LOGINหานลั่วอิงทำทีผละออกจากอ้อมกอดของถานอวิ๋นซีด้วยท่าทางตื่นตกใจ นางรวบเสื้อผ้าตนเองขึ้นมากอดไว้ พยายามซุกกายเข้าไปในความมืดที่แสงตะเกียงส่องเข้าไปไม่ถึง แล้วเปล่งเสียงร้องไห้ออกมา
ไฉ่หงปราดเข้ามาหาคุณหนูของตนทันที ทั้งนายและบ่าวตระเตรียมทุกอย่างมาล่วงหน้า ในใจยังนึกหวาดหวั่นจากการกระทำนี้ กระนั้นก็กล่าวได้ว่าพวกนางไม่มีพิรุธใด และแสดงได้สมบทบาทจนไร้คนสงสัย
“ท่านแม่ทัพถาน ท่าน...ท่านล่วงเกินคุณหนูใหญ่!”
เป็นไฉหงที่ร้องประนามเสียงดังอย่างจงใจ สาวใช้มีน้ำตาไม่ต่างจากผู้เป็นนายสักเท่าไหร่ แน่นอนว่าเสียงประนามของไฉหงช่วยส่งข่าวลือฉาวโฉ่ของบุตรีคนโตมหาเสนาบดีหานออกไปนอกห้องเสียแล้ว
ถานอวิ๋นซีแทบจะฟื้นคืนสติกลับมาได้จากอารมณ์มึนเมาในรสสวาททันที เขายกกาน้ำชาขึ้นมากรอกปากพลางใช้น้ำชาล้างใบหน้า
ขณะที่บรรดาฮูหยินของขุนนางที่มาร่วมงานวันนี้ค่อย ๆ ทยอยก้าวเข้ามาในห้องอย่างไม่เข้าใจนัก ก่อนที่สีหน้าของแต่ละคนจะตกตะลึงไปไม่ต่างกัน เมื่อเห็นว่าตนกำลังเป็นพยานในเหตุการณ์เสื่อมเสีย
แม้จะรู้ว่าหานลั่วอิงไม่ใช่สตรีในห้องหอ แต่อย่างไรนางก็ไม่ควรถูกดูหมิ่นเกียรติแล้วไม่ได้รับการชดใช้เช่นนี้ ความเห็นใจของสตรีที่มีต่อกันทำให้มีฮูหยินสองคนเข้าไปช่วยกอดปลอบใจหานลั่วอิง โดยไม่ได้พูดอะไรให้นางบอบช้ำไปมากกว่าเดิม
โคมไฟที่บ่าวไพร่ส่องเข้ามาเผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำของถานอวิ๋นซี เขาดูเกรี้ยวกราด ตรงข้ามกับหานลั่วอิงที่ดูน่าสงสาร ภาพความขัดแย้งทางอารมณ์นี้ยิ่งทำให้เหล่าฮูหยินสับสนระคนไม่เข้าใจ
เป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดจากความตั้งใจ ในขบวนของเหล่าฮูหยินนั้นมีฮูหยินของเจ้ากรมพิธีการเดินนำหัวขบวนมา หัวไม่ต่างจากหาง อุดมการณ์ของสามีเป็นอย่างไร ภรรยาย่อมยึดถือเช่นนั้น นางรีบแก้ไขสถานการณ์ด้วยการสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด
“ให้บ่าวสตรีมาช่วยคุณหนูใหญ่สกุลหานแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วให้คนไปแจ้งแก่ใต้เท้าหานอย่างลับ ๆ ว่าให้มาที่นี่ด่วนที่สุด!
-----
แสงไฟในห้องไม่มืดสลัวอีกแล้ว สติของถานอวิ๋นซีก็เช่นกัน เมื่อได้ดื่มน้ำสะอาดไปหลายอึกเขาก็ระงับอารมณ์จากยาปลุกกำหนัดได้ ความจริงต่อให้ไม่ดื่มอะไรเข้าไปเพิ่ม ถานอวิ๋นซีก็ไม่มีอารณ์ใดอื่นอีกทั้งสิ้น นอกจากคำสาปแช่งก่นด่า และสายตาอาฆาตที่ประกาศความเกลียดชังของเขา
ยามนี้ภายในห้องมีคนมาไม่น้อย คนสำคัญเป็นมหาเสนาบดีหานจงที่นั่งหน้าขรึม และเจ้ากรมพิธีการกับฮูหยินนั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง หานลั่วอิงที่กำลังร้องไห้นั่งอยู่ด้านในสุดของห้อง ทางด้านประตูทางออกมีหานหนิงอันยืนอยู่กับเถียนซื่อผู้เป็นมารดา สีหน้าของสตรีทั้งสองนางซีดขาว
มหาเสนาบดีหานจงเลือกที่จะเงียบเอาไว้ เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นพูดอย่างไรดี หานจงกำลังเสียใจในฐานะบิดา ทั้งในฐานะบิดาของหานลั่วอิงและหานหนิงอัน ด้วยว่าเรื่องเสื่อมเสียนี้เกิดขึ้นกับบุตรสาวสุดที่รักของเขา ส่วนคู่กรณีก็เป็นว่าที่ลูกเขยในภายภาคหน้าของเขาอีกด้วย
ฮูหยินของเจ้ากรมพิธีการประเมินสถานการณ์แล้ว ตัวนางก็นับได้ว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ทั้งยังเป็นสตรีที่เคยรับมือกับเรื่องราวเสื่อมเสียมาไม่น้อยตามตำแหน่งของสามีที่เคร่งครัดพิธีการ จึงเป็นผู้เอ่ยปากก่อน
“ข้าและฮูหยินคนอื่น ๆ รู้สึกอยากรับลมจึงขอให้สาวใช้ในจวนของใต้เท้าพามาด้านนอกงานเลี้ยง พูดคุดคุยกันสักหน่อย ปล่อยให้บุรุษสังสรรค์กันไป แต่ในขณะที่พวกเราพูดคุยกันว่าอยากเข้าไปนั่งพักขา สาวใช้ก็เปิดประตูห้องนั้น แล้วก็...เป็นอย่างที่ใต้เท้าหานได้รับรู้”
ไม่สำคัญหรอกว่าหานลั่วอิงเป็นอย่างไร สำคัญที่ว่ามีคนร่วมรู้เห็นไปเสียแล้ว และความจริงไม่ว่าจะมีหรือไม่มี อย่างไรก็ต้องมีคนรับผิดชอบในเรื่องที่เกิดขึ้น แม้จะปักธงมั่นในใจแล้ว แต่ฮูหยินเจ้ากรมพิธีการก็ไม่กล้าแสดงออกมากนัก นางจึงเงียบไปเพียงชั่วครู่ ก่อนจะพูดโน้มน้าวอย่างอดปากไม่ได้ “ในเมื่อเกิดเรื่องราวแล้ว จะเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ต้องทำสิ่งที่สมควรเพื่อรับผิดชอบการกระทำ”
ใบหน้าเคร่งเครียดของมหาเสนาบดีหานจงหันไปมองทางถานอวิ๋นซี เขาเข้าใจความหมายในวาจาของฮูหยินเจ้ากรมพิธีการ ท้ายที่สุดหานจงก็พูดประโยคที่ยากยิ่งออกมาได้ โดยไม่เหลือบมองบุตรสาวคนเล็กเลยสักนิด
“แม่ทัพถาน อย่างไรแซ่หานและแซ่ถานก็ไม่นับว่าเป็นคนอื่นคนไกล พวกเรามีสัมพันธ์ดีต่อกันยิ่งกว่าญาติสนิทด้วยซ้ำไป หากท่านเป็นลูกผู้ชาย ก็จงแสดงความผิดชอบด้วยการแต่งงานกับหานลั่วอิงเสีย ส่วนเรื่องหมั้นหมายระหว่างแม่ทัพถานกับหานหนิงอัน ถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน”
หานหนิงอันเข่าทรุดลงทันที ใบหน้านางซีดเผือด เพราะนางหวังว่าต่อไปจะได้เชิดหน้าชูตาเป็นฮูหยินแม่ทัพ ไม่ต้องทนเป็นรองหานลั่วอิงอยู่ที่จวนนี้ต่อไป คู่หมั้นเป็นเพียงความหวังเดียวของนาง หากแต่ก็เป็นอีกครั้งที่หานลั่วอิงพรากจากไป
แต่ตอนนี้...
ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
หานหนิงอันคงไม่ใช่คนแซ่หานที่มีบิดาชื่อหานจงกระมัง บิดาจึงได้ทำราวกับว่าชิงชังนางออกคำสั่งประกาศิต ตัดสินชีวิตของหานหนิงอันเพื่อหานลั่วอิง!
ถานอวิ๋นซีก้มหน้าลง สองมือหยาบกร้านกำแน่น จำต้องจำยอมด้วยความแค้นใจ “ผลจากการกระทำเที่ยงธรรม ไม่อาจเมินเฉย กระทำสิ่งใดลงไปแล้วย่อมพร้อมที่จะรับผล”
หานลั่วอิงและสาวใช้แอบสบตากันแล้วเผลอยิ้มออกมา เสียงร้องไห้ก็เบาลงเรื่อย ๆ จังหวะนั้นเองที่สายตาของหานหนิงอันหันไปเห็นพอดี
‘หานลั่วอิง! ที่แท้นี่เป็นแผนการของเจ้า ข้าขอสาบานต่อฟ้าดินว่าจะตามจองล้างจองผลาญเจ้าตลอดไป!’
-----
หานหนิงอันรู้สึกผิดหูกับคำเรียกขานของถานอวิ๋นซีที่เรียกพี่สาวว่า‘ลั่วอิง’ จึงหันไปมองซินจี๋ สองนายบ่าวรู้ใจกันดี แสดงละครปกปิดความผิดของตนออกมาอีกครั้งซินจี๋ชี้แจงความเท็จอย่างคล่องแคล่ว “เป็นซินจี๋ที่ไม่รู้ความ วันก่อนบ่าวมีโอกาสผ่านหอชมจันทร์อีกครั้ง ก็ไปถามเรื่องนี้เพื่อความแน่ใจ ปรากฏว่าคุณหนูใหญ่ไม่ได้ไปที่หอชมจันทร์นานมากแล้ว หญิงผู้นั้นเพียงหน้าตาคล้ายคุณหนูใหญ่ ท่านหลงจู๊บอกเช่นนั้นเจ้าค่ะ”ถานอวิ๋นซีพยักหน้ารับทราบ แม้ในใจจะรู้สึกแปลกอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่อยากคาดคั้นพวกนางสองคนอีกต่อไป นั่งค
หลังจากเหตุการณ์มีปากเสียงกันวันนั้น หานลั่วอิงก็ไม่โผล่หน้ามาให้เขาเห็นอีกเลยอาหารและยาก็ล้วนเป็นบ่าวที่ยกเข้ามา คนสั่งไม่ยอมออกหน้า เรียกได้ว่านางทำตัวห่างเหินกับเขาอย่างเปิดเผยโดยแท้ก่อนหน้านี้หานลั่วอิงเข้าครัวบ่อยครั้ง ถานอวิ๋นซีไม่ใช่ไม่รู้ถึงความจริงในข้อที่ว่าหากหานลั่วอิงรู้ว่าเขาชอบกินอะไร นางก็จะเข้าครัวไปปรุงอาหารด้วยตนเอง จนตอนนี้เขาติดรสมือของนางไปเสียแล้วยามนี้เขาไม่เห็นนางมาสองวันแล้ว แต่ก็ปากหนักไม่ยอมเอ่ยปากถามกับบ่าวรับใช้ ฝืนทนกินกับข้าวที่ไม่คุ้นลิ้นต่อไป ตอนนั้นเองที่ถานอวิ๋
สีหน้าของผู้ฟังเหมือนจะสำนึกขึ้นได้ จึงหัวเราะแก้เก้อ“ใช่! ใช่! ต้องเรียกว่าถานฮูหยิน เอาล่ะ หากข้าเจอต้นกระดิ่งสวรรค์ ก็จะนำมันมาเป็นของกำนัลให้กับถานฮูหยินอีกหลาย ๆ ต้น”หานลั่วอิงยอบกายลงแสดงความขอบคุณอย่างอ่อนน้อม ทำให้สายตาของหวังเซียวจิ้นเหม่อลอยอีกครั้ง หลังจากกลุ่มสหายทั้งหมดลากลับไปแล้ว ถานอวิ๋นซีก็ให
หานลั่วอิงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ที่เรือนส่วนตัวของตนเอง ในแต่ละวันนอกจากอ่านตำราทางการแพทย์แล้ว นางก็ไปเล่นหมากรุกกับถานอวิ๋นซีเกือบทุกวัน แต่ก่อนเขามักจะหงุดหงิดที่ต้องแพ้นาง แต่ตอนนี้ดูเป็นคนอารมณ์เย็นขึ้นมากและทุกเดือนนางต้องปลอมตัวเป็นท่านหมอหลี่ เข้ามาที่จวนตระกูลถานเพื่อฝังเข็มและจ่ายยา จากที่ในตอนแรกหน้าตาของถานอวิ๋นซีดูไม่เชื่อถือสักเท่าไหร่
ใบหน้าถานอวิ๋นซีตึงขึ้นมาทันที ขณะที่มองหานลั่วอิงเรียงตัวหมากบนกระดาน“เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าคิดว่ามีประโยชน์คืออะไร ข้าอยากรู้นัก”“การเอาเวลามาคิดช่วยเหลือชาวบ้านที่กำลังประสบภัยแล้งทางตอนใต้น่ะสิ”“เจ้าว่าอะไรนะ!” ถานอวิ๋นซีถามซ้ำอีกครั้งสุ้มเสียงแปลกใจอย่างชัดเจน ราวกับว่าคำพูดนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินจากปากของหานลั่วอิง“ตอนที่ข้าออกไปข้างนอก ได้ยินมาว่าพื้นที่ทางตอนใต้ของแคว้นนั้นเกิดเหตุภัยแล้ง แม้จะเกิดทุกปี แต่ปีนี้หนักที่สุด”หา
ทุกเช้าหานลั่วอิงจะเข้ามาดูแลถานอวิ๋นซีด้วยตนเอง ในเรื่องของของการทำความสะอาดร่างกายนางก็ปล่อยให้บ่าวชายจัดการไป ส่วนเรื่องอาหารและยารักษารวมถึงการนวดขานั้น นางยังคงทำให้เช่นเดิมในช่วงแรกนั้นถานอวิ๋นซีไม่ยอมแม้จะมองหน้านางสักนิด แต่หานลั่วอิงก็รู้เหตุผลของเขาดี นางจึงไม่ได้เซ้าซี้และทำเท่าที่ต้องทำ นอกเหนือกว่านั้นก็ไม่แสดงอาการอะไรใด







