LOGINหงเจี้ยนหยางนั่งในรถม้าหลังใหญ่ เขากำลังออกเดินทางไปพบเทพธิดาหัวทองผู้นั้น เขาถึงขั้นยอมล้างเนื้อล้างตัว แต่ไม่ยอมโกนหนวดเครา ใส่เพียงเสื้อชั้นเดียวออกเดินทางทั้งที่อากาศหนาวเย็น
จางป๋อเหวินจึงจำเป็นต้องเตรียมผ้าห่มไว้ในรถม้าหลายผืน ป้องกันไม่ให้เจ้าเสือดำเด็กน้อยป่วยเสียก่อนจะได้พบเทพธิดาผมทอง หากผู้คนรู้อาจคิดว่าเขาเป็นพี่ชายที่แสนดี แต่เจ้าตัวกลับรู้สึกคล้ายเป็นเพียงคนใช้ที่ต้องคอยดูแลคุณชายตัวใหญ่ของตระกูลหง
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา หนึ่งแม่ทัพ หนึ่งกุนซือ นับว่าสนิทสนมกันมาก มากจนผู้คนต่างนินทาว่าพวกเขาอาจเป็นคู่รัก เป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ แต่ในความจริง ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
ปีนี้จางป๋อเหวินก็อายุสามสิบปีแล้ว แต่เป็นเพราะเขาตัวเล็กและมีใบหน้าอ่อนเยาว์ สูงเพียงหกฉื่อครึ่ง [1] จึงยังดูราวกับเด็กหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบปี หากเป็นบุรุษอื่นคงแต่งงานมีลูกมีหลาน ได้เป็นท่านปู่ท่านตาไปแล้ว แต่เขายังอยู่ในจวนกั๋วกงทำตัวราวกับเป็นพ่อบ้านคนหนึ่ง แม้ผู้อื่นจะยังเรียกเขาว่าท่านกุนซือก็ตาม
ส่วนหงเจี้ยนหยาง เป็นถึงบุตรชายภรรยาเอกของจวนกั๋วกงเพียงผู้เดียว แม้จะมีพี่สาวอีกหนึ่งคน แต่ก็แต่งงานกับองค์ชายแห่งซื่อโจวออกจากจวนไปนานแล้ว ยามเมื่อเขาอายุสิบห้าได้ช่วยเหลือจางป๋อเหวินไว้ ทำให้ตัวเขารู้สึกคล้ายว่ามีพี่ชาย
ทั้งสองต่างเคารพและไว้วางใจอีกฝ่ายจนถึงขั้นฝากชีวิตได้ในสนามรบ พวกเขาต่างช่วยเหลือกันจนชื่อเสียงเลื่องลือไปไกล ไม่มีใครไม่รู้จัก หนึ่งบู๊หนึ่งบุ๋น หนึ่งพยัคฆ์หนึ่งอสรพิษ ได้ชื่อว่าไร้พ่ายมาตลอดหลายปี
กระทั่งปีที่แล้ว..เสวียนหู่แห่งอี้โจวก็สิ้นชื่อ ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านแม่ของหงเจี้ยนหยาง และอดีตองค์หญิงใหญ่ ทำทุกทางให้บุตรชายคนเดียวไม่ต้องมีชื่อติดอยู่บนป้ายวิญญาณตามท่านกั๋วกงไปอีกคน
หงเจี้ยนหยางจึงถูกพระราชโองการเรียกตัวกลับมาพักรักษาตัวในเมืองหลวงทันที ทิ้งสงครามและความทุกข์ยากของลูกน้องไว้ข้างหลังอย่างไม่มีทางเลือก จางป๋อเหวินในฐานะกุนซือก็ติดตามเขามาด้วย
“ถึงแล้วขอรับ” คนบังคับรถม้าเอ่ยจากด้านนอก
“ลงไปซะ เลิกขี้ขลาดเสียที” แม้หงเจี้ยนหยางจะหลับตาอยู่ คล้ายนอนหลับไม่รู้เรื่องราว แต่กุนซือจางผู้เป็นสหายมานานรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้หลับแต่อย่างใด
“..เฮ้อ ข้าเกลียดเจ้า” สุดท้ายหงเจี้ยนหยางยังคงต้องแบกร่างใหญ่โตของตัวเองลงจากรถม้าอย่างทุลักทุเล จะให้บุรุษตัวเตี้ยเช่นกุนซือจางมาคอยประคองเขาลงบันไดก็กระไรอยู่
“นี่มัน..ตรอกซิ่วสือไม่ใช่หรือ” อดีตแม่ทัพเอ่ยถามสหาย
“ใช่”
ตรอกซิ่วสือ เป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวง เป็นตรอกสกปรกที่มีแต่คนยากจนอาศัย เหตุใดสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพธิดาจึงมาอาศัยอยู่ที่นี่ หงเจี้ยนหยางได้แต่สงสัย
บุรุษสองคนเดินมาถึงหน้าทางเข้าโรงรักษาของเทพธิดาผมทอง มีเด็กชายคนหนึ่งขาขาด แต่ยังคงวิ่งเล่นกับสหายอย่างสนุกสนาน ขาข้างที่ขาดของเด็กน้อยถูกแทนที่ด้วยเท้าปลอมที่ทำจากไม้ แม้ลักษณะจะไม่ประณีต แต่กลับเข้ากับรูปร่างของเด็กน้อยพอดีจนสามารถเดินเหินได้อย่างปกติ
“นั่น..” หงเจี้ยนหยางรู้สึกมีความหวังเลือนราง เขาไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน
“เข้าไปกันเถิด”
กุนซือจางเดินนำหน้าตรงเข้าไปเปิดประตูทางเข้าโรงรักษาที่สร้างจากไม้สกปรก ทางเข้าถูกกั้นเพียงผ้าสีซีดจางจนไม่รู้ว่าสีเดิมของมันคือสีอะไร อีกทั้งประตูยังเล็กแคบและเตี้ยจนหงเจี้ยนหยางต้องค้อมหลังจึงจะเข้าไปได้
“ท่านลุงและพี่ชาย เชิญนั่งรอขอรับ” เด็กชายวัยสิบขวบท่าทางกระฉับกระเฉงรีบวิ่งมาพร้อมกับส่งเก้าอี้ไม้สองตัวให้ผู้มาใหม่ เรียกชายตัวใหญ่หนวดเครารุงรังว่าลุง และเรียกบุรุษในชุดดำว่าพี่ชาย
“ข้า..ไม่ใช่ลุง” อดีตแม่ทัพได้แต่กัดฟัน
“..ฮึ” จางป๋อเหวินยกมุมปากหัวเราะเยาะสหาย
หากเป็นชนชั้นสูงคนอื่นอาจแสดงตัวไม่ยอมนั่งรอ แต่สำหรับหงเจี้ยนหยางและจางป๋อเหวิน พวกเขาอยู่ชายแดนมานาน ใช้ชีวิตสมถะไม่ต่างจากทหารคนอื่นๆ พวกเขาจึงทำเพียงรับเก้าอี้มานั่งรอตามผู้คนในโรงรักษา
เก้าอี้ตัวเล็กเกินไปสำหรับหงเจี้ยนหยาง ทำให้เก้าอี้ตัวนั้นดูเหมือนจมไปใต้สะโพกใหญ่ของเขา แต่เขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น ไม่สนใจคนเจ็บป่วยผู้อื่นที่ส่งสายตาประหลาดมาทางเขาไม่ขาด
ด้านในโรงรักษาถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหน้ามีคนมารออยู่อีกหลายชีวิต บางคนก็เป็นเด็กน้อย บางคนก็เป็นคนชราที่ต้องให้ลูกหลานอุ้มมา และมีหลายคนที่แขนขาบวมจนเดินไม่ได้
อีกส่วนหนึ่งของโรงรักษา ถูกแบ่งด้วยผ้าผืนยาวสีซีดไม่ให้คนด้านนอกเข้าไป ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยมาจากด้านในเป็นระยะ แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป
ไม่นานเด็กชายคนเดิมก็มาเรียกให้หงเจี้ยนหยางและจางป๋อเหวินเข้าไปด้านใน
“ท่านลุงเป็นผู้มารักษาใช่หรือไม่ขอรับ ข้าขอรบกวนทราบชื่อของท่านด้วย จะได้ทำบัญชีรายชื่อของท่านเอาไว้ขอรับ” เด็กชายเดินนำหน้า ในมือถือแผ่นกระดานที่มีกระดาษแนบอยู่ พร้อมจดสิ่งที่ถามคนป่วย
“...” หงเจี้ยนหยางไม่ยอมตอบ
“เขาชื่อ..พ่างพ่าง [2] “จางป๋อเหวินจำต้องเอ่ยปากแทน แต่ก็โกหกชื่อเพื่อความปลอดภัยและเพื่อชื่อเสียงของอดีตแม่ทัพหง
“พ่างพ่าง..แล้วเจ็บป่วยที่ใดขอรับ หากไม่สบายตัวร้อนหรือเป็นไข้ โรงรักษาของท่านเทพธิดาไม่รับนะขอรับ พวกท่านอาจต้องไปซื้อยาที่ร้านหมอยาอื่น” เด็กชายแนะนำ
“อ้อ ไม่ได้ป่วย แต่เขา..มือของเขาใช้การไม่ได้”
“อ้อ เจ็บมือจนใช้ไม่ได้” เด็กชายพูดทวนระหว่างเขียนลงในแผ่นกระดาษ
“รบกวนพี่ชายรอด้านนอกนะขอรับ ส่วนท่านลุงเชิญด้านในนี้ขอรับ” เด็กชายพูดพร้อมกับเปิดผ้าออกให้
กุนซือจางหันไปมองหน้าผู้ที่ได้ชื่อว่าท่านลุงแล้วได้แต่กลั้นขำ เขาหยุดยืนรอด้านนอก ปล่อยให้หงเจี้ยนหยางมุดศีรษะผ่านเข้าไปด้านในลำพัง
เมื่อเข้าไปแล้ว ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าท่านลุงก็เห็นสตรีนางหนึ่งยืนหันหลังให้ เส้นผมของนางถูกมัดด้วยผ้าเส้นเดียว ผมครึ่งหนึ่งบนศีรษะเป็นสีดำ ส่วนอีกครึ่งตั้งแต่คอลงไปด้านล่างเป็นสีทองงดงาม
[1] 1 ฉื่อ มีประมาณ 23-24 เซนติเมตร ดังนั้น 6 ฉื่อครึ่ง สูงประมาณ 155-160 ค่ะ
[2] พ่างพ่าง หมายถึง เจ้าอ้วน
“เจ้าเป็นใคร” หงเจี้ยนหยางก้มลงมองดูปลายผมสีทองที่สะท้อนแสงโคมเล็กน้อยจากด้านนอกแล้วรู้สึกประหลาดใจ จึงเอ่ยถาม“ข้าชื่อ อันเยว่ฉี” หญิงสาวแนะนำตัวอีกครั้ง“ข้า..เหมือนจะจำได้ว่าเจ้าคือเทพธิดา นี่ข้าตายแล้วหรือ”“ยัง เจ้ายังไม่ตาย ถึงแม้ข้าจะเป็นเทพธิดาจริงๆ แต่ก็เป็นเพียงชื่อที่ผู้อื่นเรียกเท่านั้น ข้ายังคงอยู่ในโลกคนเป็นเช่นเดียวกับเจ้า”“ข้ายังไม่ตายอีกหรือ อีกนานหรือไม่” เขาถามหญิงสาวรู้สึกกังวลเพราะดูเหมือนเขาจะป่วยเป็นทั้งโรคพีทีเอสดีและป่วยซึมเศร้าด้วย“เจ้าอยากตายหรือ” นางถามระหว่างที่จับดึงเขาให้นั่งลงข้างเตียง“ข้าไม่รู้” เขานั่งลงและตอบคำถามอย่างเคร่งเครียด ไม่ยอมปล่อยมือของเทพธิดา“ชีวิตเป็นของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้” นางนั่งลงข้างเขา ตัดสินใจว่าคืนนี้คงไม่ได้กลับบ้านไปนอนแล้ว ยังไงคืนนี้ก็ดูแลคนป่วยให้ผ่านพ้นไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยเก็บเงินจากเขาก้อนโตเป็นค่ารักษานอกสถานที่“ข้า..ทุกคนล้วนทิ้งข้าไว้ ข้าไม่สมควรมีชีวิต ไม่สมควรมีความสุขและปล่อยให้พวกเขาตายตามลำพัง” เขาเริ่มมือสั่นเมื่อพูดถึงสิ่งที่หวาดกลัว“เจ้าบอกว่ามีคนปกป้องเจ้าไว้ใช่หรือไม่” นางถาม“อืม..ข้าไม่รู้จักชื่อเข
พวกคนที่ประตูกระโจมต่างกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปจับเสวียนหู่แห่งอี้โจว “รีบไปจับเขามัดไว้เร็วเข้า” เสียงของอันเยว่ฉียังคงสั่งต่อไปจางป๋อเหวินส่งคบเพลิงให้กับอันเยว่ฉี จากนั้นเขาก็วิ่งเข้าไปไล่จับชายที่มีร่างสูงใหญ่กว่าเขาสองเท่าอย่างไร้ความกลัว “เจ้ากล้าข้ามศพทหารในค่ายของข้าหรือ อย่าหวังว่าจะได้ตายดีเลย” หงเจี้ยนหยางแม้จะเจ็บข้อมือจนมือสั่น แต่เขาไม่อาจยอมให้ใครมาหยามคนตายได้ เขาจึงตั้งท่ารับมือศัตรูเต็มที่“ต้องรีบไปช่วยท่านกุนซือ เขาคนเดียวไม่ไหวแน่” อันเยว่ฉีหันไปบอกเหล่าบ่าวชายในจวนที่ยังหวาดกลัวท่านกั๋วกงไม่เลิก นางเห็นแล้วว่าอดีตแม่ทัพหงผู้นั้นมีฝีมือสูงมากแต่บรรดาบ่าวชายพวกนั้นยังคงตัวสั่นไม่กล้าขยับ“ชิ อดีตแม่ทัพอะไรกัน ไม่มีทหารมีฝีมือไว้ในบ้านสักคนเลยเหรอ” หญิงสาวทำเสียงไม่พอใจ แต่ก็ส่งคบเพลิงให้บ่าวพวกนั้น และวิ่งเข้าไปช่วยท่านกุนซืออีกแรง“ท่านแม่ทัพ ท่านต้องหยุดได้แล้ว” อันเยว่ฉีตะโกนวิ่งเข้าไปกอดเอวของหงเจี้ยนหยางเอาไว้จากด้านหลัง นางฉวยโอกาสในระหว่างที่เขากำลังยกมือตั้งรับลูกเตะของกุนซือจาง “ท่านเทพธิดา อันตราย!” จางป๋อเหวินตะโกนด้วยความตกใจ
หนึ่งเดือนผ่านไป หงเจี้ยนหยางทำตามตารางการรักษาของเทพธิดาอันเยว่ฉีอย่างเคร่งครัด ข้อมือของเขาเริ่มหายปวดแล้ว และในที่สุดนางก็อนุญาตให้เขาฝึกยุทธ์ในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นได้ แต่ยังคงห้ามไม่ให้จับอาวุธจางป๋อเหวินหายโกรธหงเจี้ยนหยางเมื่อไม่กี่วันก่อน เพราะมีลูกท้อเชื่อมน้ำตาลส่งมาจากเมืองอู่โจว และหงเจี้ยนหยางก็ยกให้กุนซือจางทั้งหมด เย็นวันนี้ท่านกุนซือจึงมาคอยดูแลเขาหากจะเรียกให้ถูกคือ ท่านกุนซือผู้นั้นมาคอยกำกับไม่ยอมให้เขาจับอาวุธ แต่บังคับให้เขาฝึกร่างกายด้วยการร่ายรำตามท่าทางของเสี่ยวจิ่วเทียนฝ่า [1] ซึ่งต้องขยับร่างกายช้าๆ อย่างทรมาน ท่านกุนซือใช้อ้างว่าเขาจะได้ฝึกสมาธิด้วย“นายท่าน เอ้อหลิงนำน้ำแกงไก่ใส่โสมมาให้เจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เอ้อหลิงจึงให้คนไปตามหาโสมอยู่สามวัน ในที่สุดวันนี้ก็ได้มา เอ้อหลิงเคี่ยวด้วยตัวเองก่อนจะนำมาให้ท่านเจ้าค่ะ” หญิงสาวร่างอรชรตัวเล็กเอวคอดได้รูปพูดขึ้นหงเจี้ยนหยางหยุดฝึกร่างกาย เขาหันไปมองดูที่มาของเสียง“เจ้าคือเอ้อหลิงคนนั้นหรือ” เขายังจำที่สาวใช้อี้ซิ่วพูดได้“เจ้าค่ะ”อนุเอ้อหลิงผู้ซึ่งหงเจี้ยนหยางไม่เคยรู้ว่านางเป็นอนุข
รุ่งขึ้น ในจวนของขุนนางหงก็มีเด็กชายจากตรอกซิ่วสือมาเก็บเงินจำนวนมาก พร้อมกับตราประจำตัวของท่านกั๋วกง ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่หน้าดำหน้าแดงเพราะความโกรธ ไม่รู้ว่าลูกชายของตัวเองไปก่อเรื่องอะไรมาอีกฮูหยินผู้เฒ่าตั้งใจจะถามระหว่างมื้ออาหาร แต่ท่านกั๋วกงกลับรีบร้อนกินข้าวและรีบออกจากบ้าน แม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องจ่ายเงินไปจำนวนมาก แต่อย่างน้อยบุตรชายของนางกลับมาตั้งใจทำบางสิ่งอย่างแน่วแน่อีกครั้ง นางจึงไม่ได้บ่นอะไรมาก“เจ้าชื่ออะไร” หงเจี้ยนหยางถามเทพธิดาผมสองสี ระหว่างที่นั่งให้นางนวดมือให้เขา“เรียกข้าว่าท่านเทพธิดาสิ” หญิงสาวตอบราบเรียบ แต่ในน้ำเสียงมีความเย่อหยิ่งอยู่มาก“..เจ้าชื่ออะไร” เขาถามคล้ายไม่ได้ยินที่นางตอบ“ท่านเทพธิดา”เขาสะบัดมือออกจากการนวดของนางทันที“นี่ ท่านอดีตแม่ทัพ ท่านไม่อยากรักษาแล้วหรือ” ท่านเทพธิดาเอ่ยถาม นางยืดหลังเต็มความสูงเท้าเอวด้วยความไม่พอใจกับการกระทำของคนไข้ผู้ดื้อดึงไร้มารยาท“เจ้าคงไม่อยากได้เงินสองพันตำลึงทองสินะ” เขาไม่ยอมเช่นกัน“..เอ่อ สองพัน..อยากได้สิ ย่อมอยากได้ นายท่าน..ข้าชื่อว่า อันเยว่ฉีเจ้าค่ะ ปีนี้อายุยี่สิบสี่ปี ยังไม่ได้แต่งงาน และไม่คิดจะแ
“อื้ม ลูกค้ารายใหญ่มาแล้ว เข้ามาก่อนสิ” เทพธิดาหัวทองเชื้อเชิญเสวียนหู่แห่งอี้โจว“ลูกค้าหรือ” หงเจี้ยนหยางไม่ค่อยเข้าใจคำที่สตรีประหลาดผู้นี้ใช้“แล้วสหายของเจ้าไม่ได้มาด้วยกันหรือ” เทพธิดาผมทองถามถึงกุนซือจาง“..เขา มีงานสำคัญที่ต้องทำ” ชายหนุ่มโกหก ที่จริงแล้วจางป๋อเหวินยังโกรธเรื่องที่เขาข่มขู่ไม่หาย วันนี้เขาจึงจำเป็นต้องมาหาเทพธิดาลำพัง“ไม่เป็นไร อย่างน้อยเจ้าก็มาแล้ว วันก่อนข้าทำให้เจ้าไม่พอใจจนเข้าใจผิด อย่างไรข้าก็เป็นหมอ ข้าจึงคิดว่าควรกอบกู้ชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของตัวเองสักหน่อย ตามข้ามาสิ”หญิงสาวเดินนำหน้า พาชายหนุ่มตัวสูงออกจากโรงรักษาโกโรโกโสของนาง ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปยังบริเวณโล่งแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากตรอกซิ่วสือ แม้จะไม่กว้างมาก แต่เพียงพอให้ผู้คนมารวมตัวกันทำกิจกรรมกลางแจ้งที่นั่น หงเจี้ยนหยางเห็นเครื่องเล่นหลายชนิดที่ทำจากไม้รูปร่างประหลาด มีทั้งเสา ขื่อ กำแพง กล่องสี่เหลี่ยม และคานสำหรับปีนป่าย เด็กหลายคนกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานหลายคนไม่มีขา บางคนต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ บางคนมีเท้าไม้ต่อจากขาข้างที่ขาด สตรีอีกหลายคนกำลังจับราวไม้ฝึกเดิน ทุกคนล้วนเป็นคนพิการ ไม่
หลังจากกลับถึงจวนกั๋วกง ห้องสกปรกเน่าเหม็นของหงเจี้ยนหยางก็ถูกเก็บกวาดจนเรียบร้อยแล้ว จางป๋อเหวินยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เด็กน้อยเสวียนหู่“นี่มันอะไร” เขาถามกุนซือจาง“นางเรียกว่า ตารางกายภาพบำบัด หรือก็คือ วิธีการรักษา”“ฮะ? แช่น้ำอุ่นวันละหนึ่งเค่อ [1] เดินครึ่งชั่วยาม [2] กินอาหารที่ประกอบจากเมล็ดธัญพืช โดยเฉพาะถั่วและงา ผักใบเขียว ไข่แดง..ไข่แดงหรือ” อดีตแม่ทัพขมวดคิ้วมุ่น“อืม..ข้าถามนางแล้ว นางบอกว่าให้แยกไข่ขาวออกไปและกินเฉพาะไข่แดง” จางป๋อเหวินพยายามอธิบายเพิ่ม“ไร้สาระ แค่กิน เดินกับแช่น้ำอุ่น ไม่มีตำรับยา หรือการรักษาใด วิธีมักง่ายเช่นนี้ จะให้ข้าเชื่อได้อย่างไรว่านางเป็นเทพธิดา”“นางบอกว่าเจ้ายังต้องเดินทางไปพบนางสองวันครั้งหนึ่ง เพื่อให้นางทำ..เอ่อ นางพูดว่า..กายภาพบำบัด และเจ้าต้องห้ามดื่มสุราอีกเด็ดขาด ต้องเปลี่ยนท่านอนด้วย และยังต้อง..”“พอแล้ว ข้าไม่อยากฟัง ไปเอาเหล้ามา”“ข้าไม่ใช่คนรับใช้ในจวนของเจ้า และข้าได้บอกฮูหยินผู้เฒ่าว่าเจ้าจะรักษาตัว ห้ามในจวนเก็บสุราไว้แม้แต่จอกเดียว”“จางป๋อเหวิน!”“หมูขี้ขลาด”“ข้าไม่ได้เป็นหมู!”“สุนัขเหม็นอาจม”“จางป๋อเหวิน!!..ข้า..ข้าจะฟ







