดาได้รับคำชมอย่างมากมายว่าบุตรสาวคนโตนั้นงามพร้อมทั้งหน้าตาและกิริยา แม้ทุกคนจะรู้ว่าประโยคหลังนั้นไม่เป็นความจริงเลยสักนิด แต่ก็กล่าวออกมาเพราะเห็นแก่หน้าเจ้าภาพหวังเอาใจเสียมากกว่า
สายตาของหานลั่วอิงเฝ้ามองถานอวิ๋นซี เขาเหลือบแลมาทางนางเพียงครั้งเดียวโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็ไม่หันกลับมามองอีกเลย แต่หานลั่วอิงไม่ได้นึกน้อยใจ เพราะนางมีงานสำคัญรออยู่เบื้องหน้า!
-----
ถานอวิ๋นซีเดินไปบนทางเดินของจวนตระกูลหาน แม้เขาจะรู้สึกมึนเมาอยู่บ้าง แต่สติยังอยู่ครบถ้วนทุกประการ บ่าวชายที่เดินถือโคมนำหน้าพาเขาเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง เสียงคนในงานเลี้ยงห่างออกไปจากประสาทการรับรู้เรื่อย ๆ
“ใต้เท้าหานให้ข้ามารอเพียงคนเดียวหรือ” ถานอวิ๋นซีถามถึงเหตุผลที่บ่าวชายผู้นี้ไปเชิญเขาแยกตัวออกมาจากงานเลี้ยง
“ขอรับท่านแม่ทัพ บ่าวเพียงแค่รับคำสั่งมา จึงไม่รู้ว่าเป็นธุระในข้อใดขอรับ”
“อืม ข้ารู้แล้ว นำทางไปเถิด”
ในที่สุดบ่าวรับใช้ก็พาแม่ทัพหนุ่มมาถึงสุดทางเดินซึ่งเป็นที่นัดหมาย ผลักประตูห้องเปิดอำนวยความสะดวกให้ แล้วค้อมกายลงอย่างนอบน้อม “เชิญท่านแม่ทัพเข้าไปรอข้างในก่อนขอรับ บ่าวจะไปยกน้ำชามาให้”
เมื่อถานอวิ๋นซีก้าวเข้าไป บ่าวชายก็ปิดประตูตามหลังในทันใด ภายในห้องนั้นมีตะเกียงให้แสงสว่างเพียงดวงเดียว เขาจึงเห็นสิ่งของภายในห้องไม่ชัดเจนนัก แต่กลิ่นหอมบางอย่างกลับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่นานนักถานอวิ๋นซีก็รู้สึกว่าเลือดลมภายในกายเขาเริ่มพลุ่งพล่าน และมันรุนแรงมากขึ้นจนเขาทนไม่ไหว จึงนั่งลงที่เก้าอี้เพื่อระงับเอาไว้และหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร สองมือที่จับโต๊ะไว้สั่นเทาไม่หยุด
‘ยาปลุกกำหนัด!’
เมื่อรู้ตัวแล้วเขาจึงรีบโคจรลมปราณเพื่อสลายฤทธิ์ยา แต่กลายเป็นว่ายิ่งทำให้ความต้องการทางราคะเพิ่มมากขึ้นเสียอย่างนั้น แม้จะสมองจะเริ่มมึนงง แต่สติส่วนหนึ่งบอกว่ากลิ่นหอมในห้องนี้ต้องเป็นตัวช่วยกระตุ้นยาปลุกกำหนัดในตัวเขาให้ออกฤทธิ์
แล้วยามาจากที่ใดเล่า ในเมื่อเขาดื่มแค่...
สุรา!
ตอนนั้นเองร่างหนึ่ง ก็ก้าวจากเงามืดมายืนตรงหน้าเขา เป็นเรือนร่างและใบหน้าที่เห็นจนชินตามาหลายปี หานลั่วอิง!
“เจ้า...จะทำอะไร”
“ข้าใช้ธูปราคะกับท่าน”
หานลั่วอิงตอบตามตรง แววตาสงบนิ่งอย่างคนคิดมาดีแล้ว
“เลวทรามเหลือเกิน! สตรีอย่างเจ้าไม่สมควร...เกิดมาในตระกูลสูงจริง ๆ การกระทำต่ำช้าสวนทางกับชาติกำเนิดนัก”
ถานอวิ๋นซีพยายามไม่หันไปมองสตรีที่เขาเกลียดชัง แต่นิ้วมือเรียวของหานลั่วอิงกลับจับปลายคางคมสันให้หันมาอย่างช้า ๆ หากเป็นก่อนหน้านี้ หานลั่วอิงไม่มีทางเข้าใกล้ถานอวิ๋นซีได้เด็ดขาด แต่ตอนนี้นางใช้แค่เพียงฝ่ามือเดียว ร่างกายของเขาก็พลันอ่อนแรงแล้ว
“ข้าเลวแล้วอย่างไร ใช่...ข้าทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ท่านเป็นของใคร”
“หานลั่วอิง เจ้าคือสตรีที่น่ารังเกียจที่สุด ข้าขอยอมตายดีกว่าต้องสัมผัสเจ้า จำเอาไว้ว่าเจ้าจะไม่มีวันได้หัวใจของข้าไป!”
ถ้อยคำที่ได้ยินทำให้หานลั่วอิงเจ็บปวดไม่น้อย แต่ในเมื่อนางไม่มีทางให้เดินกลับแล้ว อย่างไรก็ต้องเดินไปให้สุดทาง!
มือเรียวปลดชุดผ้าไหมออกอย่างช้า ๆ ขณะที่สายตาของถานอวิ๋นซีมองด้วยความตกตะลึง เมื่อเอี๊ยมชุดในปราการด่านสุดท้ายบนเรือนร่างหล่นลงบนพื้น ผิวขาวนวลผุดผ่องก็ปรากฏสู่สายตา
ร่างเปลือยเปล่าของหานลั่วอิงนั่งลงบนตักของถานอวิ๋นซี นางใช้แขนคล้องคอของเขาไว้ ริมฝีปากบางกระซิบข้างหู
“ข้ารักท่าน...พี่อวิ๋นซี”
สติสัมปชัญญะสุดท้ายของถานอวิ๋นซีขาดสะบั้นลง เมื่อได้กลิ่นหอมจากเรือนร่างของหญิงสาว ความเนียมนุ่มที่สัมผัสกับแผ่นอก ทำให้ใบหน้าของเขาโน้มต่ำมาที่ซอกคอหอมกรุ่น แล้วไล่จูบบนบ่าเนียนมาถึงทรวงอกอวบอิ่ม ถานอวิ๋นซีที่กำลังมัวเมาอยู่กับรสสัมผัสของกายสตรี ไม่ทันได้มองประตูที่กำลังเปิดออก!
แม่ทัพหนุ่มตกหลุมพรางและอยู่ท่ามกลางหมอกควันแห่งราคะของบุตรสาวเสนาบดีเสียแล้ว
“ว้าย! พวกเจ้าทำอะไรกันนี่”
หานหนิงอันรู้สึกผิดหูกับคำเรียกขานของถานอวิ๋นซีที่เรียกพี่สาวว่า‘ลั่วอิง’ จึงหันไปมองซินจี๋ สองนายบ่าวรู้ใจกันดี แสดงละครปกปิดความผิดของตนออกมาอีกครั้งซินจี๋ชี้แจงความเท็จอย่างคล่องแคล่ว “เป็นซินจี๋ที่ไม่รู้ความ วันก่อนบ่าวมีโอกาสผ่านหอชมจันทร์อีกครั้ง ก็ไปถามเรื่องนี้เพื่อความแน่ใจ ปรากฏว่าคุณหนูใหญ่ไม่ได้ไปที่หอชมจันทร์นานมากแล้ว หญิงผู้นั้นเพียงหน้าตาคล้ายคุณหนูใหญ่ ท่านหลงจู๊บอกเช่นนั้นเจ้าค่ะ”ถานอวิ๋นซีพยักหน้ารับทราบ แม้ในใจจะรู้สึกแปลกอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่อยากคาดคั้นพวกนางสองคนอีกต่อไป นั่งค
หลังจากเหตุการณ์มีปากเสียงกันวันนั้น หานลั่วอิงก็ไม่โผล่หน้ามาให้เขาเห็นอีกเลยอาหารและยาก็ล้วนเป็นบ่าวที่ยกเข้ามา คนสั่งไม่ยอมออกหน้า เรียกได้ว่านางทำตัวห่างเหินกับเขาอย่างเปิดเผยโดยแท้ก่อนหน้านี้หานลั่วอิงเข้าครัวบ่อยครั้ง ถานอวิ๋นซีไม่ใช่ไม่รู้ถึงความจริงในข้อที่ว่าหากหานลั่วอิงรู้ว่าเขาชอบกินอะไร นางก็จะเข้าครัวไปปรุงอาหารด้วยตนเอง จนตอนนี้เขาติดรสมือของนางไปเสียแล้วยามนี้เขาไม่เห็นนางมาสองวันแล้ว แต่ก็ปากหนักไม่ยอมเอ่ยปากถามกับบ่าวรับใช้ ฝืนทนกินกับข้าวที่ไม่คุ้นลิ้นต่อไป ตอนนั้นเองที่ถานอวิ๋
สีหน้าของผู้ฟังเหมือนจะสำนึกขึ้นได้ จึงหัวเราะแก้เก้อ“ใช่! ใช่! ต้องเรียกว่าถานฮูหยิน เอาล่ะ หากข้าเจอต้นกระดิ่งสวรรค์ ก็จะนำมันมาเป็นของกำนัลให้กับถานฮูหยินอีกหลาย ๆ ต้น”หานลั่วอิงยอบกายลงแสดงความขอบคุณอย่างอ่อนน้อม ทำให้สายตาของหวังเซียวจิ้นเหม่อลอยอีกครั้ง หลังจากกลุ่มสหายทั้งหมดลากลับไปแล้ว ถานอวิ๋นซีก็ให
หานลั่วอิงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ที่เรือนส่วนตัวของตนเอง ในแต่ละวันนอกจากอ่านตำราทางการแพทย์แล้ว นางก็ไปเล่นหมากรุกกับถานอวิ๋นซีเกือบทุกวัน แต่ก่อนเขามักจะหงุดหงิดที่ต้องแพ้นาง แต่ตอนนี้ดูเป็นคนอารมณ์เย็นขึ้นมากและทุกเดือนนางต้องปลอมตัวเป็นท่านหมอหลี่ เข้ามาที่จวนตระกูลถานเพื่อฝังเข็มและจ่ายยา จากที่ในตอนแรกหน้าตาของถานอวิ๋นซีดูไม่เชื่อถือสักเท่าไหร่
ใบหน้าถานอวิ๋นซีตึงขึ้นมาทันที ขณะที่มองหานลั่วอิงเรียงตัวหมากบนกระดาน“เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าคิดว่ามีประโยชน์คืออะไร ข้าอยากรู้นัก”“การเอาเวลามาคิดช่วยเหลือชาวบ้านที่กำลังประสบภัยแล้งทางตอนใต้น่ะสิ”“เจ้าว่าอะไรนะ!” ถานอวิ๋นซีถามซ้ำอีกครั้งสุ้มเสียงแปลกใจอย่างชัดเจน ราวกับว่าคำพูดนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินจากปากของหานลั่วอิง“ตอนที่ข้าออกไปข้างนอก ได้ยินมาว่าพื้นที่ทางตอนใต้ของแคว้นนั้นเกิดเหตุภัยแล้ง แม้จะเกิดทุกปี แต่ปีนี้หนักที่สุด”หา
ทุกเช้าหานลั่วอิงจะเข้ามาดูแลถานอวิ๋นซีด้วยตนเอง ในเรื่องของของการทำความสะอาดร่างกายนางก็ปล่อยให้บ่าวชายจัดการไป ส่วนเรื่องอาหารและยารักษารวมถึงการนวดขานั้น นางยังคงทำให้เช่นเดิมในช่วงแรกนั้นถานอวิ๋นซีไม่ยอมแม้จะมองหน้านางสักนิด แต่หานลั่วอิงก็รู้เหตุผลของเขาดี นางจึงไม่ได้เซ้าซี้และทำเท่าที่ต้องทำ นอกเหนือกว่านั้นก็ไม่แสดงอาการอะไรใด







