สำหรับเขานางคือลูกกบฎพ่วงตำแหน่ง 'สตรีเจ้าปัญหา' ทว่ากับนางนั้น 'ตงเปียนอ๋อง' คือชายที่นางต้องจับมาเป็นพระสวามีให้จงได้! หลัน จินเยว่ ในยุคปัจจุบัน เป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่เสียตั้งแต่เธออายุแค่สี่ขวบ อาศัยอยู่กับป้าจินจวงและลุงจินอวิ๋น ทั้งสองรักเธอมากเพราะพ่อแม่ของเธอได้ช่วยเหลือครอบครัวป้าจวงไว้ตอนที่ถูกเจ้าหนี้ตามไล่ฆ่าด้วยการขายที่ดินที่ตกทอดมาจากปู่ย่าจ่ายหนี้เพื่อช่วยชีวิตพี่สาวที่เป็นคนในครอบครัวคนเดียวไว้ตามคำสั่งเสียของตาเธอว่า เป็นพี่น้องต้องรักใคร่ ช่วยอะไรได้ให้ช่วยเหลือ เช้าวันทำงานจินเยว่ตื่นสายกว่าปกติทำให้รีบจนไม่ไม่ดูสัญญาณคนข้ามถนนที่เปลี่ยนเป็นสีแดงพอดีทำให้ถูกรถชนอาการโคม่า ดวงจิตสลับกับเยว่ซินในอีกมิติซึ่งคืออดีตชาติของเธอเอง
ดูเพิ่มเติม"สายแล้ว ๆ"
เสียงร้อนรนดังขึ้นพร้อมมือเรียวสวยหยิบหวีขึ้นมาสางผมพอลวก ๆ หมุนซ้ายหมุนขวาอย่างขอไปทีเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม
"เสี่ยวเยว่! นี่จะแปดโมงแล้วนะลูก ยังไม่เสร็จอีกเหรอ"
จินจวง ป้าแท้ ๆ ตะโกนขึ้นมาถามเมื่อเห็นว่าวันนี้เลยเวลาออกจากบ้านของหลานสาวสุดที่รักแล้ว
"มาแล้วค่า ๆ"
เจ้าของชื่อเรียกรีบวิ่งตึงตัง หอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือ ทั้งกระเป๋าเอย รองเท้าส้นสูงเอยเสื้อสูทเอย จนคนเป็นป้าหวั่นจะตกบันไดก่อนได้ถึงที่ทำงาน
"เมื่อคืนกลับดึกเหรอลูก"
จินจวงพยายามไถ่ถามเพื่อให้คนที่รีบร้อนค่อย ๆ ตั้งสติแล้วใจเย็นลง
"นิดหน่อยค่ะ"
นิดหน่อยที่ไหนละ เมื่อคืนเป็นวันเกิดครบรอบยี่สิบสามปีของเธอ เพื่อนสนิทจึงนัดกินดื่มกันหลังเลิกงาน กว่าจะรู้ตัวก็พากันกลับเกือบฟ้าสางได้นอนพักไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นมาในสภาพเช่นนี้แล้ว
"วันนี้ครบรอบยี่สิบสามปีพอดี หนูต้องตั้งสติ ก้าวขาข้างที่เป็นมงคลออกจากบ้านนะลูก"
ผู้ปกครองอย่างจินจวงที่ปีนี้อายุย่างห้าสิบเอ่ยบอกหลานสาวอย่างเป็นห่วง
"นี่มันยุคไหนแล้วคะป้า อาถรรพ์เลข 3 , 6 , 9 อะไรนั่นไม่มีแล้วละค่ะ"
สาวสมัยใหม่หลายคนมักจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเบญจเพสตามศาสนาเต๋านิกายเจิงอี้ สืบเนื่องมาจากยุคสมัยที่พัฒนาขึ้นทำให้ต่างก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องดวงร้ายดวงกุดกันแล้ว
"ไม่เชื่อป้าไม่ว่า ป้าแค่อยากเตือนให้เรามีสติอยู่ตลอดเวลา แค่นี้ทำให้ป้าได้ใช่ไหม"
จินจวงไม่อยากสูญเสียหลานสาวไปอีกคน แค่เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนเธอสูญเสียน้องสาวแท้ ๆ ไปก็ทำใจไม่ได้แล้ว
"ค่า ๆ หนูสัญญา"
หลันจินเยว่ชูนิ้วก้อยขึ้นมาขอเกี่ยวก้อยกับผู้เป็นป้า
เฮอ... แค่เห็นรอยยิ้มหวานของเธอ จินจวงก็ใจอ่อนยวบไม่อยากเซ้าซี้ต่อความยาวให้หลานสายไปมากกว่านี้แล้ว
"คืนนี้ป้าจะทำบะหมี่อายุยืนไว้ให้ เลิกงานแล้วมาฉลองที่บ้านกันอีกรอบนะลูก"
จินเยว่ส่งยิ้มหวานเป็นการสัญญา ก่อนจะวิ่งออกจากประตูบ้านพร้อมมือสวยที่ยกโบกสูง
"ทำไมรู้สึกใจคอไม่ดีแบบนี้นะ"
เพียงแค่แผ่นหลังจินเยว่หายไปจากสายตาผู้เป็นป้า เธอรู้สึกหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง เหมือนมีลางบอกเหตุว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
"เสี่ยวจู เสี่ยวฟง วันนี้จินเยว่อายุครบยี่สิบสามแล้วนะ ทั้งสองช่วยคุ้มครองแกให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงด้วยเทอญ"
ธูปหอมถูกปักลงบนกระถางธูปต่อหน้าป้ายชื่อของผู้วายชนน์ที่เป็นน้องสาวและน้องเขย หรือก็คือพ่อกับแม่ของหลันจินเยว่นั่นเอง
ฟิ้ว~
สายลมจากทิศทางไหนพัดปลิวมาต้องผิวกายเธอไม่อาจบอกได้ นั่นยิ่งทำให้จินจวงรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
"อย่าคิดมากไปเลยเรา"
แม้จะเป็นประโยคปลอบใจตนเอง แต่ไม่ได้ช่วยให้เธอสบายใจขึ้นมาเลยสักนิดเดียว
ซิ่งไปเลยลูกพี่!
โชคดีที่วันนี้จินเยว่ขึ้นรถเมล์แล้วเจอสายตองหก โชว์เฟอร์ขับแหกนรกได้สะใจคนรีบอย่างเธอพอดี
"ขับแบบนี้ไปนั่งหลังเต่าแทนเถอะไป!"
เสียงโชว์เฟอร์ตีนผีขับทีขี้เยี่ยวราดด่ากราดให้รถมินิคันหนึ่งที่ขับอยู่ข้างหน้าด้วยความหงุดหงิด
"ใจเย็น ๆ ก็ได้ค่ะ"
เธอเปรียบเสมือนหน่วยกล้าตายที่เผลอปากเร็วสวนขึ้นทันควัน
แม้จะบอกว่าสะใจที่คนขับเหยียบไม่รู้จักเบรกแต่ก็เสียวไปทั้งหัวใจอยู่เหมือนกัน
"ใจเย็นไม่ได้หรอกหนู เมียพี่รออยู่ที่ห้อง รีบเอาเที่ยวให้ครบจะได้กลับไปหอมเมียที่บ้านให้ชื่นใจ"
เป็นคำตอบที่น่าอายเพราะสิ่งที่โชว์เฟอร์พูดมีคนได้ยินทั้งคันรถ
ไม่น่าปากไวเลยจินเยว่เอ๊ย!
คนถูกตอบกลับรีบยกกระเป๋าสะพายวางบนหน้าตักแล้วทำทีท่าเหมือนก้มหาของอะไรบางอย่างแก้อาการหน้าแหกที่ไปเผลอคุยกับคนขับจนได้คำตอบแบบนั้น
ใช้เวลาไม่นานเธอก็ถึงป้ายรถเมล์ที่อยู่ตรงข้ามกับที่ทำงาน ครั้นลงจากรถเรียบร้อยจึงยืนมองออฟฟิศที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมมองทางม้าลายสลับกับสะพานลอยที่ต้องเดินย้อนไปอีกห้าสิบเมตร
สะพานลอยปลอดภัยกว่า...
แต่ตอนนี้เธอรีบมากเพราะถ้าสายเกินสิบนาทีมีหวังถูกศาสตราจารย์จิ้นซุยกินหัวเอาแน่ ๆ เพราะท่านเป็นคนตรงต่อเวลามาก ๆ
เมื่อตัดสินใจได้แบบนั้น ขายาว ๆ ภายใต้กระโปรงทรงเอรัดรูปเตรียมก้าวข้ามทางม้าลาย ติดตรงที่
มีเสียงติดแหบแห้งของชายชราคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียก่อน เขานั่งอยู่บนทางเท้า ข้าง ๆ ตัวมีไม้เท้าเก่า ๆ วางอยู่ บนใบหน้าหย่อนคล้อยตามวัยมีแว่นตาสีดำสนิทสวมปิดบังดวงตาจนไม่อาจบอกได้ว่าเป็นคนตาดีหรือตาเสีย
"สองกายสลับจิต สับเปลี่ยนวุ่นวาย นำพามาซึ่งรักแท้"
หลันจินเยว่มองหน้าชายชราคนนั้นด้วยความสงสัย จำได้ว่าเมื่อกี้ที่เธอเดินมาไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนี้นี่ หรือว่าที่เธอไม่เห็นเพราะไม่ได้สนใจรอบข้างมัวแต่โฟกัสไปที่ออฟฟิศเบื้องหน้า
"คุณตารอใครหรือเปล่าคะ หรือว่าจะข้ามไปฝั่งนู้นเหมือนกัน ด้วยความเป็นคนดีมีน้ำใจจึงเอ่ยถาม
ทว่าชายชราคนนั้นกลับหยิบไม้เท้าขึ้นมาแล้วลุกขึ้นคลำทางเดินไปทางที่เธอเพิ่งลงจากรถเมล์มา
"สองจิตสื่อถึง ผูกพันกงกรรมกงเกวียน เปลี่ยนชะตานำพามาซึ่งการพานพบและการสูญเสีย"
ไม่ได้เดินไปแบบเงียบ ๆ แต่ชายชราคนนั้นกลับท่องเหมือนบทกลอนอะไรสักอย่างทว่าเธอไม่รู้จักเลยไม่ใส่ใจ หันหน้ากลับมาเตรียมข้ามทางม้าลายจนลืมดูสัญญาณเตือนว่าจะหมดเวลาสำหรับคนเดินข้ามแล้ว
ปี้น ๆ
"กรี๊ด!!"
เอี๊ยด...
โครม..!
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่หลันจินเยว่ก้าวเท้าลงบนทางม้าลายได้เพียงสองก้าว รถยนต์คันหนึ่งพุ่งมาด้วยความเร็วสูงชนเข้ากับเธอจนกระเด็น
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกใจและกลายเป็นมุงดูอย่างวุ่นวาย
ดวงตาสวยเหมือนกับแสงจันทร์นวลค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ แล้วมืดดับไป
"เหตุใดท่านถึง..."จำต้องกลืนคำพูดลงคอเมื่อถูกนิ้วของคนรักปิดไว้ที่ริมฝีปากไม่ให้ขยับเอ่ย"อย่าขยับ ห้ามพูดใด ๆ"ตงเปียนอ๋องรู้สึกว่าร่างกายตนเองแปลกไปข้างในมันร้อนรุ่ม ลำคอแห้งผากเหมือนคนกระหายน้ำหากแต่ความรู้สึกเขากลับบอกว่าน้ำเพียงอย่างเดียวช่วยให้เขาดับกระหายไม่ได้เขาเริ่มตั้งสติจนจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่น ๆ หนึ่ง"ผงเริงรมย์""มันคืออันใด"หลันจินเยว่เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกจึงใคร่สงสัย ทว่าสิ่งที่อยากรู้กลับไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาจากปากตงเปียนอ๋องเมื่อด้านนอกมีบุคคลมาเยือน"ฉินกงกงเข้าเฝ้าองค์ชายสี่เฟยหลง"เสียงกงกงของเสด็จย่าเขาดังขึ้นอยู่ด้านนอก"ฉินกงกงมีเรื่องอันใด"เหตุใดคนสนิทของเสด็จย่าถึงได้มาเยือนเข้าถึงจวนแห่งนี้ แถมมาได้เวลาเหมาะเจาะกับอาการประหลาดที่เพิ่งเริ่มแสดงอาการอีก"ไทเฮามีรับสั่ง ผงเริงรมย์นั้นไซร้ จงใช้ให้เกิดประโยชน์ หลังจากนี้สามวันเป็นฤกษ์ดี สามารถจัดงานมงคลได้"เสียงแหลมบาดหูของฉินกงกงเอ่ยราชโองการขององค์ไทเฮาเสร็จจึงทูลลากลับเข้าวังหลวง ทิ้งให้ตงเปียนอ๋องอมยิ้มอยู่ในห้องเมื่อรู้สาเหตุแล้วว่าเหตุใดตนถึงมีอาการแปลกประหลาดเช่นนี้"อะไรคือผงเริงรมย์และอะไรคือสามวันม
บทส่งท้าย : เมื่อหมอกจางหาย บุปผางามผลิบาน"ข้าขับพิษออกจากร่างกายองค์ชายเรียบร้อยแล้ว พักฟื้นสักสองสามวันก็หายดี"หมอหลวงประจำจวนเหมยฮัวเอ่ยบอก"ส่วนยานี้ต้มทานสามมื้อจนกว่าแผลจะหายดี"เสี่ยวโหรวรีบเข้าไปรับยานั้นจากหมอหลวง"อ้อข้าลืมอีกเรื่อง"ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบกว่าเดิมเพราะนึกว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงอันใดอีก"แผลนั้นต้องห้ามโดนน้ำเด็ดขาด คงต้องรบกวนพระชายาแล้ว"หมอหลวงหันมากำชับเรื่องสำคัญนี้กับหลันจินเยว่ ทำเอาใบหน้านางแดงระเรื่อเพราะไม่คิดว่าคนนอกจวนอย่างหมอหลวงท่านนี้จะรู้เรื่องสถานะของนางกับองค์ชายสี่อีกคน"ข้าไปส่งท่านหมอ"อู่ชิงหรงเดินนำหน้าเพื่อส่งหมอหลวงกลับโรงหมอ"บ่าวขอตัวไปต้มยาให้ท่านอ๋องนะเจ้าคะ"ทุกคนออกไปจากห้องหมดแล้วเหลือเพียงแค่หนึ่งคนหลับอยู่บนเตียงอย่างไร้วี่แววจะฟื้นและอีกคนที่นั่งลงข้างเขาด้วยความเป็นห่วง"ไหนท่านรับปากข้าว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย"ตอนที่หลันจินเยว่ได้ยินว่าตงเปียนอ๋องถูกอาวุธลับอาบยาพิษเล่นงานถึงกับวิ่งถือห่อยาหลายขนานไปดักรอพวกเขาระยะทางกือบลี้ ทั้งล้มลุกคลุกคลานจนแข้งขาถลอก บ่าวใช้คนใดขวางนางไล่ตะเพิดจนหมดสิ้น หากไม่สลบเสียก่อนหลันจินเยว
ชายแดนทิศใต้"เจ้าเลิกดื้อรั้นเถิด ตอนนี้เผ่าซีเซียงยอมจำนนต่อกองทัพมังกรขาวหมดแล้ว"เสียงกร้าวของอู่ชิงหรงประกาศลั่นการปราบกบฎดำเนินมาได้สองชั่วยามแล้ว คนของเผ่าซีเซียงบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วนจนหัวหน้าเผ่ายกธงขาวยอมแพ้ให้กับอำนาจของแม่ทัพแห่งกองทัพมังกรขาวเฟยหลงทว่าต่อให้เสียเลือดเนื้อเสียคนไปมากมายเพียงใด ผู้ที่หัวรั้นเกลียดการพ่ายแพ้อย่างซู่จิ่งอวิ๋นไม่มีทางวางกระบี่ในมือลงเป็นแน่"วันนี้ข้ากับเจ้า ถ้าปลาไม่ตาย ตาข่ายก็ต้องขาด"ซู่จิ่งอวิ๋นโต้ตอบด้วยสำบัดสำนวนเสียงหนักแน่น วันนี้ทั้งเขาและตงเปียนอ๋องผู้นี้ต้องสู้กันให้ถึงที่สุด ให้ตายกันไปข้างถึงจะจบศึกในครั้งนี้"ช่างเด็ดเดี่ยวเช่นบิดาเจ้าเสียจริง"ตงเปียนอ๋องกล่าวชมในความเด็ดเดี่ยวนี้ หากเอามาใช้ให้ถูกทางคงเป็นที่น่ายกย่อง"วันนี้ข้าจะแก้แค้นให้ท่านพ่อที่ถูกพวกเจ้าบังคับให้ดื่มยาพิษนั่น"[1]ยามโฉ่วของวันนี้ เสนาซู่จินเพ่ยได้กรอกยาพิษฆ่าตัวตายหลังได้รับราชโองการเป็นนักโทษประหารที่ต้องบั่นคอเสียบประจาน ข่าวนั้นดังเซ็งแซ่ไปทั่วแคว้นจนมาถึงหูซู่จิ่งอวิ๋นบุตรชายเพียงคนเดียวที่ตั้งใจจะบุกไปช่วยบิดาออกมาแต่มิทันกาลเสียงกระบี่ฟาดฟันอย่
"ทะ...ท่านอ๋อง"ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อถูกเอาอกเอาใจจากอีกคน"วันนี้สนุกไหม"เขาชวนนางคุยปกติ หากแต่ในแววตากลับมีความกลัดกลุ้มอยู่หลายส่วนจะเรื่องอะไรได้ ก็ตอนที่นางเดินซื้อของในตลาดมีนักฆ่าสะกดรอยตามถึงสามคน โชคดีที่ตงเปียนอ๋องอ่านเกมในครั้งนี้ออกคนรักของเขาถึงได้ปลอดภัยกลับมาหากเขาเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง หลันจินเยว่คงไม่สบายใจ เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในห้องอีกเป็นแน่ ตอนนี้เลยต้องเอาอกเอาใจนางเพื่อบอกกล่าวแก่เรื่องที่ตริตรองมาอย่างดีแก่นางในเวลาที่เหมาะสม"ตอนแรกก็สนุก"ตอบพร้อมยู่ปากอย่างหุดหงิดในเวลาต่อมา"ใครทำอันใดให้ว่าที่ชายาของข้าขุ่นเคืองใจ"ที่ใช้คำว่า 'ว่าที่' เพราะทั้งสองยังไม่เข้าพิธีสมรสกัน ตงเปียนอ๋องอยากให้เกียรตินางจึงจะรอปราบกบฎตระกูลซู่แล้วสิ้นถึงจะทำพิธีตามประเพณีแคว้น"ข้ากำลังดูผ้าเพื่อจะเอามาตัดชุดใหม่ให้ท่าน แต่เจอเข้ากับคนที่วางยาสลบข้าเพื่อส่งต่อให้คนพวกนั้นเข้า"ที่จริงเรื่องนี้องครักษ์เงาของเขารายงานมาหมดแล้ว"เจ้าพบเฟิงเยว่ซู?""จะเป็นใครอีกละ! พี่สาวตัวดีของเฟิงเยว่ซินนั่นแหละ"ตงเปียนอ๋องหลุดขำออกมาเบา ๆ เมื่อได้ฟังประโยคแปลก ๆ นั้นจบ"เจ้าพูดเหม
"เสี่ยวโหรวเร็ว ๆ เข้า"เสียงเจื้อยแจ้วของหลันจินเยว่ในอาภรณ์สีลูกท้อร้องเรียกสาวใช้ที่เดินหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังอยู่ด้านหลัง"คุณหนูช้าหน่อยเจ้าค่ะ"วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส นางเลยขออนุญาตตงเปียนอ๋องออกมาเดินตลาด ฝั่งนั้นเห็นว่านางเพิ่งผ่านอันตรายมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเลยให้ออกมาเที่ยวเล่นจะได้ลืมเรื่องร้าย ๆ พวกนั้น หากแต่ตงเปียนอ๋องก็มิได้นิ่งนอนใจ เขาส่งองครักษ์เงาคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือนางทัน"คุณหนูจะซื้อไปฝากท่านอ๋องหรือเพคะ"หลันจินเยว่ยืนดูผ้าไหมเนื้องามที่ร้านหนึ่งตรงตรอกเล็ก ๆ ของตลาด"เจ้าว่าหากท่านอ๋องเปลี่ยนมาใส่สีสว่างตาขึ้นจะดูภูมิฐานอยู่ไหม"ตั้งแต่ที่เห็นและรู้จักกันมา นางไม่เคยเห็นบุรุษที่ว่าสวมใส่เสื้อผ้าสีอื่นที่มิใช่สีดำสีเข้ม ๆ เลยสักครั้งเดียว"บ่าวว่าผ้าสีไหนหากอยู่บนตัวท่านอ๋องก็ดูสง่างามหมดเจ้าค่ะ"หลันจินเยว่เห็นด้วยอย่างยิ่ง วันนี้สาวใช้ของนางพูดได้ถูกใจต้องตบรางวัล"ผ้าพับนี้ข้าซื้อให้เจ้า"นางหยิบผ้าไหมสีกลีบดอกเหมยส่งให้เถ้าแก่ร้าน"คุณหนู นั่นคงแพงมากนะเจ้าคะ"มองแค่ตายังไม่ได้จับต้องเนื้อผ้าเสี่ยวโหรวก็รู้ว่านั่นคือไห
ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้วหลังจากที่ตงเปียนอ๋องออกมาจากห้องนั้นเพื่อฟังรายงานจากเหล่าทหารว่าซู่จิ่งอวิ๋นหนีไปกบดานกับเผ่าซีเซียงบนเขาทางใต้ เขาเลยสั่งให้ทุกคนกลับมาวางแผนกันที่จวนเหมยฮัวก่อนการเดินทางกลับจำต้องใช้ม้าถึงจะถึงที่หมายโดยเร็ว ทว่าหลันจินเยว่กลับเลือกที่จะโดยสารม้ามากับอู่ชิงหรงแทนอีกคน"เหตุใดข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังหลบหน้าท่านอ๋อง"บุรุษผู้โผงผางคิดเห็นการใดก็พูดออกไปจนหมดสิ้นถามสหายวัยเยาว์"ข้ามิได้หลบหน้าผู้ใด"หลันจินเยว่ที่นั่งอยู่ด้านหลังเขาตอบเหมือนร้อนตัว"หากข้าเป็นคนอื่นคงเชื่อที่เจ้ากล่าวมา"จะมาเกิดฉลาดเอาอะไรตอนนี้ นางยิ่งอยากอยู่เงียบ ๆ ตบตีกับคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบจากตงเปียนอ๋องว่าตกลงแล้วที่เขาบอกชอบนางหมายถึงร่างกายเฟิงเยว่ซินหรือตัวตนที่นางแสดงออกกัน"หยุด!"ตงเปียนอ๋องที่ควบม้าตามหลังสองคนนี้สั่งเสียงลั่น ทหารทุกนายต่างหยุดควบม้าเพื่อรอฟังคำสั่งถัดไป"ท่านอ๋องพบสิ่งใดผิดปกติหรือขอรับ"หนึ่งในทหารที่ควบม้ารั้งท้ายลงจากม้ามาถามไถ่"ม้าตัวนี้อ่อนแรงแล้ว หยุดพักที่นี่สักพักก่อน"หากม้าที่ตงเปียนอ๋องทรงขี่อยู่คือทมิฬกาลคงหาข้ออ้างเช่นนี้ไม่ได้สายตาคมมองแผ่นหลังบ
ความคิดเห็น