LOGINในห้องนั้นสว่างกว่าด้านหน้ามาก เพราะไม่มีหลังคา มีเพียงผนังล้อมรอบ มีเตียงไม้ที่สูงกว่าเตียงนอนทั่วไปวางอยู่ติดกำแพง และมีเก้าอี้เก่าๆ อีกตัววางอยู่ข้างเตียง
“นั่งลงที่นี่ขอรับ” เด็กชายบอกพร้อมกับจูงมือหงเจี้ยนหยางให้นั่งลงบนเตียงไม้ ตัวสูงใหญ่ของชายหนุ่มถึงกับทำให้เตียงดังเอี๊ยดอ๊าด
“อือ..อาเจียว เจ้าเอาแผ่นไม้ดามแขนไปให้เสี่ยวซีด้วยนะ” เสียงไพเราะของเจ้าของผมทองสั่งเด็กชาย
“ได้ๆ พี่ใหญ่ ท่านลุงผู้นี้ชื่อว่า พ่างพ่าง เจ็บที่มือ” อาเจียวรายงาน
“อือ..” สตรีนางนั้นยังคงวุ่นวายกับสิ่งของตรงหน้า ไม่ยอมหันหน้ามามองคนป่วย
หงเจี้ยนหยางถอนหายใจ เขาไม่เคยพบโรงรักษาประหลาดเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งเขามองอย่างไรก็รู้สึกว่าที่นี่ยากจนมาก ความหวังก่อนหน้าคล้ายใกล้จะพังทลายลงอีกครั้ง
“เอาล่ะ เรียบร้อย” เทพธิดาผมทองยื่นแผ่นไม้บางแต่มีรูปร่างคล้ายแขนให้อาเจียว เด็กชายรับแผ่นไม้และวิ่งออกไปด้านนอก
เทพธิดารับแผ่นกระดาษรายละเอียดคนไข้จากอาเจียวมาอ่าน ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ลุงพ่างพ่าง
“ท่านลุงอะไรกัน เจ้าเป็นคนหนุ่มชัดๆ” หญิงสาวเอ่ยเมื่อได้สังเกตคนตรงหน้าดีๆ อีกครั้ง
“ข้าบอกเจ้าเด็กนั่นแล้ว ข้าไม่ใช่ลุง” หงเจี้ยนหยางมองสำรวจเทพธิดา ไม่ต่างจากที่นางสำรวจเขา
‘หน้าตาก็ธรรมดา งดงามไม่เท่านางรำในวังหลวงด้วยซ้ำ นอกจากผมทองก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษ เหตุใดต้องเรียกว่าเทพธิดา’ เขาติเตียน
“เอาล่ะ ข้าขอดูมือที่เจ็บหน่อย” หญิงสาวพูดพร้อมกับยื่นมือไปเปิดแขนเสื้อของอีกฝ่ายสำรวจทันทีโดยไม่รอคำอนุญาตจากอีกฝ่าย
“เจ้าไร้มารยาทเช่นนี้เสมอเลยหรือ” ชายหนุ่มไม่เข้าใจ ปกติสตรีไม่ควรแตะต้องตัวบุรุษ แต่เทพธิดาตรงหน้าของเขากลับไม่สนใจสักนิด
“ข้าเป็นหมอ ต้องตรวจโรค มัวแต่รักษามารยาท คงไม่รู้ว่าเจ้าเจ็บป่วยที่ไหนกันพอดี”
“...” หงเจี้ยนหยางรู้สึกว่าสิ่งที่นางพูดก็ถูกต้อง แม้จะฟังไม่ค่อยเข้าใจภาษาที่นางใช้เท่าไรนัก
“ว้าว ดูกล้ามเนื้อแขนนี่สิ สวยงามราวกับถูกปั้น นี่..นายทำอาชีพอะไรเนี่ย” เทพธิดาผู้นั้นตาลุกวาวเมื่อได้เห็นกล้ามแขนและเส้นเลือดปูดโปนของอีกฝ่าย แม้แขนข้างนั้นจะเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเก่าใหม่มากมาย แต่นางคล้ายมองไม่เห็น
“อะไรนะ” หงเจี้ยนหยางไม่เข้าใจ
“เอ่อ เจ้าถอดเสื้อสิ” นางสั่ง
“ข้าเจ็บมือ ต้องถอดเสื้อทำไมกัน” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“ข้า..ต้องตรวจร่างกายเพิ่ม สาเหตุอาจไม่ใช่ที่มือ” นางพูดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
หงเจี้ยนหยางชะงักงันครู่หนึ่ง ดูอย่างไรก็รู้ว่านางโกหก นี่เขาไม่ได้มาพบกับเทพธิดา แต่เป็นปีศาจจิ้งจอกจอมราคะหรอกหรือ ชายหนุ่มคุ้นเคยกับสายตาชื่นชมของสตรีดี แต่ในเมื่อนางโกหกเช่นนั้น เขาก็อยากรู้นักว่านางจะโกหกต่อไปเช่นไร
อดีตแม่ทัพหงยอมถอดเสื้อให้เทพธิดายลโฉม แม้ช่วงนี้เขาจะปล่อยตัวไม่ได้รักษาร่างกายจนตัวหนาใหญ่กว่าเมื่อก่อน แต่เขาไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องน่าอาย เขามั่นใจในตัวเองมาก
“ว้าว..งดงามมากจริงๆ ไม่เคยเห็นใครมีกล้ามสวยขนาดนี้มาก่อนเลย นี่นายเล่นกล้ามแบบไหนกันเนี่ย เป็นนักกีฬาเหรอ แต่ยุคนี้จะเล่นกีฬาอะไรล่ะ นักกีฬาก็ไม่น่ามีกล้ามสวยขนาดนี้นะ เสียดายกล้ามสวยๆ ไม่น่าปล่อยตัวจนอ้วนฉุเลย” นางพึมพำกับตัวเอง
“ฮะ?” หงเจี้ยนหยางฟังสิ่งที่นางพูดไม่เข้าใจ รู้เพียงนางกำลังชื่นชมกล้ามเนื้อของเขาเท่านั้น
ฝ่ามือเล็กของนางลูบไล้ไปตามแผ่นอกแกร่งของเขาราวกับถูกสะกด ไล้ปลายนิ้วไปตามกล้ามเนื้อ ลงไปด้านล่างบริเวณหน้าท้อง แม้ยามนี้จะกลายเป็นพุงอ้วนกลม แต่นางยังคงกดปลายนิ้วสำรวจมัดกล้ามภายใต้พุงอุ้ยอย่างตั้งใจ เทพธิดาผู้นั้นถึงขั้นก้มหน้าลงเพื่อสำรวจหน้าท้องของบุรุษทีละชุ่น [1]
“ถึงจะอ้วนขึ้นเล็กน้อย แต่กล้ามเนื้อเดิมยังอยู่ครบ สวยทุกมัดเลยด้วย ต้องใช้ความอดทนแค่ไหนถึงจะได้ขนาดนี้ ทำไมจู่ๆ ถึงปล่อยตัวล่ะ เสียดายจริงๆ”
“นี่..ท่านเทพธิดา ไม่มากเกินไปหรือ” หลังจากปล่อยให้นางจับตรงนั้นตรงนี้ของเขาอยู่นาน หงเจี้ยนหยางก็เริ่มทนไม่ไหว เขารู้สึกว่าคงถูกหลอกแล้ว ไม่รู้ว่านางทำเช่นไรให้ผมเป็นสีทอง แต่สตรีผู้นี้เป็นพวกต้มตุ๋นแน่นอน
“อะแฮ่ม..เอ่อ..นี่เจ้า..เป็นอดีตทหารเช่นนั้นหรือ” ในที่สุด เทพธิดาก็เงยหน้าขึ้น แสร้งกระแอมไอเล็กน้อย แต่ความพึงพอใจยังคงปรากฏชัดบนใบหน้า
“...” อดีตแม่ทัพหงได้แต่ขมวดคิ้วมองนาง
“อะแฮ่ม..ไหนลองกำมือสิ” หญิงสาวแสร้งทำหน้าตาจริงจัง สั่งเขาราวกับเป็นท่านหมอผู้ทรงภูมิ
หงเจี้ยนหยางส่ายหัวถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายก็ยังยอมกำมือตามที่นางต้องการ
“ใช้หลังมือสองข้างแตะกันแล้วดึงมาชิดอก กางข้อศอกให้ตรง”
“..เฮ้อ” เขาถอนหายใจและทำตามที่นางสั่งอีกครั้ง
“อืม..กำมือไม่สนิท ปลายนิ้วดีดออก ข้อมือและปลอกหุ้มเส้นเอ็นอาจบาดเจ็บ..ถ้าเป็นทหารแต่จับอาวุธไม่ไหวก็คงลำบากจริงๆ” นางวิเคราะห์อาการของผู้ป่วยอย่างตรงไปตรงมา
แต่คำพูดของหญิงสาวกลับทำให้อดีตแม่ทัพรู้สึกเย็นสันหลัง ความหวาดกลัวขุมหนึ่งเกาะกุมจิตใจ วันเวลาที่เขาจับอาวุธสู้ศัตรูไม่ได้ ทำให้ชีวิตทหารนับหมื่นชีวิตต้องล้มตายวิ่งผ่านความทรงจำฉับพลัน
“มีปุ่มนูนบนสันข้อมือฝั่งนิ้วหัวแม่มือ คลำพบว่ามีการหนาตัวของปลอกหุ้มเส้นเอ็น ..ชาที่ปลายนิ้วมือด้วยหรือไม่” เทพธิดาจับมือของชายหนุ่มคลำจนทั่ว ก่อนจะหันมาถามเขา
หงเจี้ยนหยางทำเพียงกัดฟันพยักหน้า
“ข้าทำให้เจ้ากลัวหรือ ไม่ต้องห่วง มันรักษาได้” นางเห็นแล้วว่าเขาหน้าซีดมาก นางอยากบอกเขาว่าแค่ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบไม่จำเป็นต้องกลัวมากเช่นนั้น
“หุบปาก!” ชายหนุ่มลุกขึ้นเต็มความสูง น้ำเสียงโกรธจัด
“เจ้าจะเข้าใจอะไร เจ้าคงคิดว่าเรื่องเล็กเท่านี้ไม่ใช่ปัญหา แต่สำหรับข้า มัน..มัน” ภาพที่เขาไม่อาจช่วยใครได้ เปลวไฟโหมกระหน่ำจนแม้แต่เขาก็ยังไม่อาจเอาชีวิตรอด ทำให้บุรุษร่างสูงใหญ่ถึงกับกลัวตัวสั่น
“มีอะไร! เกิดอะไรขึ้น..นี่เจ้า..ถอดเสื้อหรือ!” จางป๋อเหวินรีบพุ่งตัวเข้ามาด้านในห้องตรวจเพราะได้ยินเสียงดัง แต่ก็ต้องตกตะลึงที่สหายกำลังเปลือยช่วงอกให้สตรีผู้หนึ่งดู
“ไม่มีอะไร สหายของท่านแค่ไม่สบาย จนจิตใจเจ็บป่วยไปด้วย” เทพธิดาผมทองยิ้มต้อนรับชายตัวเล็กในชุดดำ นางยังตัวสูงกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่ดูท่าทางแล้วผู้มาใหม่น่าจะอายุมากกว่านาง
“จิตใจเจ็บป่วยหรือ! เจ้า! เจ้าหมายถึงสิ่งใด ข้าไม่ได้กลายเป็นคนบ้า ข้า..ข้ายังมีสติครบถ้วน” ชายตัวใหญ่ตวาดลั่น
[1] 1 ชุ่น ประมาณ 3.33 เซนติเมตร
“เจ้าเป็นใคร” หงเจี้ยนหยางก้มลงมองดูปลายผมสีทองที่สะท้อนแสงโคมเล็กน้อยจากด้านนอกแล้วรู้สึกประหลาดใจ จึงเอ่ยถาม“ข้าชื่อ อันเยว่ฉี” หญิงสาวแนะนำตัวอีกครั้ง“ข้า..เหมือนจะจำได้ว่าเจ้าคือเทพธิดา นี่ข้าตายแล้วหรือ”“ยัง เจ้ายังไม่ตาย ถึงแม้ข้าจะเป็นเทพธิดาจริงๆ แต่ก็เป็นเพียงชื่อที่ผู้อื่นเรียกเท่านั้น ข้ายังคงอยู่ในโลกคนเป็นเช่นเดียวกับเจ้า”“ข้ายังไม่ตายอีกหรือ อีกนานหรือไม่” เขาถามหญิงสาวรู้สึกกังวลเพราะดูเหมือนเขาจะป่วยเป็นทั้งโรคพีทีเอสดีและป่วยซึมเศร้าด้วย“เจ้าอยากตายหรือ” นางถามระหว่างที่จับดึงเขาให้นั่งลงข้างเตียง“ข้าไม่รู้” เขานั่งลงและตอบคำถามอย่างเคร่งเครียด ไม่ยอมปล่อยมือของเทพธิดา“ชีวิตเป็นของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้” นางนั่งลงข้างเขา ตัดสินใจว่าคืนนี้คงไม่ได้กลับบ้านไปนอนแล้ว ยังไงคืนนี้ก็ดูแลคนป่วยให้ผ่านพ้นไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยเก็บเงินจากเขาก้อนโตเป็นค่ารักษานอกสถานที่“ข้า..ทุกคนล้วนทิ้งข้าไว้ ข้าไม่สมควรมีชีวิต ไม่สมควรมีความสุขและปล่อยให้พวกเขาตายตามลำพัง” เขาเริ่มมือสั่นเมื่อพูดถึงสิ่งที่หวาดกลัว“เจ้าบอกว่ามีคนปกป้องเจ้าไว้ใช่หรือไม่” นางถาม“อืม..ข้าไม่รู้จักชื่อเข
พวกคนที่ประตูกระโจมต่างกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปจับเสวียนหู่แห่งอี้โจว “รีบไปจับเขามัดไว้เร็วเข้า” เสียงของอันเยว่ฉียังคงสั่งต่อไปจางป๋อเหวินส่งคบเพลิงให้กับอันเยว่ฉี จากนั้นเขาก็วิ่งเข้าไปไล่จับชายที่มีร่างสูงใหญ่กว่าเขาสองเท่าอย่างไร้ความกลัว “เจ้ากล้าข้ามศพทหารในค่ายของข้าหรือ อย่าหวังว่าจะได้ตายดีเลย” หงเจี้ยนหยางแม้จะเจ็บข้อมือจนมือสั่น แต่เขาไม่อาจยอมให้ใครมาหยามคนตายได้ เขาจึงตั้งท่ารับมือศัตรูเต็มที่“ต้องรีบไปช่วยท่านกุนซือ เขาคนเดียวไม่ไหวแน่” อันเยว่ฉีหันไปบอกเหล่าบ่าวชายในจวนที่ยังหวาดกลัวท่านกั๋วกงไม่เลิก นางเห็นแล้วว่าอดีตแม่ทัพหงผู้นั้นมีฝีมือสูงมากแต่บรรดาบ่าวชายพวกนั้นยังคงตัวสั่นไม่กล้าขยับ“ชิ อดีตแม่ทัพอะไรกัน ไม่มีทหารมีฝีมือไว้ในบ้านสักคนเลยเหรอ” หญิงสาวทำเสียงไม่พอใจ แต่ก็ส่งคบเพลิงให้บ่าวพวกนั้น และวิ่งเข้าไปช่วยท่านกุนซืออีกแรง“ท่านแม่ทัพ ท่านต้องหยุดได้แล้ว” อันเยว่ฉีตะโกนวิ่งเข้าไปกอดเอวของหงเจี้ยนหยางเอาไว้จากด้านหลัง นางฉวยโอกาสในระหว่างที่เขากำลังยกมือตั้งรับลูกเตะของกุนซือจาง “ท่านเทพธิดา อันตราย!” จางป๋อเหวินตะโกนด้วยความตกใจ
หนึ่งเดือนผ่านไป หงเจี้ยนหยางทำตามตารางการรักษาของเทพธิดาอันเยว่ฉีอย่างเคร่งครัด ข้อมือของเขาเริ่มหายปวดแล้ว และในที่สุดนางก็อนุญาตให้เขาฝึกยุทธ์ในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นได้ แต่ยังคงห้ามไม่ให้จับอาวุธจางป๋อเหวินหายโกรธหงเจี้ยนหยางเมื่อไม่กี่วันก่อน เพราะมีลูกท้อเชื่อมน้ำตาลส่งมาจากเมืองอู่โจว และหงเจี้ยนหยางก็ยกให้กุนซือจางทั้งหมด เย็นวันนี้ท่านกุนซือจึงมาคอยดูแลเขาหากจะเรียกให้ถูกคือ ท่านกุนซือผู้นั้นมาคอยกำกับไม่ยอมให้เขาจับอาวุธ แต่บังคับให้เขาฝึกร่างกายด้วยการร่ายรำตามท่าทางของเสี่ยวจิ่วเทียนฝ่า [1] ซึ่งต้องขยับร่างกายช้าๆ อย่างทรมาน ท่านกุนซือใช้อ้างว่าเขาจะได้ฝึกสมาธิด้วย“นายท่าน เอ้อหลิงนำน้ำแกงไก่ใส่โสมมาให้เจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เอ้อหลิงจึงให้คนไปตามหาโสมอยู่สามวัน ในที่สุดวันนี้ก็ได้มา เอ้อหลิงเคี่ยวด้วยตัวเองก่อนจะนำมาให้ท่านเจ้าค่ะ” หญิงสาวร่างอรชรตัวเล็กเอวคอดได้รูปพูดขึ้นหงเจี้ยนหยางหยุดฝึกร่างกาย เขาหันไปมองดูที่มาของเสียง“เจ้าคือเอ้อหลิงคนนั้นหรือ” เขายังจำที่สาวใช้อี้ซิ่วพูดได้“เจ้าค่ะ”อนุเอ้อหลิงผู้ซึ่งหงเจี้ยนหยางไม่เคยรู้ว่านางเป็นอนุข
รุ่งขึ้น ในจวนของขุนนางหงก็มีเด็กชายจากตรอกซิ่วสือมาเก็บเงินจำนวนมาก พร้อมกับตราประจำตัวของท่านกั๋วกง ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่หน้าดำหน้าแดงเพราะความโกรธ ไม่รู้ว่าลูกชายของตัวเองไปก่อเรื่องอะไรมาอีกฮูหยินผู้เฒ่าตั้งใจจะถามระหว่างมื้ออาหาร แต่ท่านกั๋วกงกลับรีบร้อนกินข้าวและรีบออกจากบ้าน แม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องจ่ายเงินไปจำนวนมาก แต่อย่างน้อยบุตรชายของนางกลับมาตั้งใจทำบางสิ่งอย่างแน่วแน่อีกครั้ง นางจึงไม่ได้บ่นอะไรมาก“เจ้าชื่ออะไร” หงเจี้ยนหยางถามเทพธิดาผมสองสี ระหว่างที่นั่งให้นางนวดมือให้เขา“เรียกข้าว่าท่านเทพธิดาสิ” หญิงสาวตอบราบเรียบ แต่ในน้ำเสียงมีความเย่อหยิ่งอยู่มาก“..เจ้าชื่ออะไร” เขาถามคล้ายไม่ได้ยินที่นางตอบ“ท่านเทพธิดา”เขาสะบัดมือออกจากการนวดของนางทันที“นี่ ท่านอดีตแม่ทัพ ท่านไม่อยากรักษาแล้วหรือ” ท่านเทพธิดาเอ่ยถาม นางยืดหลังเต็มความสูงเท้าเอวด้วยความไม่พอใจกับการกระทำของคนไข้ผู้ดื้อดึงไร้มารยาท“เจ้าคงไม่อยากได้เงินสองพันตำลึงทองสินะ” เขาไม่ยอมเช่นกัน“..เอ่อ สองพัน..อยากได้สิ ย่อมอยากได้ นายท่าน..ข้าชื่อว่า อันเยว่ฉีเจ้าค่ะ ปีนี้อายุยี่สิบสี่ปี ยังไม่ได้แต่งงาน และไม่คิดจะแ
“อื้ม ลูกค้ารายใหญ่มาแล้ว เข้ามาก่อนสิ” เทพธิดาหัวทองเชื้อเชิญเสวียนหู่แห่งอี้โจว“ลูกค้าหรือ” หงเจี้ยนหยางไม่ค่อยเข้าใจคำที่สตรีประหลาดผู้นี้ใช้“แล้วสหายของเจ้าไม่ได้มาด้วยกันหรือ” เทพธิดาผมทองถามถึงกุนซือจาง“..เขา มีงานสำคัญที่ต้องทำ” ชายหนุ่มโกหก ที่จริงแล้วจางป๋อเหวินยังโกรธเรื่องที่เขาข่มขู่ไม่หาย วันนี้เขาจึงจำเป็นต้องมาหาเทพธิดาลำพัง“ไม่เป็นไร อย่างน้อยเจ้าก็มาแล้ว วันก่อนข้าทำให้เจ้าไม่พอใจจนเข้าใจผิด อย่างไรข้าก็เป็นหมอ ข้าจึงคิดว่าควรกอบกู้ชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของตัวเองสักหน่อย ตามข้ามาสิ”หญิงสาวเดินนำหน้า พาชายหนุ่มตัวสูงออกจากโรงรักษาโกโรโกโสของนาง ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปยังบริเวณโล่งแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากตรอกซิ่วสือ แม้จะไม่กว้างมาก แต่เพียงพอให้ผู้คนมารวมตัวกันทำกิจกรรมกลางแจ้งที่นั่น หงเจี้ยนหยางเห็นเครื่องเล่นหลายชนิดที่ทำจากไม้รูปร่างประหลาด มีทั้งเสา ขื่อ กำแพง กล่องสี่เหลี่ยม และคานสำหรับปีนป่าย เด็กหลายคนกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานหลายคนไม่มีขา บางคนต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ บางคนมีเท้าไม้ต่อจากขาข้างที่ขาด สตรีอีกหลายคนกำลังจับราวไม้ฝึกเดิน ทุกคนล้วนเป็นคนพิการ ไม่
หลังจากกลับถึงจวนกั๋วกง ห้องสกปรกเน่าเหม็นของหงเจี้ยนหยางก็ถูกเก็บกวาดจนเรียบร้อยแล้ว จางป๋อเหวินยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เด็กน้อยเสวียนหู่“นี่มันอะไร” เขาถามกุนซือจาง“นางเรียกว่า ตารางกายภาพบำบัด หรือก็คือ วิธีการรักษา”“ฮะ? แช่น้ำอุ่นวันละหนึ่งเค่อ [1] เดินครึ่งชั่วยาม [2] กินอาหารที่ประกอบจากเมล็ดธัญพืช โดยเฉพาะถั่วและงา ผักใบเขียว ไข่แดง..ไข่แดงหรือ” อดีตแม่ทัพขมวดคิ้วมุ่น“อืม..ข้าถามนางแล้ว นางบอกว่าให้แยกไข่ขาวออกไปและกินเฉพาะไข่แดง” จางป๋อเหวินพยายามอธิบายเพิ่ม“ไร้สาระ แค่กิน เดินกับแช่น้ำอุ่น ไม่มีตำรับยา หรือการรักษาใด วิธีมักง่ายเช่นนี้ จะให้ข้าเชื่อได้อย่างไรว่านางเป็นเทพธิดา”“นางบอกว่าเจ้ายังต้องเดินทางไปพบนางสองวันครั้งหนึ่ง เพื่อให้นางทำ..เอ่อ นางพูดว่า..กายภาพบำบัด และเจ้าต้องห้ามดื่มสุราอีกเด็ดขาด ต้องเปลี่ยนท่านอนด้วย และยังต้อง..”“พอแล้ว ข้าไม่อยากฟัง ไปเอาเหล้ามา”“ข้าไม่ใช่คนรับใช้ในจวนของเจ้า และข้าได้บอกฮูหยินผู้เฒ่าว่าเจ้าจะรักษาตัว ห้ามในจวนเก็บสุราไว้แม้แต่จอกเดียว”“จางป๋อเหวิน!”“หมูขี้ขลาด”“ข้าไม่ได้เป็นหมู!”“สุนัขเหม็นอาจม”“จางป๋อเหวิน!!..ข้า..ข้าจะฟ







