"อืม"
เสียงครางแผ่วเบาของจินเยว่บ่งบอกว่าบัดนี้นางได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
"เจ้าตื่นแล้ว" ชิงหรงรีบเข้าไปประคองสหายสนิทให้ลุกขึ้นนั่ง
"ที่นี่ที่ไหน"
ดวงตาราวกวางน้อยกวาดมองรอบห้องที่ไม่คุ้นตา อันที่จริง แทบจะทุกพื้นที่ในดินแดนนี้ที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
"จวนท่านอ๋อง"
"ท่านอ๋อง... อ๊ะ! นี่ข้าออกมาจากคุกได้แล้ว"
เมื่อจำเรื่องราวก่อนหน้าได้หลันจินเยว่รีบกระโดดลงจากเตียงวิ่งรอบห้องสี่เหลี่ยมราวนกน้อยที่ได้ออกจากกรงสักที
อู่ชิงหรงมองสหายในวัยเด็กด้วยความครางแครงใจกับบุคลิกที่เปลี่ยนไปของนาง ทว่าก็แค่เปลี่ยนนิดหน่อย อย่างไรเสียเขาก็มองเห็นคนตรงหน้าเป็นเฟิ่งเยว่ซินอยู่ดี
"เสี่ยวโหรวล่ะ" ข้ามมาภพนี้ หลันจินเยว่คงมีเพียงแค่เสี่ยวโหรวผู้เดียวที่นางสนิทสนมที่สุด
"คุณหนูฟื้นแล้ว"
สาวใช้ที่เดินวนแล้ววนอีกรอคุณหนูฟื้นรีบวิ่งเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงเรียก
"ดีใจจังที่เจ้าก็ได้ออกมาด้วย"
ทั้งสองนางโผเข้ากอดกันเหมือนไม่ได้เจอกันมานาน
"ถ้าไม่ได้ท่านอ๋องและท่านรองแม่ทัพข้าคงยังคงอยู่ในคุกอันมืดอับนั้น"
พูดแล้วเหมือนเกิดใหม่ หลายวันมานี้ได้แต่หายใจเอาอากาศอันอับชื้นในคุกเข้าปอด พอได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์แล้วค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นมา
"แล้วท่านอ๋องที่ว่าอยู่ที่ไหนหรือ"
เดิมที่จินเยว่เป็นคนดีรู้จักบุญคุณคนอยู่แล้ว ต่อให้ตอนนี้นางจะอยู่ในร่างผู้อื่นก็ใช่ว่าจะลืมนิสัยตนเอง
"ท่านอ๋องทรงยุ่งเรื่องทหารอยู่ พวกเจ้าพักผ่อนที่นี่อย่างสบายใจเถอะ ส่วนเรื่องอื่นค่อยปรึกษาหาทางออกกัน"
อู่ชิงหรงมองสหายวัยเยาว์ด้วยความสงสารแกมเวทนาในโชคชะตาของนาง
ใครจะคิดเพียงแค่ชั่วข้ามคืนที่เขาไม่อยู่เพราะไปออกศึกที่ชายแดน ครั้นกลับมาจะได้ข่าวเกี่ยวกับตระกูลสหายสนิทที่เข้านอกออกในตั้งแต่เด็กบ้านแตกสาแหรกขาดเพราะข้อหากบฎแผ่นดินยักยอกเงินในคลังส่งให้ข้าศึก
ทว่างานนี้คงมิใช่เรื่องจริงเพราะเขารู้นิสัยใจคอบิดาของเฟิงเยว่ซินดีว่าเป็นคนจิตใจใฝ่ดีและตรงไปตรงมา เรื่องนี้เขาต้องสืบสาวหาความจริงเพื่อล้างมลทินให้บิดาของสหายสนิทให้ได้
"หาทางออก นี่ข้าออกจากคุกแล้วยังมีโอกาสได้กลับเข้าไปอีกเหรอ"
ทำไมชะตาเจ้าช่างโชคร้ายเกินไปแล้วนะเฟิงเยว่ซิน
หวังว่าการมาเกิดใหม่ที่นี่จะอยู่รอดปลอดภัยไม่หนีสือปะจระเข้ตายซ้ำอีกหนหรอกนะ!
"เจ้าไม่ต้องกังวลไป เชื่อใจข้า ข้าจะช่วยคืนความเป็นธรรมให้ท่านเจ้ากรมการคลังและตระกูลเจ้าเอง" ชิงหรงให้คำมั่นอย่างหนักแน่น
ชายผู้นี้มองดูแล้วรูปร่างสูงใหญ่น่าแกรงขามทว่าไม่ได้น่ากลัว กลับกันดูเป็นผู้ชายที่หากอยู่โลกของหลันจินเยว่คงเป็นที่ต้องการของเพศตรงข้ามจนเรียกว่าฮอตสุด ๆ
"ข้าเชื่อใจท่านได้ใช่ไหม"
อย่างน้อยการลืมตาแล้วมาโผล่ที่แห่งนี้ได้เจอคนที่เป็นมิตรด้วยก็ถือว่ายังพอมีแต้มบุญอยู่บ้าง
"เจ้าถามเหมือนไม่รู้จักนิสัยข้า"
อู่ชิงหรงจ้องลึกเข้าไปนัยน์ตาสหายรัก เขาอยากรู้ว่าเพียงเพราะการจากไปของบิดาอย่างกะทันหันเรื่องเดียวจริงหรือที่ทำให้นางจำเขาไม่ได้เช่นนี้
"อ...โอ้ย!"
"คุณหนูเป็นอะไรเจ้าคะ"
"ซินเอ๋อร์!"
"ข...ข้า ข้าปวดหัวอีกแล้ว เสี่ยวโหรวเจ้าช่วยพยุงข้าไปที่เตียงที"
งานนี้คงต้องมารยาเสียแล้วละ ก็ดูสิ อู่ชิงหรงจ้องเหมือนจะจับผิดนางขนาดนี้
"ให้ข้าตามหมอให้ไหม"
"ไม่ต้อง!"
"เจ้าดีขึ้นแล้ว?"
"โอ๊ย! ข้ายังปวดหัวอยู่เลย แต่ไม่ต้องตามหมอหรอก นอนพักสักหน่อยน่าจะดีขึ้น"
หลันจินเยว่ทำหน้าเหยเกยกมือกุมขมับเพื่อให้สมบทบาทคนปวดหัว
"งั้นเจ้าพักผ่อนต่อเถอะข้าไม่กวนแล้ว หิวไหมเดี๋ยวให้พ่อครัวทำอะไรให้เจ้ากิน"
"ไม่เป็นไร ขอบใจเจ้ามาก"
หลันจินเยว่แกล้งหลับตาลงเพื่อให้สมกับละครที่นางเล่น
"เสี่ยวโหรว ข้าถามอะไรเจ้าหน่อยสิ"
คล้อยหลังอู่ชิงหรง คนที่บอกว่าปวดหัวอยากพักผ่อนกลับลุกขึ้นนั่งเหมือนคนปกติไม่เจ็บไม่ปวดอันใด
"คุณหนูหายปวดหัวแล้วรึเจ้าคะ" เสี่ยวโหรวมองตั้งแต่หัวจดเท้าคนตรงหน้าอย่างพินิจวิเคราะห์
"หายแล้ว ๆ เจ้าอย่าสนใจเรื่องนั้นเลย"
แม้ในใจอยากจะถามอีกสักหน่อยให้มั่นใจ แต่เพราะแววตาคุณหนูนางจริงจังยิ่งนักเสี่ยวโหรวจึงไม่ไตร่ถามอันใดต่อ
"เหตุใดท่านถึง..."จำต้องกลืนคำพูดลงคอเมื่อถูกนิ้วของคนรักปิดไว้ที่ริมฝีปากไม่ให้ขยับเอ่ย"อย่าขยับ ห้ามพูดใด ๆ"ตงเปียนอ๋องรู้สึกว่าร่างกายตนเองแปลกไปข้างในมันร้อนรุ่ม ลำคอแห้งผากเหมือนคนกระหายน้ำหากแต่ความรู้สึกเขากลับบอกว่าน้ำเพียงอย่างเดียวช่วยให้เขาดับกระหายไม่ได้เขาเริ่มตั้งสติจนจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่น ๆ หนึ่ง"ผงเริงรมย์""มันคืออันใด"หลันจินเยว่เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกจึงใคร่สงสัย ทว่าสิ่งที่อยากรู้กลับไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาจากปากตงเปียนอ๋องเมื่อด้านนอกมีบุคคลมาเยือน"ฉินกงกงเข้าเฝ้าองค์ชายสี่เฟยหลง"เสียงกงกงของเสด็จย่าเขาดังขึ้นอยู่ด้านนอก"ฉินกงกงมีเรื่องอันใด"เหตุใดคนสนิทของเสด็จย่าถึงได้มาเยือนเข้าถึงจวนแห่งนี้ แถมมาได้เวลาเหมาะเจาะกับอาการประหลาดที่เพิ่งเริ่มแสดงอาการอีก"ไทเฮามีรับสั่ง ผงเริงรมย์นั้นไซร้ จงใช้ให้เกิดประโยชน์ หลังจากนี้สามวันเป็นฤกษ์ดี สามารถจัดงานมงคลได้"เสียงแหลมบาดหูของฉินกงกงเอ่ยราชโองการขององค์ไทเฮาเสร็จจึงทูลลากลับเข้าวังหลวง ทิ้งให้ตงเปียนอ๋องอมยิ้มอยู่ในห้องเมื่อรู้สาเหตุแล้วว่าเหตุใดตนถึงมีอาการแปลกประหลาดเช่นนี้"อะไรคือผงเริงรมย์และอะไรคือสามวันม
บทส่งท้าย : เมื่อหมอกจางหาย บุปผางามผลิบาน"ข้าขับพิษออกจากร่างกายองค์ชายเรียบร้อยแล้ว พักฟื้นสักสองสามวันก็หายดี"หมอหลวงประจำจวนเหมยฮัวเอ่ยบอก"ส่วนยานี้ต้มทานสามมื้อจนกว่าแผลจะหายดี"เสี่ยวโหรวรีบเข้าไปรับยานั้นจากหมอหลวง"อ้อข้าลืมอีกเรื่อง"ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบกว่าเดิมเพราะนึกว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงอันใดอีก"แผลนั้นต้องห้ามโดนน้ำเด็ดขาด คงต้องรบกวนพระชายาแล้ว"หมอหลวงหันมากำชับเรื่องสำคัญนี้กับหลันจินเยว่ ทำเอาใบหน้านางแดงระเรื่อเพราะไม่คิดว่าคนนอกจวนอย่างหมอหลวงท่านนี้จะรู้เรื่องสถานะของนางกับองค์ชายสี่อีกคน"ข้าไปส่งท่านหมอ"อู่ชิงหรงเดินนำหน้าเพื่อส่งหมอหลวงกลับโรงหมอ"บ่าวขอตัวไปต้มยาให้ท่านอ๋องนะเจ้าคะ"ทุกคนออกไปจากห้องหมดแล้วเหลือเพียงแค่หนึ่งคนหลับอยู่บนเตียงอย่างไร้วี่แววจะฟื้นและอีกคนที่นั่งลงข้างเขาด้วยความเป็นห่วง"ไหนท่านรับปากข้าว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย"ตอนที่หลันจินเยว่ได้ยินว่าตงเปียนอ๋องถูกอาวุธลับอาบยาพิษเล่นงานถึงกับวิ่งถือห่อยาหลายขนานไปดักรอพวกเขาระยะทางกือบลี้ ทั้งล้มลุกคลุกคลานจนแข้งขาถลอก บ่าวใช้คนใดขวางนางไล่ตะเพิดจนหมดสิ้น หากไม่สลบเสียก่อนหลันจินเยว
ชายแดนทิศใต้"เจ้าเลิกดื้อรั้นเถิด ตอนนี้เผ่าซีเซียงยอมจำนนต่อกองทัพมังกรขาวหมดแล้ว"เสียงกร้าวของอู่ชิงหรงประกาศลั่นการปราบกบฎดำเนินมาได้สองชั่วยามแล้ว คนของเผ่าซีเซียงบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วนจนหัวหน้าเผ่ายกธงขาวยอมแพ้ให้กับอำนาจของแม่ทัพแห่งกองทัพมังกรขาวเฟยหลงทว่าต่อให้เสียเลือดเนื้อเสียคนไปมากมายเพียงใด ผู้ที่หัวรั้นเกลียดการพ่ายแพ้อย่างซู่จิ่งอวิ๋นไม่มีทางวางกระบี่ในมือลงเป็นแน่"วันนี้ข้ากับเจ้า ถ้าปลาไม่ตาย ตาข่ายก็ต้องขาด"ซู่จิ่งอวิ๋นโต้ตอบด้วยสำบัดสำนวนเสียงหนักแน่น วันนี้ทั้งเขาและตงเปียนอ๋องผู้นี้ต้องสู้กันให้ถึงที่สุด ให้ตายกันไปข้างถึงจะจบศึกในครั้งนี้"ช่างเด็ดเดี่ยวเช่นบิดาเจ้าเสียจริง"ตงเปียนอ๋องกล่าวชมในความเด็ดเดี่ยวนี้ หากเอามาใช้ให้ถูกทางคงเป็นที่น่ายกย่อง"วันนี้ข้าจะแก้แค้นให้ท่านพ่อที่ถูกพวกเจ้าบังคับให้ดื่มยาพิษนั่น"[1]ยามโฉ่วของวันนี้ เสนาซู่จินเพ่ยได้กรอกยาพิษฆ่าตัวตายหลังได้รับราชโองการเป็นนักโทษประหารที่ต้องบั่นคอเสียบประจาน ข่าวนั้นดังเซ็งแซ่ไปทั่วแคว้นจนมาถึงหูซู่จิ่งอวิ๋นบุตรชายเพียงคนเดียวที่ตั้งใจจะบุกไปช่วยบิดาออกมาแต่มิทันกาลเสียงกระบี่ฟาดฟันอย่
"ทะ...ท่านอ๋อง"ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อถูกเอาอกเอาใจจากอีกคน"วันนี้สนุกไหม"เขาชวนนางคุยปกติ หากแต่ในแววตากลับมีความกลัดกลุ้มอยู่หลายส่วนจะเรื่องอะไรได้ ก็ตอนที่นางเดินซื้อของในตลาดมีนักฆ่าสะกดรอยตามถึงสามคน โชคดีที่ตงเปียนอ๋องอ่านเกมในครั้งนี้ออกคนรักของเขาถึงได้ปลอดภัยกลับมาหากเขาเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง หลันจินเยว่คงไม่สบายใจ เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในห้องอีกเป็นแน่ ตอนนี้เลยต้องเอาอกเอาใจนางเพื่อบอกกล่าวแก่เรื่องที่ตริตรองมาอย่างดีแก่นางในเวลาที่เหมาะสม"ตอนแรกก็สนุก"ตอบพร้อมยู่ปากอย่างหุดหงิดในเวลาต่อมา"ใครทำอันใดให้ว่าที่ชายาของข้าขุ่นเคืองใจ"ที่ใช้คำว่า 'ว่าที่' เพราะทั้งสองยังไม่เข้าพิธีสมรสกัน ตงเปียนอ๋องอยากให้เกียรตินางจึงจะรอปราบกบฎตระกูลซู่แล้วสิ้นถึงจะทำพิธีตามประเพณีแคว้น"ข้ากำลังดูผ้าเพื่อจะเอามาตัดชุดใหม่ให้ท่าน แต่เจอเข้ากับคนที่วางยาสลบข้าเพื่อส่งต่อให้คนพวกนั้นเข้า"ที่จริงเรื่องนี้องครักษ์เงาของเขารายงานมาหมดแล้ว"เจ้าพบเฟิงเยว่ซู?""จะเป็นใครอีกละ! พี่สาวตัวดีของเฟิงเยว่ซินนั่นแหละ"ตงเปียนอ๋องหลุดขำออกมาเบา ๆ เมื่อได้ฟังประโยคแปลก ๆ นั้นจบ"เจ้าพูดเหม
"เสี่ยวโหรวเร็ว ๆ เข้า"เสียงเจื้อยแจ้วของหลันจินเยว่ในอาภรณ์สีลูกท้อร้องเรียกสาวใช้ที่เดินหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังอยู่ด้านหลัง"คุณหนูช้าหน่อยเจ้าค่ะ"วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส นางเลยขออนุญาตตงเปียนอ๋องออกมาเดินตลาด ฝั่งนั้นเห็นว่านางเพิ่งผ่านอันตรายมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเลยให้ออกมาเที่ยวเล่นจะได้ลืมเรื่องร้าย ๆ พวกนั้น หากแต่ตงเปียนอ๋องก็มิได้นิ่งนอนใจ เขาส่งองครักษ์เงาคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือนางทัน"คุณหนูจะซื้อไปฝากท่านอ๋องหรือเพคะ"หลันจินเยว่ยืนดูผ้าไหมเนื้องามที่ร้านหนึ่งตรงตรอกเล็ก ๆ ของตลาด"เจ้าว่าหากท่านอ๋องเปลี่ยนมาใส่สีสว่างตาขึ้นจะดูภูมิฐานอยู่ไหม"ตั้งแต่ที่เห็นและรู้จักกันมา นางไม่เคยเห็นบุรุษที่ว่าสวมใส่เสื้อผ้าสีอื่นที่มิใช่สีดำสีเข้ม ๆ เลยสักครั้งเดียว"บ่าวว่าผ้าสีไหนหากอยู่บนตัวท่านอ๋องก็ดูสง่างามหมดเจ้าค่ะ"หลันจินเยว่เห็นด้วยอย่างยิ่ง วันนี้สาวใช้ของนางพูดได้ถูกใจต้องตบรางวัล"ผ้าพับนี้ข้าซื้อให้เจ้า"นางหยิบผ้าไหมสีกลีบดอกเหมยส่งให้เถ้าแก่ร้าน"คุณหนู นั่นคงแพงมากนะเจ้าคะ"มองแค่ตายังไม่ได้จับต้องเนื้อผ้าเสี่ยวโหรวก็รู้ว่านั่นคือไห
ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้วหลังจากที่ตงเปียนอ๋องออกมาจากห้องนั้นเพื่อฟังรายงานจากเหล่าทหารว่าซู่จิ่งอวิ๋นหนีไปกบดานกับเผ่าซีเซียงบนเขาทางใต้ เขาเลยสั่งให้ทุกคนกลับมาวางแผนกันที่จวนเหมยฮัวก่อนการเดินทางกลับจำต้องใช้ม้าถึงจะถึงที่หมายโดยเร็ว ทว่าหลันจินเยว่กลับเลือกที่จะโดยสารม้ามากับอู่ชิงหรงแทนอีกคน"เหตุใดข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังหลบหน้าท่านอ๋อง"บุรุษผู้โผงผางคิดเห็นการใดก็พูดออกไปจนหมดสิ้นถามสหายวัยเยาว์"ข้ามิได้หลบหน้าผู้ใด"หลันจินเยว่ที่นั่งอยู่ด้านหลังเขาตอบเหมือนร้อนตัว"หากข้าเป็นคนอื่นคงเชื่อที่เจ้ากล่าวมา"จะมาเกิดฉลาดเอาอะไรตอนนี้ นางยิ่งอยากอยู่เงียบ ๆ ตบตีกับคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบจากตงเปียนอ๋องว่าตกลงแล้วที่เขาบอกชอบนางหมายถึงร่างกายเฟิงเยว่ซินหรือตัวตนที่นางแสดงออกกัน"หยุด!"ตงเปียนอ๋องที่ควบม้าตามหลังสองคนนี้สั่งเสียงลั่น ทหารทุกนายต่างหยุดควบม้าเพื่อรอฟังคำสั่งถัดไป"ท่านอ๋องพบสิ่งใดผิดปกติหรือขอรับ"หนึ่งในทหารที่ควบม้ารั้งท้ายลงจากม้ามาถามไถ่"ม้าตัวนี้อ่อนแรงแล้ว หยุดพักที่นี่สักพักก่อน"หากม้าที่ตงเปียนอ๋องทรงขี่อยู่คือทมิฬกาลคงหาข้ออ้างเช่นนี้ไม่ได้สายตาคมมองแผ่นหลังบ