ปัง ๆ ๆ เสียงทุบประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้คนที่อยู่ด้านในได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินมาเปิดประตู
‘ทะลุมิติมาวันแรก เจองานหนักเสียแล้ว แต่ถ้าทำตัวหงอคงถูกใช้งานและถูกรังแกไม่จบไม่สิ้นแน่’
“มีเรื่องอะไรอีกเหรอคะ” หญิงสาวถามออกมา พร้อมกับกวาดสายตามองคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง “นี่ขนกันมาหมดเลยหรือ”
“กล้าดีอย่างไรถึงได้ตวาดใส่ป้าสะใภ้ของหล่อน” ย่าเฉินยืนเท้าสะเอวแล้วถามเสียงดัง
“แล้วยังไงคะ ทำไมย่าไม่ถามป้าสะใภ้ล่ะว่าเคาะเรียกหรือทุบประตูเรียก”
“ก็หล่อนไม่ยอมลุกมาทำงาน หุงหาอาหารนี่ ฉันเลยต้องทุบประตู” ฟางอี้เหนียงโต้เถียงกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้เหมือนกัน
“ทุกคนลืมไปหรือเปล่าว่า เมื่อวานฉันโดนย่าตีอย่างไร้เหตุผล ทำให้ฉันเกือบตาย เอ๊ะ! หรือว่าฉันตายไปแล้ว แต่ก็ช่างเถอะ ฉันเจ็บหนักขนาดนั้นทำไมคนบ้านใหญ่ไม่คิดสงสารกันบ้าง งานบ้านก็ไม่หนักหนาอะไร ทำไมป้าสะใภ้กับพี่เม่ยเม่ยไม่ทำเองล่ะ” เฉินโม่หรานกอดอกแล้วยืนพิงประตู
“หล่อนเจ็บหนักที่ไหน คนเจ็บหนักจะมายืนเถียงแบบนี้ได้อย่างไรกัน ไม่รู้ล่ะ ฉันเป็นย่า ใหญ่สุดในบ้านนี้ ฉันสั่งให้หล่อนไปทำอาหารและทำงานบ้าน แล้วนี่เจ้ารองกับเมียของมันไปไหน”
ย่าเฉินถือว่าตนนั้นใหญ่สุดในบ้าน จะพูดจาหรือว่าสั่งงานให้ใครทำ คนนั้นย่อมต้องทำตาม ไม่มีสิทธิ์ปฎิเสธ
“พ่อกับแม่รวมถึงพี่ใหญ่ขึ้นเขาไปหาสมุนไพรมาต้มให้ฉันกิน เพราะบ้านรองของเราไม่มีเงินซื้อยาอย่างไรละคะ ย่าเองไม่ใช่หรือที่ไม่ให้เงิน อีกอย่างไม่ว่าบ้านรองหามาได้เท่าไรก็ต้องส่งให้บ้านใหญ่ทั้งหมด แม้แต่ไข่ไก่สักฟองยังยากที่จะได้กิน”
หญิงสาวพูดออกมาตามที่มีในความทรงจำ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมบ้านใหญ่ไม่ให้บ้านรองแยกบ้าน ทั้งที่จงเกลียดจงชังขนาดนั้น
“แม่ ผมว่าที่อี้เหนียงบอกน่าจะจริง โม่หรานอาจจะถูก
ผีเข้า ดูท่าทางของเธอสิ เปลี่ยนไปราวกับคนละคน”เฉินควนกระซิบข้างหูของแม่ตัวเอง ใจนั้นเชื่อเกินแปดส่วนไปแล้วว่าหลานสาวโดนผีเข้า
เมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกชายบอก ย่าเฉินรีบพยักหน้ารับเพราะเธอก็เชื่อเหมือนกันว่าหลานสาวเป็นอย่างที่ทุกคนในบ้านใหญ่พูด
ส่วนเฉินโม่หรานยังคงยืนมองคนจากบ้านใหญ่ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา อีกทั้งเธอยังมองดูท่าทีของคนจากบ้านใหญ่ด้วยว่าต่อจากนี้จะไปยังทิศทางไหน แต่ที่แน่ ๆ ทุกคนคิดไปในทิศทางเดียวกันว่าเธอนั้นโดนผีเข้า
แม้ว่าจะคิดไปทิศทางเดียวกันกับลูกชายและลูกสะใภ้
แต่เรื่องทำงานนางไม่ยอมให้หลานสาวอยู่เฉยแน่ จึงได้พูดออกมาอีกครั้งอย่างไม่พอใจ“ไม่ว่าอย่างไรเช้านี้บ้านรองต้องทำงานเหมือนเดิม
เสร็จจากงานบ้านแล้วก็ไปทำงานในทุ่ง เข้าใจไหม”“ไม่เข้าใจค่ะ ป้าสะใภ้ใหญ่กับพี่สาวเม่ยเม่ยก็ว่าง ไม่เห็นจะทำอะไรเลย วัน ๆ เอาแต่เดินไปมา ไม่ก็ไปนั่งจับกลุ่มกับชาวบ้านนินทาคนอื่น”
คนที่ถูกพูดถึงตอนนี้ได้แต่ถลึงตาใส่ ก่อนจะสวนกลับอย่างไม่ยินยอมเหมือนกัน “ฉันเป็นป้าสะใภ้หล่อน ฉันเองก็ต้องดูแลบ้านและคบค้าสมาคมกับเพื่อนบ้านบ้างสิ หรือหล่อนจะไม่ให้ฉันคบหากับใครเลย”
“เอ้า แล้วใครบอกว่าไม่ใช่คะ ป้าคือสะใภ้ใหญ่ของบ้านเฉิน ควรจะเป็นตัวอย่างให้แกลูกหลานและคนบ้านรองสิ แล้วแบบนี้ต่อไปจะเป็นคนดูแลบ้านใหญ่ต่อจากย่าได้ยังไง ในเมื่อป้าสะใภ้ไม่ทำอะไรสักอย่าง”
เฉินโม่หรานยังไม่คิดที่จะหยุด เรื่องปะทะฝีปากเธอไม่แพ้ใครอยู่แล้ว ยิ่งเรื่องพวกนี้เธอไม่มีทางยอมเหมือนร่างเดิมหรอกนะ แล้วที่สำคัญจะต้องหาเรื่องแยกบ้านและตัดขาดปลิงดูดเลือดพวกนี้ให้ได้
ในขณะที่ทั้งหมดกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น คนบ้านรองก็กลับมาถึงพอดี และเมื่อเห็นว่าคนบ้านใหญ่มายืนอยู่หน้าห้องจึงได้ถามอย่างสงสัย
“แม่ เกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกคนถึงมากันที่นี่”
“ก็ลูกสาวแกน่ะสิเจ้ารอง วันนี้เกิดบ้าอะไรไม่รู้ งานไม่ทำ
ทีหนึ่งแล้ว ยังมายืนด่าฉันกับพี่สะใภ้ของแกไม่หยุด ฉันคิดว่า ลูกสาวแกน่าจะโดนผีเข้า เช้านี้ถึงได้ไม่เหมือนเดิม”พอได้ยินแม่พูดอย่างนั้นเฉินคังจึงหันมองลูกสาว เมื่อเห็นท่าทีของเธอจึงเกิดความแปลกใจเพราะเฉินโม่หรานนั้นไม่มีท่าทีของคนป่วยหลงเหลืออยู่เลย
“พ่ออย่าไปเชื่อ ฉันกำลังนอนอยู่ ป้าสะใภ้กับพี่สาวเม่ยเม่ยมาเคาะ เอ้ย ไม่ใช่ ทุบประตูจนฉันนอนไม่ได้ แล้วยังมาว่าฉันโด
นผีเข้า ยุคสมัยนี้มันมีเสียเมื่อไรกันล่ะเรื่องผีสาง แล้ว...”เฉินโม่หรานพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ฟังอย่างละเอียด รวมถึงย่าและทุกคนมารวมตัวกันที่นี่
“ย่าจะพูดแบบนี้มันดูไม่เหมาะสมเท่าไร หรานหรานบาดเจ็บเมื่อวานเพราะย่าทุบตีอย่างไร้เหตุผล หากวันนี้เธอจะเปลี่ยนแปลงตัวเองก็คงไม่แปลกหรอก ใครอยากจะอยู่เหมือนตายกันล่ะครับ” เฉินหลงเปียวพูดเข้าข้างน้องสาวอย่างเต็มที่ ชายหนุ่มรู้สึกดีที่เฉินโม่หรานเริ่มสู้คนแล้ว
“เจ้าหลงเปียว แกพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง น้องสาวของแกโดนฉันตีแค่ไม่กี่ครั้ง แต่มันเลือกที่จะสำออยเองเลยดูเหมือนเจ็บหนัก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วเมื่อวานย่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องทุบตี
หรานหรานขนาดนั้นละครับ ย่ายังไม่ให้เหตุผลกับพวกเราเลย”ชายหนุ่มยังคงไม่ถอย แถมยังไล่บี้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน จนทำให้น้องสาวของเขาถูกทุบตีปางตายแบบนั้น
เฉินโม่หรานมองพี่ชายโต้เถียงกับคนเป็นย่าเพราะช่วยเหลือเธอ จึงเกิดความรู้สึกดีที่มีครอบครัวปกป้อง ใจนั้นคิดว่าพี่ชายคนนี้รักน้องสาวไม่น้อยเลย
เพราะตามเนื้อเรื่องแล้ว หลังจากที่เฉินโม่หรานตายไป
เขาก็ตามแก้แค้นทุกคนที่เป็นสาเหตุให้น้องสาวฆ่าตัวตาย สุดท้ายตัวเองกลับถูกจับติดคุกจนหมดอนาคต พ่อกับแม่ก็ตรอมใจ บ้านรองแทบจะล่มสลายไปเลยทีเดียวกลับมาที่ย่าเฉิน เมื่อเจอคำถามของหลานชายแบบนั้นก็หาคำตอบไม่ได้ การที่ทุบตีหลานสาวบ้านรองเพียงเพราะระบายอารมณ์โกรธของนางเท่านั้นเอง
“ไม่รู้ล่ะ อย่างไรวันนี้บ้านรองต้องทำงานเหมือนเดิม ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น” พูดจบก็รีบหมุนตัวกลับ โดยไม่ลืมถลึงตาให้ลูกหลานบ้านใหญ่เดินตามมา
เมื่อคนบ้านใหญ่กลับไปแล้ว เฉินคัง กุ้ยเจิน เฉินหลงเปียววางทิ้งทุกอย่างในมือแล้วรีบพุ่งเข้ามาหาเฉินโม่หรานเพื่อดูว่าเธอหายป่วยแล้วจริงไหม
“มีอาการอย่างไรบ้าง ไข้ลดหรือยัง” กุ้ยเจินถามออกมา
“ยังเจ็บบาดแผลหรือเปล่า พี่กับพ่อหาสมุนไพรมาได้มากเลยล่ะ เดี๋ยวจะประคบบาดแผลให้ เป็นผู้หญิงไม่ควรที่จะมีบาดแผลตามร่างกายรู้หรือเปล่า”
คนเป็นพี่ชายถามอย่างร้อนรน กลัวว่าน้องสาวยังเจ็บแผลอยู่ ส่วนคนเป็นพ่อแม้จะไม่ได้ถามอะไร แต่สายตาที่มองมาทาง
ลูกสาวนั้นกลับเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดเฉินโม่หรานเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มกว้าง เพราะครอบครัวนี้
รักกันจริง ๆ ตามเนื้อเรื่องในนิยายเลย แต่คนเป็นพ่อจะดูหัวอ่อนสักหน่อยที่ไม่ยอมแยกบ้านสักที ลูกกับเมียถึงตกอยู่ในสภาพนี้อย่างไรล่ะ“ฉันไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ แต่พ่อคะ ทำไมพวกเราไม่แยกบ้านล่ะคะ ในเมื่อบ้านใหญ่ทำกับเรายิ่งกว่าทาสในเรือนเสียอีก หรือพ่อมีเหตุผลที่ไม่ยอมแยกบ้าน”
“เรื่องนี้พ่อผิดเอง เพราะพ่อได้สัญญากับปู่ไว้ว่าจะอยู่ดูแลบ้านเฉิน ลูกก็เห็นว่าคนบ้านใหญ่เป็นอย่างไร ปู่ของลูกคงกลัวว่า
ลุงใหญ่ไม่สามารถดูแลบ้านเฉินได้น่ะ”คนเป็นพ่อพูดตามที่ปู่เฉินได้ขอร้องไว้ก่อนที่ท่านจะตาย
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์ ภายในบ้านของจ้าวหนิงเฉิง เมื่อทุกคนเข้ามาแล้ว เฉินคังและกุ้ยเจินสลับกับเราเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง แม้ว่าเฉินหลงเปียวจะโทรหาบ่อยครั้งแต่ก็จะคุยเรื่องงานและถามความเป็นอยู่มากกว่าเมื่อรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากบ้านใหญ่ ก็ไม่คิดว่าเฉินอี้โจวจะหลงผิดถึงขั้นเปลี่ยนตัวเองเป็นหัวขโมย“เพราะเรื่องนี้ด้วยไหมคะพ่อถึงยอมไปปักกิ่งกับฉัน”“ส่วนหนึ่งเท่านั้นแหละลูก พ่อไม่อยากให้ทุกคนแยกจากกัน อีกทั้งพ่อไม่ได้มีห่วงที่นี่อีกแล้ว” เขาตอบตามความเป็นจริง “ตอนนี้ตัวตนของพี่เฉิงคงกระจายทั่วแล้ว เดี๋ยวบ้านใหญ่คงรู้เรื่อง พ่อไม่กลัวว่าย่าจะมาหาเรื่องหรือขอค่าเลี้ยงดูเหรอ”เฉินโม่หรานไม่เชื่อว่าย่าของเธอจะยอมง่าย ๆ ในเรื่องนี้ และยังมีเฉินเม่ยเม่ยอีก ฝ่ายนั้นคงแค้นแทบกระอักเลือดเมื่อพรานป่าที่ปฏิเสธกลายเป็นคนร่ำรวยและมีอิทธิพลมาก“ต่อให้ย่าของลูกมาจริงอย่างที่ลูกบอก พ่อก็ไม่ให้หรอกนะ เพราะตลอดชีวิตพ่อที่ผ่านมา พ่อทำดีที่สุดแล้ว และให้ไปมากพอแล้ว ต่อจากนี้ครอบครัวของพี่ใหญ่ต้องจัดการดูแลแม่เอง”เมื่อทุกคนได้ยินต่างก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจที่เฉินคังมีความเ
บทที่ 35 เริ่มต้นใหม่ในตระกูลจ้าวยังไม่ทันที่จ้าวต้าเค่อได้ตอบคำถามของพ่อตนเอง กลับมีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมาอย่างเคียดแค้น“เรื่องในอดีตเราสองคนสามีภรรยาไม่ได้สนใจอะไรมากมาย วันนี้ที่มาเปิดเผยตัวเพราะต้องการนำตราประจำตระกูลส่งมอบให้คนที่เหมาะสม แต่ไม่คิดว่าจุดจบของสามีฉันคือความตาย เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการเลย”เฉินโม่หรานสบตากับจ้าวหมิงยังไม่เกรงกลัว ก่อนจะพูดประโยคต่อมา “ถึงแม้ว่าตอนนี้สามีฉันจะไม่อยู่แล้ว แต่ฉันคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา คุณก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างไปเพราะฉันไม่มีทางยอม!!”เสียงประกาศของหญิงสาวดังขึ้นมาอย่างชัดเจนและ เธอไม่มีท่าทีผู้หญิงอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย แม้ใบหน้าสวยหวานจะมีน้ำตาไหลอาบแก้มก็ตามนายท่านสวี่ได้ยินก็รีบพูดสนับสนุนทันที “ฉันจะสนับสนุนเธอเอง อย่างไรเธอก็คือภรรยาของจ้าวหนิงเฉิงอย่างถูกกฎหมาย นับว่าเธอคือทายาทของเขา”“ได้อย่างไร ในเมื่อฉันคือจ้าวหมิง คนที่ดูแลตระกูลจ้าวมานับสิบปี จะให้คนนอกมากุมอำนาจได้อย่างไร ฉันยังอยู่ทั้งคนไม่ยอมให้ใครมาแย่งชิงสิ่งที่ควรเป็นของฉันไปหรอกนะ อย่างไรตระกูลจ้าวก็ต้องเป็นของฉันเท
บทที่ 34 ทายาทตัวจริงปรากฎคฤหาสน์ตระกูลจ้าวเวลานี้เต็มไปด้วยผู้ทรงอิทธิพลที่มาร่วมงานกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนในเมืองหลวงหรือต่างเมืองต่างก็มาแสดงความยินดีให้กับจ้าวหมิงทุกคนต่างก็เห็นกันว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมา เขาได้พาตระกูลจ้าวให้มาอยู่ในจุดนี้โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วกิจการที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมานั้นเป็นเพราะลูกชายของเขาต่างหากล่ะ ผู้คนที่มากันอย่างมากมายมีทั้งดีใจด้วยและภาวนาให้คุณชายใหญ่ปรากฏตัวในวันนี้ เพราะนั่นคือทายาทที่แท้จริงของตระกูลจ้าวจะว่าไปแล้วก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าจ้าวหมิงต้องการแย่งตำแหน่งของพี่ชาย จึงได้ส่งคนมาจัดการ แต่ก็นั่นแหละเพราะไม่มีหลักฐานเลยทำอะไรกันไม่ได้ จึงได้แต่ภาวนาให้ทายาทตัวจริงปรากฏ“ดีใจด้วยนะนายท่านรอง ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่านายท่านจ้าว ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึงแล้ว” ชายสูงวัยคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมา พร้อมกับชูแก้วให้อีกฝ่ายคล้ายกับแสดงความดีใจด้วย“ความจริงแล้วผมก็อยากจะรอหลานชายเพียงคนเดียวนั่นแหละ แต่ไม่ว่าจะส่งคนหาไปเท่าไหร่ก็ไม่มีข่าวคราวเลย ผมเองก็จนปัญญา แต่ตระกูลต้องมีผู้นำ”เขาพูดตอบกลับมาด้วยคำพูดที่แฝงไปด้วยความเศร้าเล็กน้
บทที่ 33 จับโจรได้แล้วหลายวันต่อมา...ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เฉินหลงเปียวคาดการณ์ไว้ นั่นเพราะเฉินอี้โจวกลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้ง ทันทีที่หัวหน้าหมู่บ้านและหัวหน้าชุยรับรู้ก็เริ่มจับตามองหลานชายบ้านเฉินทันที โดยที่เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ มีเพียงคนสนิทและไว้ใจได้เท่านั้นที่ทั้งสองบอกและให้รับหน้าที่จับตาดูส่วนเฉินเม่ยเม่ยเองก็เริ่มสงสัยว่าทำไมดี๋ยวนี้พี่ชายของเธอถึงได้กลับบ้านบ่อยนัก เลยถามออกมา “นี่กลับมาอีกทำไม ไม่ใช่ถูกโรงงานไล่ออกแล้วเหรอ แล้วมีเงินกลับมาบ้างไหมตอนนี้บ้านของเราไม่เหลือเงินแล้วนะ”พอได้ยินน้องสาวพูดแบบนั้นก็แสร้งทำสีหน้าตกใจ แล้วรีบถามออกมา “เกิดเรื่องอะไรเหรอ อย่าบอกนะว่าบ้านเราโดนหัวขโมยขึ้นบ้านเหมือนคนอื่นในหมู่บ้าน”“ก็ใช่นะสิ ย่านี่ด่าไม่หยุดเลยแถมยังสาปแช่งที่กล้ามาขโมยเงินของย่าไป แล้วที่ถามนี่มีเงินไหมขอเงินหน่อยสิ” หญิงสาวแบมือรอรับเงินจากพี่ชาย เธอตั้งใจจะเข้าเมืองสักหน่อย“ฉันไม่มีหรอก นี่กว่าเงินเดือนของโรงงานจะออกก็อีกตั้งหลายวัน ที่ฉันกลับมาบ้านเพราะที่ผ่านมาไม่เคยหยุดหรือลาเลยอย่างไรล่ะ ทำให้มีวันหยุดเยอะ เธอก็เลิกถามเถอะ ฉันเหนื่อยจะเข้าไปนอนส
บทที่ 32 ผู้ต้องสงสัยหลักสองย่าหลานได้ยินอย่างนั้นก็หันมาสบตากันทันที พยายามนึกว่าเธอลืมลงกลอนประตูและหน้าต่างหรือเปล่า“ไม่นะย่า อย่ามองฉันอย่างนั้น ฉันไม่มีทางลืมใส่กลอนประตูแน่นอน นอกเสียจากว่าพี่ใหญ่กับพ่อจะออกไปไหนตอนกลางคืนแล้วลืมใส่กลอนประตูจนทำให้หัวขโมยมันเข้ามาในบ้านโดยที่เราไม่รู้ตัว” เฉินเม่ยเม่ยรีบปฎิเสธ“ส่วนฉันจะต้องไปแจ้งเจ้าหน้าที่เรื่องนี้ ฉันไม่ยอมสูญเสียเงินไปแน่นอน จะต้องตามจับหัวขโมยชั่วนั่นมาให้ได้” หญิงชราประกาศกร้าว สีหน้าและท่าทางดูแค้นเคืองเจ้าหัวขโมยนั้นเหมือนอยากจะฆ่าให้อีกฝ่ายตายคามือ โดยที่ไม่รู้เลยว่าหัวขโมยชั่วที่ย่าเฉินทั้งด่าทั้งแช่งนั้นคือหลานชายตัวเอง และเป็นหลานชายสุดที่รักอีกต่างหากเมื่อเห็นว่าย่าเฉินฟื้นแล้วและดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร ชาวบ้านที่เข้ามาช่วยเลยเข้ามาดูก็ทยอยกันออกมา แต่ก็คิดว่าเรื่องนี้มันแปลกเกินไป บ้านอื่นประตูบ้านและหน้าต่างถูกงัดแงะแต่บ้านเฉินกลับไม่มีร่องรอยอะไรเลย ดูเหมือนจะเป็นการกระทำของคนในบ้านเสียมากกว่า ทว่ากลับไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพราะกลัวปากของย่าเฉินเรื่องบ้านใหญ่เฉินตอนนี้กระจายไปทั่วหมู่บ้านแล้วทุกคนรู้ว่าบ้านหลัง
บทที่ 31 บ้านใหญ่ถูกปล้นเหมือนกันเมื่อทางหมู่บ้านมีการเดินเวรยามเพื่อหาวิธีจับหัวขโมยที่ขโมยเงินของชาวบ้าน ก็ทำให้โจรตัวจริงอย่างเฉินอี้โจวเริ่มกระวนกระวายใจนั่นก็เพราะว่าเงินที่หามาได้ยังไม่ครบตามจำนวนที่ต้องไปใช้หนี้ให้กับบ่อนการพนัน และยังไม่พอให้เขาต่อยอดได้แก้มือ แต่เมื่อเห็นน้องสาวขอเงินย่า ก็เริ่มมีความคิดที่จะขโมยเงินของบ้านตนเอง“ย่าตอนนี้ของกินของใช้อะไรหมดแล้วนะ ขอเงินไปซื้อหน่อยสิ” เฉินเม่ยเม่ยแบมือขอเงินคนเป็นย่า เพราะตอนนี้ของใช้ในบ้านนั้นหมดแล้ว“จะซื้ออะไรนักหนา ของกินก็หาเก็บในป่าสิ มันก็กินได้เหมือนกันนั่นแหละ ตอนนี้อี้โจวก็กลับมาอยู่บ้านไปช่วยหาสัตว์ป่าสักหน่อยก็ได้ บ้านเราก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์นานแล้วนะ”หญิงชราไม่ค่อยอยากจะควักเงินออกจากกระเป๋า ตั้งแต่บ้านรองแยกบ้านออกไป ก็แทบจะไม่มีรายรับเข้ามาเลย มีแต่รายจ่ายอย่างเดียว หากยังเป็นอย่างนี้ สักวันเงินก็คงจะหมด“ก็หลานชายสุดที่รักของย่าน่ะสิ วัน ๆ เอาแต่นอนไม่รู้ไปทำอะไรมานักหนา ถ้าเกิดย่าอยากกินเนื้อแล้วไม่จ่ายเงินก็ให้หลานชายไปหาเอาก็แล้วกัน แต่ตอนนี้แป้งและข้าวสารหมดแล้ว ถ้าไม่ให้เงินไปซื้อ เย็นนี้จะกินอะไร” หญิ