"พวกทหารยามบอกว่านี่เป็นคำสั่งของท่านเสนาบดีเจ้ากรมซู่เจ้าค่ะ"
"ซู่ จินเพ่ย"
ชิงหรงเอ่ยนาม ซู่จินเพ่ย เสนาบดีของกรมกลาโหม ผู้มีอำนาจคุมทหารทั้งหมดของพระราชวังด้วยเสียงเคียดแค้น
แต่เดิมตนกับซู่จินเพ่ยก็ไม่ค่อยชอบหน้ากันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดีที่ตนเป็นทหารของอ๋องสี่เลยไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้คำสั่งของซู่จินเพ่ย
"พวกเจ้าไม่ต้องกลัว [1]ยามอิ๋น นี้ท่านแม่ทัพจะเดินทางมาถึงจวนแล้ว ข้าจะขอร้องให้ท่านช่วยเหลือพวกเจ้าออกมาให้สำเร็จ"
หลันจินเยว่ได้ยินถึงกับดีใจเนื้อเต้นอยู่ข้างใน อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องแห้งตายในคุกแห่งนี้
"ขอบใจท่านมาก"
"เจ้ากล่าวเหมือนเกรงใจข้า เสี่ยวซิน...ต่อให้เจ้าจำข้าไม่ได้ ขอให้เจ้าจำไว้ ข้าอู่ชิงหรง คือคนที่เจ้าเชื่อใจได้ทุกยาม"
นอกจากจะรูปงามสมชายชาตรีแล้วยังน้ำใจดีเป็นเลิศ ถ้าเกิดในยุคของนางคงมีสาว ๆ รุมล้อมเป็นแน่
"ข้าต้องกลับค่ายทหารแล้ว หูตาของซู่จินเพ่ยมากมายนัก ข้าไม่อยากเพิ่มความเดือดร้อนให้พวกเจ้า"
ถึงจะไม่ได้ขึ้นตรงรับคำสั่งจากเขา ทว่าชิงหรงก็เป็นทหารที่กินเบี้ยหวัดของกรมกลาโหมอยู่จึงไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่สมควรขึ้นจนถูกกลั่นแกล้งเดือดร้อนไปถึงผู้บังคับบัญชาตน
"ขอบคุณท่านรองแม่ทัพที่ยังไม่ลืมคุณหนูข้าแม้ว่า..."
เสี่ยวโหรวอึดอัดใจไม่กล้าเอ่ยความในใจออกมา
"เจ้าไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ดูแลคุณหนูเจ้าให้ดี ที่เหลือข้าจัดการเอง"
ได้ยินเยี่ยงนี้ทั้งสองนางต่างก็ยิ้มให้กันอย่างมีความหวัง
"ขอบคุณท่านสำหรับทุกอย่าง"
แม้ความเป็นจริงตอนนี้นางจะไม่เคยรู้จักกับชิงหรงผู้นี้ แต่นางช่างอิจฉาเฟิงเยว่ซินตัวจริงนักที่มีเพื่อนดี ๆ ไว้ข้างกายถึงสองคน
"ข้าไปก่อน พรุ่งนี้พวกเจ้ารอฟังข่าวดีได้เลย"
ชิงหรงกลับออกไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงสตรีสองนางและบรรยากาศเย็นยะเยือกและอับชื้นอีกครั้ง
รุ่งสางของอีกวัน...
เคร้ง!
เสียงโซ่เส้นใหญ่ที่คล้องประตูคุกเอาไว้ถูกปลดออกด้วยฝีมือของทหารยาม
บัดนี้เป็นเวลายามเหม่าที่เหล่าผู้คุมจะต้องเดินปลุกนักโทษและให้ข้าวให้น้ำ
สตรีสองนางที่นอนกอดกองฟางเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเพราะไร้ซึ่งผ้าห่มมาคลุมกายพากันอุดหูกับเสียงดังเสียดหูนั้น
"ตื่นได้แล้ว ที่นี่เจ้าเป็นนักโทษมิใช่คุณหนูรองของตระกลูเฟิงที่ล่มสลายเพราะบิดาผู้ละโมบอีกแล้ว รีบลุกขึ้นมากินข้าวกินปลาให้เสร็จก่อน[2]หนึ่งเค่อ"
"เดี๋ยวสิ! หนึ่งเค่อจะให้พวกเราสำลักข้าวติดคอตายหรือ" เสี่ยวโหรวรีบค้าน
"หรือจะให้ข้าเก็บไปตอนนี้เสีย"
ทหารยามคนนี้ช่างฝีปากเก่งกล้ากับสตรียิ่งนัก
เมื่อถูกข่มขู่ทั้งน้ำเสียงและใบหน้าเสี่ยวโหรวจึงได้แต่ทำหน้าบึ้งตึงแล้วหุบปากลง
"หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง หนึ่งเค่อเท่ากับ 15 นาที"
"อะไร นะ นา... นาที คืออะไรเจ้าคะ"
เสี่ยวโหรวไม่เคยได้ยินศัพท์คำนี้มาก่อนจึงถามคุณหนูด้วยใบหน้าอยากรู้
"ไม่มีอะไรหรอก รีบกินเถอะเดี๋ยวทหารหน้ายักษ์จะกลับมาอีก"
ทหารหน้ายักษ์แปลว่าอันใดกัน ทำไมนางจึงฟังที่คุณหนูพูดไม่ค่อยเข้าใจ
"โอ๊ย!"
ตอนที่ใช้จะเกียบคีบข้าวเข้าปาก หลันจินเยว่ก็เกิดปวดหัวขึ้นมากะทันหัน
"คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ!"
เสี่ยวโหรวตกใจที่จู่ ๆ คุณหนูนางก็ร้องขึ้นมาเสียงลั่นแถมยังมีสีหน้าบิดเบี้ยวคิ้วขมวดราวเจ็บปวดใจจะขาดดิ้น
"... ข้าปวดหัว"
ทำไมถึงมีความทรงจำที่ไม่คุ้นเคยขึ้นมาให้เห็นกันล่ะ เธอผู้นั้นเป็นใคร ทำไมมีรอยยิ้มสดใสขนาดนั้น
'เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกัน'
เสียงที่ไม่คุ้นหูดังก้องอยู่ในหัวนางราวกำลังสะกดจิตให้ดวงจิตกับร่างกายประสานกัน
"เกิดอะไรขึ้น!"
เสียงทุ้มที่คุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับเสียงดัง 'อั่ก!' ของทหารยามที่ถูกมือหนากำเสื้อแล้วโยนให้หลบทาง
"เสี่ยวซิน เจ้าเป็นอะไรไป"
ชิงหรงที่มาตามคำมั่นเอ่ยถามร่างบางที่บัดนี้นั่งฟุบหน้าซบไหล่สาวใช้ด้วยใบหน้าที่ดูทรมานยิ่งนัก
"คุณหนูบอกว่าปวดหัวแล้วเอาแต่ซบหน้ากับบ่าวแบบนี้เจ้าค่ะ" เสี่ยวโหรวอธิบายให้บุรุษรูปงามนามว่าอู่ชิงหรงฟัง
"พานางกลับจวนข้าก่อน" เสียงทุ้มทรงอำนาจดังขึ้น
"มิได้ขอรับ! นางผู้นี้เป็นบุตรีของกบฎ ท่านเสนาบดีซู่สั่งไว้ไม่ให้ผู้ใดพานางออกไปจากคุกแห่งนี้จนกว่าจะมีราชโองการตัดสินโทษมาพะย่ะค่ะ"
"แม้แต่ข้า?"
ดวงตาคมดุจพญาเหยี่ยวปรายมองทหารยามที่แสนจะต่ำต้อยกว่าบรรดาศักดิ์เขายิ่งนัก
"ข...ข้าน้อยมิกล้า แต่ว่าคำสั่งท่านเสนา..."
"จำคำข้าไว้ หากเสนาซู่ต้องการเอาเรื่องเจ้าให้เขาไปพบข้าได้ทุกยามที่จวนอ๋องสี่"
ทหารยามตัวเล็กลีบเท่ามดปลวกทันทีเมื่อยืนเทียบเคียงองค์ชายสี่แห่งองค์ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
"ขอบพระทัยท่านอ๋อง"
"ไม่ต้องมากความ เจ้ารีบพานางกลับจวนโดยไว"
องค์ชายสี่แห่งแคว้นถังเอ่ยบอกองครักษ์ประจำกายหรืออีกตำแหน่งทางการทหารเป็นรองแม่ทัพแห่งกองทัพมังกรขาว
อู่ชิงหรงรีบอุ้มสหายตั้งแต่เด็กพาออกไปจากคุกแห่งนี้โดยมีสาวใช้อย่างเสี่ยวโหรวเดินตามเจ้านายไม่ห่างสักฝีก้าวเดียว
[1] ราวตี 3-5
[2] เทียบเท่ากับ 15 นาทีโดยประมาณตามเวลาสากล
"เหตุใดท่านถึง..."จำต้องกลืนคำพูดลงคอเมื่อถูกนิ้วของคนรักปิดไว้ที่ริมฝีปากไม่ให้ขยับเอ่ย"อย่าขยับ ห้ามพูดใด ๆ"ตงเปียนอ๋องรู้สึกว่าร่างกายตนเองแปลกไปข้างในมันร้อนรุ่ม ลำคอแห้งผากเหมือนคนกระหายน้ำหากแต่ความรู้สึกเขากลับบอกว่าน้ำเพียงอย่างเดียวช่วยให้เขาดับกระหายไม่ได้เขาเริ่มตั้งสติจนจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่น ๆ หนึ่ง"ผงเริงรมย์""มันคืออันใด"หลันจินเยว่เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกจึงใคร่สงสัย ทว่าสิ่งที่อยากรู้กลับไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาจากปากตงเปียนอ๋องเมื่อด้านนอกมีบุคคลมาเยือน"ฉินกงกงเข้าเฝ้าองค์ชายสี่เฟยหลง"เสียงกงกงของเสด็จย่าเขาดังขึ้นอยู่ด้านนอก"ฉินกงกงมีเรื่องอันใด"เหตุใดคนสนิทของเสด็จย่าถึงได้มาเยือนเข้าถึงจวนแห่งนี้ แถมมาได้เวลาเหมาะเจาะกับอาการประหลาดที่เพิ่งเริ่มแสดงอาการอีก"ไทเฮามีรับสั่ง ผงเริงรมย์นั้นไซร้ จงใช้ให้เกิดประโยชน์ หลังจากนี้สามวันเป็นฤกษ์ดี สามารถจัดงานมงคลได้"เสียงแหลมบาดหูของฉินกงกงเอ่ยราชโองการขององค์ไทเฮาเสร็จจึงทูลลากลับเข้าวังหลวง ทิ้งให้ตงเปียนอ๋องอมยิ้มอยู่ในห้องเมื่อรู้สาเหตุแล้วว่าเหตุใดตนถึงมีอาการแปลกประหลาดเช่นนี้"อะไรคือผงเริงรมย์และอะไรคือสามวันม
บทส่งท้าย : เมื่อหมอกจางหาย บุปผางามผลิบาน"ข้าขับพิษออกจากร่างกายองค์ชายเรียบร้อยแล้ว พักฟื้นสักสองสามวันก็หายดี"หมอหลวงประจำจวนเหมยฮัวเอ่ยบอก"ส่วนยานี้ต้มทานสามมื้อจนกว่าแผลจะหายดี"เสี่ยวโหรวรีบเข้าไปรับยานั้นจากหมอหลวง"อ้อข้าลืมอีกเรื่อง"ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบกว่าเดิมเพราะนึกว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงอันใดอีก"แผลนั้นต้องห้ามโดนน้ำเด็ดขาด คงต้องรบกวนพระชายาแล้ว"หมอหลวงหันมากำชับเรื่องสำคัญนี้กับหลันจินเยว่ ทำเอาใบหน้านางแดงระเรื่อเพราะไม่คิดว่าคนนอกจวนอย่างหมอหลวงท่านนี้จะรู้เรื่องสถานะของนางกับองค์ชายสี่อีกคน"ข้าไปส่งท่านหมอ"อู่ชิงหรงเดินนำหน้าเพื่อส่งหมอหลวงกลับโรงหมอ"บ่าวขอตัวไปต้มยาให้ท่านอ๋องนะเจ้าคะ"ทุกคนออกไปจากห้องหมดแล้วเหลือเพียงแค่หนึ่งคนหลับอยู่บนเตียงอย่างไร้วี่แววจะฟื้นและอีกคนที่นั่งลงข้างเขาด้วยความเป็นห่วง"ไหนท่านรับปากข้าว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย"ตอนที่หลันจินเยว่ได้ยินว่าตงเปียนอ๋องถูกอาวุธลับอาบยาพิษเล่นงานถึงกับวิ่งถือห่อยาหลายขนานไปดักรอพวกเขาระยะทางกือบลี้ ทั้งล้มลุกคลุกคลานจนแข้งขาถลอก บ่าวใช้คนใดขวางนางไล่ตะเพิดจนหมดสิ้น หากไม่สลบเสียก่อนหลันจินเยว
ชายแดนทิศใต้"เจ้าเลิกดื้อรั้นเถิด ตอนนี้เผ่าซีเซียงยอมจำนนต่อกองทัพมังกรขาวหมดแล้ว"เสียงกร้าวของอู่ชิงหรงประกาศลั่นการปราบกบฎดำเนินมาได้สองชั่วยามแล้ว คนของเผ่าซีเซียงบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วนจนหัวหน้าเผ่ายกธงขาวยอมแพ้ให้กับอำนาจของแม่ทัพแห่งกองทัพมังกรขาวเฟยหลงทว่าต่อให้เสียเลือดเนื้อเสียคนไปมากมายเพียงใด ผู้ที่หัวรั้นเกลียดการพ่ายแพ้อย่างซู่จิ่งอวิ๋นไม่มีทางวางกระบี่ในมือลงเป็นแน่"วันนี้ข้ากับเจ้า ถ้าปลาไม่ตาย ตาข่ายก็ต้องขาด"ซู่จิ่งอวิ๋นโต้ตอบด้วยสำบัดสำนวนเสียงหนักแน่น วันนี้ทั้งเขาและตงเปียนอ๋องผู้นี้ต้องสู้กันให้ถึงที่สุด ให้ตายกันไปข้างถึงจะจบศึกในครั้งนี้"ช่างเด็ดเดี่ยวเช่นบิดาเจ้าเสียจริง"ตงเปียนอ๋องกล่าวชมในความเด็ดเดี่ยวนี้ หากเอามาใช้ให้ถูกทางคงเป็นที่น่ายกย่อง"วันนี้ข้าจะแก้แค้นให้ท่านพ่อที่ถูกพวกเจ้าบังคับให้ดื่มยาพิษนั่น"[1]ยามโฉ่วของวันนี้ เสนาซู่จินเพ่ยได้กรอกยาพิษฆ่าตัวตายหลังได้รับราชโองการเป็นนักโทษประหารที่ต้องบั่นคอเสียบประจาน ข่าวนั้นดังเซ็งแซ่ไปทั่วแคว้นจนมาถึงหูซู่จิ่งอวิ๋นบุตรชายเพียงคนเดียวที่ตั้งใจจะบุกไปช่วยบิดาออกมาแต่มิทันกาลเสียงกระบี่ฟาดฟันอย่
"ทะ...ท่านอ๋อง"ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อถูกเอาอกเอาใจจากอีกคน"วันนี้สนุกไหม"เขาชวนนางคุยปกติ หากแต่ในแววตากลับมีความกลัดกลุ้มอยู่หลายส่วนจะเรื่องอะไรได้ ก็ตอนที่นางเดินซื้อของในตลาดมีนักฆ่าสะกดรอยตามถึงสามคน โชคดีที่ตงเปียนอ๋องอ่านเกมในครั้งนี้ออกคนรักของเขาถึงได้ปลอดภัยกลับมาหากเขาเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง หลันจินเยว่คงไม่สบายใจ เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในห้องอีกเป็นแน่ ตอนนี้เลยต้องเอาอกเอาใจนางเพื่อบอกกล่าวแก่เรื่องที่ตริตรองมาอย่างดีแก่นางในเวลาที่เหมาะสม"ตอนแรกก็สนุก"ตอบพร้อมยู่ปากอย่างหุดหงิดในเวลาต่อมา"ใครทำอันใดให้ว่าที่ชายาของข้าขุ่นเคืองใจ"ที่ใช้คำว่า 'ว่าที่' เพราะทั้งสองยังไม่เข้าพิธีสมรสกัน ตงเปียนอ๋องอยากให้เกียรตินางจึงจะรอปราบกบฎตระกูลซู่แล้วสิ้นถึงจะทำพิธีตามประเพณีแคว้น"ข้ากำลังดูผ้าเพื่อจะเอามาตัดชุดใหม่ให้ท่าน แต่เจอเข้ากับคนที่วางยาสลบข้าเพื่อส่งต่อให้คนพวกนั้นเข้า"ที่จริงเรื่องนี้องครักษ์เงาของเขารายงานมาหมดแล้ว"เจ้าพบเฟิงเยว่ซู?""จะเป็นใครอีกละ! พี่สาวตัวดีของเฟิงเยว่ซินนั่นแหละ"ตงเปียนอ๋องหลุดขำออกมาเบา ๆ เมื่อได้ฟังประโยคแปลก ๆ นั้นจบ"เจ้าพูดเหม
"เสี่ยวโหรวเร็ว ๆ เข้า"เสียงเจื้อยแจ้วของหลันจินเยว่ในอาภรณ์สีลูกท้อร้องเรียกสาวใช้ที่เดินหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังอยู่ด้านหลัง"คุณหนูช้าหน่อยเจ้าค่ะ"วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส นางเลยขออนุญาตตงเปียนอ๋องออกมาเดินตลาด ฝั่งนั้นเห็นว่านางเพิ่งผ่านอันตรายมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเลยให้ออกมาเที่ยวเล่นจะได้ลืมเรื่องร้าย ๆ พวกนั้น หากแต่ตงเปียนอ๋องก็มิได้นิ่งนอนใจ เขาส่งองครักษ์เงาคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือนางทัน"คุณหนูจะซื้อไปฝากท่านอ๋องหรือเพคะ"หลันจินเยว่ยืนดูผ้าไหมเนื้องามที่ร้านหนึ่งตรงตรอกเล็ก ๆ ของตลาด"เจ้าว่าหากท่านอ๋องเปลี่ยนมาใส่สีสว่างตาขึ้นจะดูภูมิฐานอยู่ไหม"ตั้งแต่ที่เห็นและรู้จักกันมา นางไม่เคยเห็นบุรุษที่ว่าสวมใส่เสื้อผ้าสีอื่นที่มิใช่สีดำสีเข้ม ๆ เลยสักครั้งเดียว"บ่าวว่าผ้าสีไหนหากอยู่บนตัวท่านอ๋องก็ดูสง่างามหมดเจ้าค่ะ"หลันจินเยว่เห็นด้วยอย่างยิ่ง วันนี้สาวใช้ของนางพูดได้ถูกใจต้องตบรางวัล"ผ้าพับนี้ข้าซื้อให้เจ้า"นางหยิบผ้าไหมสีกลีบดอกเหมยส่งให้เถ้าแก่ร้าน"คุณหนู นั่นคงแพงมากนะเจ้าคะ"มองแค่ตายังไม่ได้จับต้องเนื้อผ้าเสี่ยวโหรวก็รู้ว่านั่นคือไห
ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้วหลังจากที่ตงเปียนอ๋องออกมาจากห้องนั้นเพื่อฟังรายงานจากเหล่าทหารว่าซู่จิ่งอวิ๋นหนีไปกบดานกับเผ่าซีเซียงบนเขาทางใต้ เขาเลยสั่งให้ทุกคนกลับมาวางแผนกันที่จวนเหมยฮัวก่อนการเดินทางกลับจำต้องใช้ม้าถึงจะถึงที่หมายโดยเร็ว ทว่าหลันจินเยว่กลับเลือกที่จะโดยสารม้ามากับอู่ชิงหรงแทนอีกคน"เหตุใดข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังหลบหน้าท่านอ๋อง"บุรุษผู้โผงผางคิดเห็นการใดก็พูดออกไปจนหมดสิ้นถามสหายวัยเยาว์"ข้ามิได้หลบหน้าผู้ใด"หลันจินเยว่ที่นั่งอยู่ด้านหลังเขาตอบเหมือนร้อนตัว"หากข้าเป็นคนอื่นคงเชื่อที่เจ้ากล่าวมา"จะมาเกิดฉลาดเอาอะไรตอนนี้ นางยิ่งอยากอยู่เงียบ ๆ ตบตีกับคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบจากตงเปียนอ๋องว่าตกลงแล้วที่เขาบอกชอบนางหมายถึงร่างกายเฟิงเยว่ซินหรือตัวตนที่นางแสดงออกกัน"หยุด!"ตงเปียนอ๋องที่ควบม้าตามหลังสองคนนี้สั่งเสียงลั่น ทหารทุกนายต่างหยุดควบม้าเพื่อรอฟังคำสั่งถัดไป"ท่านอ๋องพบสิ่งใดผิดปกติหรือขอรับ"หนึ่งในทหารที่ควบม้ารั้งท้ายลงจากม้ามาถามไถ่"ม้าตัวนี้อ่อนแรงแล้ว หยุดพักที่นี่สักพักก่อน"หากม้าที่ตงเปียนอ๋องทรงขี่อยู่คือทมิฬกาลคงหาข้ออ้างเช่นนี้ไม่ได้สายตาคมมองแผ่นหลังบ