LOGINเมื่อสายลับสาวสวยโดนระเบิดตายในภารกิจสุดท้าย ทะลุมิติมาอยู่ในร่างสตรีผอมแห้งหน้าตาอัปลักษณ์และสติไม่สมประกอบ พ่วงด้วยสามีบัณฑิตขี้โรคฐานะยากจน แล้วชีวิตสุดรันทดของนางจะรอดหรือร่วงเนี่ย!
View Moreหมู่บ้านชุนเฟิง อำเภอต้าซุน แคว้นเฉียน
"นางหน้าลาย"
"ตัวอัปลักษณ์"
"นางคนบ้า"
"นางปีศาจ"
"เป็นบ้าแล้วยังอวดดีไปให้พ้น!"
เสียงก่นด่าถากถางไม่ขาดระยะขับไล่สตรีผมกระเซิงคนหนึ่งออกไปให้พ้นอาณาเขตบ้านของพวกเขา เหล่าสตรีในหมู่บ้านชุนเฟิงของเมืองต้าซุน หมู่บ้านชนบทห่างไกลความเจริญตั้งอยู่บริเวณตีนเขาชุนเฟิง
พวกนางมักล้อเลียนจางลี่อิงเป็นประจำ ด้วยความที่เด็กสาววัยสิบห้าปีมีสติไม่สมประกอบ อีกทั้งมีใบหน้าเป็นด่างดวงกระจายเต็มแก้มทั้งสองข้าง จึงมักเป็นที่รังเกียจของผู้พบเห็น นางชอบถูกพวกเด็กๆ และหญิงสาวชาวบ้านที่ไม่ค่อยชอบหน้ากลั่นแกล้งหรือทุบตีเป็นประจำ เพราะสติไม่ดีนางจึงพูดจาไปเรื่อยเปื่อยไม่รู้จักมารยาททั้งบางครั้งยังอวดดี เห็นแก่ตัวขี้โวยวายและไร้น้ำใจ
"ไล่มันไปที่ท่าน้ำ"
กลุ่มเด็กอันธพาลวิ่งไล่กวดนางถือไม้ในมือไล่ตีสนุกสนานราวกับไล่ลูกสุนัข พวกเขาเล่นสนุกอย่างนี้ทุกคราวที่พบเจอจางลี่อิง ยามได้เห็นหน้านางเหมือนเห็นลาโง่ตัวหนึ่งเพราะนางชอบวิ่งหนีไม่สู้คนจึงถูกเด็กกลุ่มนี้แกล้งไม่เว้นแต่ละวัน ครั้งนี้ก็เช่นกันนางเกิดอาการตื่นกลัวคลุ้มคลั่งวิ่งเตลิดเปิดเปิงไปจนถึงท่าน้ำ หยุดยืนมองอย่างหมดหนทาง มีทางเดียวที่ทำได้คือหันกลับมาชี้หน้ากลุ่มเด็กด้วยมือไม้สั่นเทา
"พวกเจ้า ถอยไปนะ"
พวกเขาไม่สนใจถือไม้เดินเข้ามาใกล้ๆ หวังแกล้งนางต่อ จางลี่อิงวิ่งขึ้นไปบนสะพานท่าน้ำที่เป็นหนทางสุดท้ายนางหันกลับหมายยกมือเตรียมฟาดโต้ตอบกลุ่มเด็กเกเร อนิจจากลับสะดุดขาตัวเองเสียหลักลื่นล้มตกลงไปในแม่น้ำจมหายไปอย่างง่ายดาย
"ทำอย่างไรดี เจ้าไปเรียกผู้ใหญ่มาช่วยเร็ว"
หัวหน้ากลุ่มที่เป็นเด็กวัยสิบสามขวบสั่งเด็กที่คาดว่าเป็นลูกสมุนอีกสองคน เขาตกใจกลัวไม่คิดว่านางคนบ้าจะพลัดตกลงไปได้ง่ายๆ แล้วตอนนี้ยังหายเงียบอีก
ภายใต้ท้องน้ำที่เย็นยะเยือกร่างหญิงสาวแน่นิ่งพลันกระตุกลืมตาขึ้น นางตะเกียกตะกายว่ายให้พ้นผิวน้ำ ในที่สุดศีรษะก็โผล่พ้นขึ้นมาได้ ผู้คนมากมายแตกตื่นอยู่บนสะพานท่าน้ำเตรียมตัวช่วยกัน แต่เมื่อเห็นนางโผล่ขึ้นมาและว่ายน้ำไปที่ฝั่งก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านโดยไม่สนใจไยดีอีก
จางลี่อิงนั่งเหนื่อยหอบอยู่ตรงท่าน้ำใกล้กับสะพาน นึกแปลกใจว่าเหตุใดชาวบ้านพวกนี้แต่งตัวน่าประหลาดนัก นางจำได้ว่ากำลังกู้ระเบิดอยู่ในอาคารแล้วก็เกิดระเบิดเสียงดังสนั่นในภารกิจสุดท้ายของสายลับที่ตั้งใจจะวางมือหลังจบงานนี้ แล้วอย่างไรกันตอนนี้มาโผล่ที่คุ้งน้ำกลางตีนเขากว้างใหญ่ได้อย่างไร จากลี่อิงเริ่มปวดหัวรุนแรงขึ้นมาทันใด ความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาทำให้นางปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้านทานไม่ไหวล้มลงสลบไปตรงนั้นอีกครั้ง
ลมหนาวพัดโชยปะทะผิวกายผอมบางความหนาวเย็นเยียบชาไปถึงกระดูก นั่นเป็นเพราะเสื้อผ้าเปียกน้ำชุ่มโชก ความรู้สึกหนาวเหน็บปลุกนางให้ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบร้างไร้ผู้คนบริเวณนั้น ก่อนกลับบ้านจึงอยากล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นเสียก่อน
"ผะ...ผีหลอก"
เพียงก้มลงมองเงาสะท้อนบนผิวน้ำก็ทำให้นางตกใจกลัวจนสะดุ้ง เด็กสาวหน้าตาซูบเซียวมีรอยด่างดำอยู่บนสองแก้มดูอัปลักษณ์ยิ่งนัก ผมเผ้าฟูฟ่องกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง มองดูแขนลีบเล็กตัวบางผอมราวกับคนขาดสารอาหารมาชั่วชีวิต ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือนางจริงๆ ใช่หรือไม่ จางลี่อิงย้อนคิดถึงความเป็นไปได้ คาดว่านางตายไปแล้วทะลุมิติมายังโลกยุคที่ไม่มีในประวัติศาสตร์
สตรีอายุสามสิบสองปีทั้งสวยสง่ามีความมั่นใจเปี่ยมล้นและดูดีทั้งภายนอกภายใน ใบหน้าสวยหวานดั่งซุปเปอร์สตาร์นางแบบอะไรเทือกนั้น กลับกลายมาเป็นเด็กสาวสติไม่สมประกอบที่กำลังถูกเด็กเกเรรังแก นี่มันเรื่องบ้าบอชัดๆ นางคิดไปพลางยกมือขึ้นรวบผมเกล้าเป็นมวยเรียบร้อยล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น น้ำก็เย็นเฉียบจนไม่อยากแตะต้องแต่ก็อดทนกวักไปสองสามทีให้ดูดีกว่านี้แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็ยังดีกว่ามอมแมมเช่นนี้
จางลี่อิงบุตรสาวของตระกูลจางพ่อเป็นบุตรชายคนที่สามตายจากไปแล้ว ท่านปู่ของนางชื่อว่าจางเหวิน เป็นคนจิตใจเข้มแข็งสู้ชีวิตอดทนเก่งเป็นคนมีเหตุผล ท่านย่าชื่อแม่นางเหลียว อุปนิสัยละโมบโลภมาก ปากร้ายชอบกดขี่ลูกหลาน มองผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก
ท่านปู่ท่านย่าของนางมีบุตรสามคนประกอบด้วย ลุงใหญ่ที่มีตำแหน่งเป็นซิ่วไฉ เป็นหน้าเป็นตาของตระกูลจาง แต่งงานกับแม่นางมู่ มีบุตรชายด้วยกันสองคนคือ จางเยว่อายุยี่สิบสองปีและจางเซียวเย่ อายุยี่สิบปี ทั้งคู่ต่างเป็นบัณฑิตร่ำเรียนในสำนักศึกษาชื่อดัง
คนต่อมาลุงรองแต่งงานกับแม่นางจินมีลูกชายคนโตชื่อจางเจี๋ยเฟย อายุสิบแปดปีเรียนในสำนักศึกษาเดียวกันกับลูกชายลุงใหญ่ คนต่อมาเป็นบุตรสาวชื่อจางเยี่ยนเอ๋อร์ อายุสิบหกปีที่ทางตระกูลจางกำลังมองหาคู่แต่งงานให้เป็นบัณฑิตในสำนักศึกษาของพี่ชาย เขาเป็นบุตรชายตระกูลซูนามว่าซูจิ้นเฟยอายุสิบแปดปี
บิดาของนางเป็นบุตรชายคนที่สามที่พ่อแม่ไม่ค่อยให้ความสำคัญเพราะเขามีลูกสาวสติไม่ดีโง่เขลาเบาปัญญามาตั้งแต่เด็ก ถึงนางจะถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรักของพ่อแม่แต่คนอื่นๆ ในตระกูลกลับตั้งแง่รังเกียจ เมื่อนางยังเล็กบิดาเจอโรคระบาดใหญ่ติดเชื้อจนเสียชีวิตส่วนมารดาที่เลี้ยงดูนางเพียงลำพังได้ไม่นานก็เป็นโรคไข้ป่าตายหลังจากนั้น
คนในตระกูลของนางเชื่อว่าจางลี่อิงเป็นตัวกาลกิณีที่นอกจากอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแล้วยังทำให้พ่อแม่ตายจาก นางเกิดมาเพื่อทำให้ตระกูลจางมัวหมอง จึงถูกเลี้ยงทิ้งขว้างให้อดๆ อยากๆ จนผอมแห้งแรงน้อย วันๆ ไม่ได้ทำการงานใดนอกจากหาบน้ำผ่าฟืนซึ่งเป็นงานหนักที่ทำแทนบุตรชายของลุงใหญ่และลุงรอง พวกเขาไม่ต้องทำงานใดนอกจากท่องตำรา งานหนักเยี่ยงกรรมกรจึงตกอยู่ที่นางเพียงคนเดียว ครั้นให้นางทำงานอื่นก็ทำไม่รอด สมองจัดความคิดให้เป็นระบบระเบียบไม่ได้
ตระกูลจางเดิมทียากจนแต่เพราะคุณลุงใหญ่สอบได้เป็นซิ่วไฉจึงมีหน้ามีตาขึ้นมาเล็กน้อยประกอบกับมีที่ดินมากจึงขายได้เงินมามากและเหลือส่วนหนึ่งเอาไว้ต่อชีวิตพวกเขาจึงลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้ ส่วนท่านปู่ของนางก็เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานเพราะโรคในท้อง ท่านปู่เป็นสมาชิกในครอบครัวเพียงคนเดียวที่ยังพอมีความเมตตาแก่นางบ้าง แต่กลับมาล้มหายตายจากไปอีกคน ยิ่งทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวอัปมงคลโดยแท้"ขอโทษที่ข้ามาช้า นั่นเจ้าทำอะไรหรือ"นางวางตะกร้าลงได้กลิ่นอาหารลอยมาตั้งแต่หน้าบ้านรีบวิ่งปรู้ดเข้าไปดูในครัวเขายืนมือไพล่หลังอยู่ใกล้ๆ บอกนางจะได้ไม่ต้องรีบร้อนเพราะเขา"ไม่เป็นไรเจ้ากลับมาเหนื่อยๆ จะได้กินเลย ข้าตุ๋นเห็ดตากแห้งกับทำหมั่นโถวเอาไว้"เขายิ้มน้อยๆ ให้นางรอยยิ้มดูเป็นมิตรดีแต่ก็ยังแฝงไว้ซึ่งความเย็นชาเหมือนเดิม จบคำพูดเขาก็ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก"เสร็จหรือยัง มาข้าช่วย"นางกุลีกุจอช่วยตักออกจากหม้อสำหรับสองที่ ยกชามเห็ดตุ๋นร้อนๆ กับหมั่นโถวมาวางบนโต๊ะ เขาทำเอาไว้ทั้งหมดหกลูกสำหรับกินหลายวัน"หมั่นโถวนี่กินได้กี่วัน"นางสงสัยเพราะมีอาหารหลายอย่างให้เลือกวัตถุดิบในบ้านก็ไม่ขาดแคลนแล้ว"ข้ากินมื้อละหนึ่งลูก นอกนั้นเอาไว้ให้เจ้าพกติดตัวยามหิวตอนขึ้นเขาและไปตลาด"เขาทำเผื่อนางไว้กินแก้หิวกลางทาง จางลี่อิงกล่าวขอบคุณเขา พลันใบหน้าซีดเซียวก็แดงเรื่อขึ้นมาไม่มีสาเหตุ กินข้าวเสร็จเก็บครัวเรียบร้อยนางก็เอาของไปเก็บทำความงานบ้านเสร็จหมดทุกอย่างนางนึกขึ้นได้ไปหยิบถุงเงินมาไว้กับตัว ช่วงค่ำนางเข้าไปในห้องของจิ่นฟานอวี้ขอรบกวนเวลาเขาสักครู่ มือผอมบางล้วงถุงเงินออกมานับยื่นให้เขาห้าสิบตำ
"ใช่แล้วข้าจะเอาไว้กินแล้วก็เอาไว้ขายด้วย"นางยิ้มร่าเริงมือผอมบางเขี่ยเมล็ดผักที่แช่น้ำในกระป๋องไปมา จิ่นฟานอวี้เห็นดังนั้นก็ขอมาหนึ่งกระป๋องถกแขนเสื้อเตรียมลงมือ"ข้าช่วยปลูก"เขาบอกกับนางพลางเดินไปอีกแปลง"แต่ว่าเจ้าต้องอ่านหนังสือ"นางเกรงใจเขาอยากให้ใช้เวลานี้ตักตวงความรู้ให้เต็มที่เตรียมความพร้อมสำหรับการสอบส่วนงานสวนนี้นางจะจัดการเอง"ไม่เป็นไรข้าอยากช่วย"เขาเอ่ยขึ้นสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดแล้วลงมือปลูกผัก นางเห็นเขาอยากช่วยก็ไม่อยากพูดพร่ำเพรื่อลงมือปลูกอีกแปลงแปลงผักสิบแปลงมีผักอยู่หกชนิด จางลี่อิงและจิ่นฟานอวี้ปลูกผักเสร็จเขาก็ล้างมือกลับเข้าห้องอ่านหนังสือต่อ ส่วนนางก็รดน้ำจนเสร็จเอาหญ้าแห้งที่เก็บมาด้วยคลุมแล้วปิดรั้วเอาไว้จางลี่อิงเตรียมตัวเอาเห็ดตากแห้งไปขายที่ตลาด เช้าวันรุ่งขึ้นนางรีบไปแต่เช้าก่อนตลาดจะวาย เส้นทางลัดหากอยากไปให้ถึงเร็วขึ้นจะมีซอกซอยเล็กแคบอยู่เส้นหนึ่งแต่ผู้คนไม่สัญจรเพราะค่อนข้างเสี่ยงอันตราย มักมีขอทานหรือโจรและพวกอันธพาลหนีการจับกุมของมือปราบมาซ่อนตัวดักปล้นคนผ่านไปผ่านมาบ่อยๆแต่ก็เป็นเส้นทางเดียวที่ช่วยย่นระยะเวลาไปถึงตลาดได้เร็วขึ้น นางเดินไปถ
"ท่านเลี้ยงข้ามาอย่างไรก็รู้อยู่แก่ใจ ตอนแต่งงานก็ไม่ได้มีเงินขวัญถุงมาให้ตั้งตัว สามีที่ท่านยัดเยียดให้ข้า บีบบังคับจิตใจเขามาแล้วไล่เราออกจากตระกูลแยกบ้านให้ ก็รู้ๆ อยู่ว่าเขาป่วยกำพร้าพ่อแม่ไม่มีเงินให้ แต่พวกท่านก็ยอมรับแล้วนี่ว่าเขายากจนแล้วจะรีดไถกันได้ ไม่เรียกว่าอำมหิตจะให้เรียกว่าอย่างไร"นางร่ายยาวเท้าความหลังเวลานี้ย่าเหลียวไม่อายนางก็ไม่อายเช่นกัน ผู้คนที่มุงดูต่างส่งเสียงฮือฮา ถึงบางคนจะรู้เรื่องของนางแต่เรื่องแต่งงานพวกเขาเพิ่งรู้ความจริงว่านางถูกบีบออกจากตระกูลโดยการแต่งงาน"บ้านกับที่ดินข้าก็ยกให้แล้วเจ้ายังเนรคุณด่าข้าอีก น่าน้อยใจนัก" ย่าเหลียวเล่นบทบาทตัดพ้อเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ ตีสีหน้าเศร้าสร้อยป้าสะใภ้รองกระตุกแขนของย่าเหลียวมองดูสายตาคนในหมู่บ้านนางก็รู้สึกหวาดหวั่นแต่ย่าเหลียวไม่สนใจยังหมายมั่นเอาชนะต่อไป"มันคือส่วนของพ่อแม่ข้าต่างหากที่จริงท่านควรแบ่งให้มากกว่านี้ แต่ตระกูลจางก็เจียดมาให้ข้าเท่านี้คิดบ้างหรือไม่ หากท่านตายไปจะบอกท่านปู่ว่าอย่างไรทำเช่นนี้ไม่ถือว่าลำเอียงกับข้าหรอกรึ เทียบกับลูกหลานคนอื่นนับว่าท่านใจดำกับข้าที่สุด"จางลี่อิงไม่ยอมแพ้วันนี้ขาด
นับตั้งแต่แต่งงานเข้ามาในตระกูลจางจิ่นฟานอวี้นอกจากต้องจ่ายเงินคนในตระกูลแล้วยังต้องตามแก้ปัญหาของจางลี่อิงจนแทบไม่มีสมาธิอ่านหนังสือคัดอักษร แต่เขาก็อดทนอดกลั้นไม่พูดไม่จานางทั้งเห็นแก่ตัวกับเขาทั้งออกไปมีเรื่องกับคนอื่นทุกวันทั้งโดนรังแกมา ทั้งไปรังแกผู้อื่นตามกลุ่มอันธพาล สุดท้ายก็ถูกกลั่นแกล้งมีบาดแผลบ่อยๆ กิริยาหยาบคายไม่สนใจครอบครัว ขี้เกียจอาบน้ำ ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง อย่างที่บอกว่าทำได้เพียงผ่าฝืนและหาบน้ำที่ไม่ค่อยสำเร็จนางไม่ได้ชอบเขามาตั้งแต่แรกเห็นแล้วเพราะเขาขี้โรคผอมแห้งดูเหมือนผีในสายตาของนาง ช่วงหลังได้เจอกับพ่อค้าขายผ้ากลับทำให้หลงใหลในความหน้าตาดี คอยวิ่งตามเกวียนขายผ้าทุกครั้งที่เข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านต้องคอยลากกลับบ้าน พอไม่ได้ดั่งใจก็โวยวายตีตัวเองหยิกเนื้อจนได้แผลบ่อยครั้ง เพื่อนบ้านต่างเอือมระอาแทนจิ่นฟานอวี้กับพฤติกรรมที่น่าอับอายของนางแต่เพราะจิ่นฟานอวี้ชอบช่วยเหลือเอื้อเฟื้อชาวบ้านพวกเขาจึงยังทำดีกับครอบครัวนางมาตลอด ครั้งนี้ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปราวพลิกฝ่ามือ นางดูสงบเสงี่ยมรู้จักทำมาหากินเอาใจใส่สามี คนในหมู่บ้านที่เคยซุบซิบนินทาต่างแปลกใจเมื่อเห็นนางยิ้มร่าเร

















