ปัง ๆ ๆ เสียงทุบประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้คนที่อยู่ด้านในได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินมาเปิดประตู
‘ทะลุมิติมาวันแรก เจองานหนักเสียแล้ว แต่ถ้าทำตัวหงอคงถูกใช้งานและถูกรังแกไม่จบไม่สิ้นแน่’
“มีเรื่องอะไรอีกเหรอคะ” หญิงสาวถามออกมา พร้อมกับกวาดสายตามองคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง “นี่ขนกันมาหมดเลยหรือ”
“กล้าดีอย่างไรถึงได้ตวาดใส่ป้าสะใภ้ของหล่อน” ย่าเฉินยืนเท้าสะเอวแล้วถามเสียงดัง
“แล้วยังไงคะ ทำไมย่าไม่ถามป้าสะใภ้ล่ะว่าเคาะเรียกหรือทุบประตูเรียก”
“ก็หล่อนไม่ยอมลุกมาทำงาน หุงหาอาหารนี่ ฉันเลยต้องทุบประตู” ฟางอี้เหนียงโต้เถียงกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้เหมือนกัน
“ทุกคนลืมไปหรือเปล่าว่า เมื่อวานฉันโดนย่าตีอย่างไร้เหตุผล ทำให้ฉันเกือบตาย เอ๊ะ! หรือว่าฉันตายไปแล้ว แต่ก็ช่างเถอะ ฉันเจ็บหนักขนาดนั้นทำไมคนบ้านใหญ่ไม่คิดสงสารกันบ้าง งานบ้านก็ไม่หนักหนาอะไร ทำไมป้าสะใภ้กับพี่เม่ยเม่ยไม่ทำเองล่ะ” เฉินโม่หรานกอดอกแล้วยืนพิงประตู
“หล่อนเจ็บหนักที่ไหน คนเจ็บหนักจะมายืนเถียงแบบนี้ได้อย่างไรกัน ไม่รู้ล่ะ ฉันเป็นย่า ใหญ่สุดในบ้านนี้ ฉันสั่งให้หล่อนไปทำอาหารและทำงานบ้าน แล้วนี่เจ้ารองกับเมียของมันไปไหน”
ย่าเฉินถือว่าตนนั้นใหญ่สุดในบ้าน จะพูดจาหรือว่าสั่งงานให้ใครทำ คนนั้นย่อมต้องทำตาม ไม่มีสิทธิ์ปฎิเสธ
“พ่อกับแม่รวมถึงพี่ใหญ่ขึ้นเขาไปหาสมุนไพรมาต้มให้ฉันกิน เพราะบ้านรองของเราไม่มีเงินซื้อยาอย่างไรละคะ ย่าเองไม่ใช่หรือที่ไม่ให้เงิน อีกอย่างไม่ว่าบ้านรองหามาได้เท่าไรก็ต้องส่งให้บ้านใหญ่ทั้งหมด แม้แต่ไข่ไก่สักฟองยังยากที่จะได้กิน”
หญิงสาวพูดออกมาตามที่มีในความทรงจำ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมบ้านใหญ่ไม่ให้บ้านรองแยกบ้าน ทั้งที่จงเกลียดจงชังขนาดนั้น
“แม่ ผมว่าที่อี้เหนียงบอกน่าจะจริง โม่หรานอาจจะถูก
ผีเข้า ดูท่าทางของเธอสิ เปลี่ยนไปราวกับคนละคน”เฉินควนกระซิบข้างหูของแม่ตัวเอง ใจนั้นเชื่อเกินแปดส่วนไปแล้วว่าหลานสาวโดนผีเข้า
เมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกชายบอก ย่าเฉินรีบพยักหน้ารับเพราะเธอก็เชื่อเหมือนกันว่าหลานสาวเป็นอย่างที่ทุกคนในบ้านใหญ่พูด
ส่วนเฉินโม่หรานยังคงยืนมองคนจากบ้านใหญ่ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา อีกทั้งเธอยังมองดูท่าทีของคนจากบ้านใหญ่ด้วยว่าต่อจากนี้จะไปยังทิศทางไหน แต่ที่แน่ ๆ ทุกคนคิดไปในทิศทางเดียวกันว่าเธอนั้นโดนผีเข้า
แม้ว่าจะคิดไปทิศทางเดียวกันกับลูกชายและลูกสะใภ้
แต่เรื่องทำงานนางไม่ยอมให้หลานสาวอยู่เฉยแน่ จึงได้พูดออกมาอีกครั้งอย่างไม่พอใจ“ไม่ว่าอย่างไรเช้านี้บ้านรองต้องทำงานเหมือนเดิม
เสร็จจากงานบ้านแล้วก็ไปทำงานในทุ่ง เข้าใจไหม”“ไม่เข้าใจค่ะ ป้าสะใภ้ใหญ่กับพี่สาวเม่ยเม่ยก็ว่าง ไม่เห็นจะทำอะไรเลย วัน ๆ เอาแต่เดินไปมา ไม่ก็ไปนั่งจับกลุ่มกับชาวบ้านนินทาคนอื่น”
คนที่ถูกพูดถึงตอนนี้ได้แต่ถลึงตาใส่ ก่อนจะสวนกลับอย่างไม่ยินยอมเหมือนกัน “ฉันเป็นป้าสะใภ้หล่อน ฉันเองก็ต้องดูแลบ้านและคบค้าสมาคมกับเพื่อนบ้านบ้างสิ หรือหล่อนจะไม่ให้ฉันคบหากับใครเลย”
“เอ้า แล้วใครบอกว่าไม่ใช่คะ ป้าคือสะใภ้ใหญ่ของบ้านเฉิน ควรจะเป็นตัวอย่างให้แกลูกหลานและคนบ้านรองสิ แล้วแบบนี้ต่อไปจะเป็นคนดูแลบ้านใหญ่ต่อจากย่าได้ยังไง ในเมื่อป้าสะใภ้ไม่ทำอะไรสักอย่าง”
เฉินโม่หรานยังไม่คิดที่จะหยุด เรื่องปะทะฝีปากเธอไม่แพ้ใครอยู่แล้ว ยิ่งเรื่องพวกนี้เธอไม่มีทางยอมเหมือนร่างเดิมหรอกนะ แล้วที่สำคัญจะต้องหาเรื่องแยกบ้านและตัดขาดปลิงดูดเลือดพวกนี้ให้ได้
ในขณะที่ทั้งหมดกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น คนบ้านรองก็กลับมาถึงพอดี และเมื่อเห็นว่าคนบ้านใหญ่มายืนอยู่หน้าห้องจึงได้ถามอย่างสงสัย
“แม่ เกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกคนถึงมากันที่นี่”
“ก็ลูกสาวแกน่ะสิเจ้ารอง วันนี้เกิดบ้าอะไรไม่รู้ งานไม่ทำ
ทีหนึ่งแล้ว ยังมายืนด่าฉันกับพี่สะใภ้ของแกไม่หยุด ฉันคิดว่า ลูกสาวแกน่าจะโดนผีเข้า เช้านี้ถึงได้ไม่เหมือนเดิม”พอได้ยินแม่พูดอย่างนั้นเฉินคังจึงหันมองลูกสาว เมื่อเห็นท่าทีของเธอจึงเกิดความแปลกใจเพราะเฉินโม่หรานนั้นไม่มีท่าทีของคนป่วยหลงเหลืออยู่เลย
“พ่ออย่าไปเชื่อ ฉันกำลังนอนอยู่ ป้าสะใภ้กับพี่สาวเม่ยเม่ยมาเคาะ เอ้ย ไม่ใช่ ทุบประตูจนฉันนอนไม่ได้ แล้วยังมาว่าฉันโด
นผีเข้า ยุคสมัยนี้มันมีเสียเมื่อไรกันล่ะเรื่องผีสาง แล้ว...”เฉินโม่หรานพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ฟังอย่างละเอียด รวมถึงย่าและทุกคนมารวมตัวกันที่นี่
“ย่าจะพูดแบบนี้มันดูไม่เหมาะสมเท่าไร หรานหรานบาดเจ็บเมื่อวานเพราะย่าทุบตีอย่างไร้เหตุผล หากวันนี้เธอจะเปลี่ยนแปลงตัวเองก็คงไม่แปลกหรอก ใครอยากจะอยู่เหมือนตายกันล่ะครับ” เฉินหลงเปียวพูดเข้าข้างน้องสาวอย่างเต็มที่ ชายหนุ่มรู้สึกดีที่เฉินโม่หรานเริ่มสู้คนแล้ว
“เจ้าหลงเปียว แกพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง น้องสาวของแกโดนฉันตีแค่ไม่กี่ครั้ง แต่มันเลือกที่จะสำออยเองเลยดูเหมือนเจ็บหนัก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วเมื่อวานย่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องทุบตี
หรานหรานขนาดนั้นละครับ ย่ายังไม่ให้เหตุผลกับพวกเราเลย”ชายหนุ่มยังคงไม่ถอย แถมยังไล่บี้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน จนทำให้น้องสาวของเขาถูกทุบตีปางตายแบบนั้น
เฉินโม่หรานมองพี่ชายโต้เถียงกับคนเป็นย่าเพราะช่วยเหลือเธอ จึงเกิดความรู้สึกดีที่มีครอบครัวปกป้อง ใจนั้นคิดว่าพี่ชายคนนี้รักน้องสาวไม่น้อยเลย
เพราะตามเนื้อเรื่องแล้ว หลังจากที่เฉินโม่หรานตายไป
เขาก็ตามแก้แค้นทุกคนที่เป็นสาเหตุให้น้องสาวฆ่าตัวตาย สุดท้ายตัวเองกลับถูกจับติดคุกจนหมดอนาคต พ่อกับแม่ก็ตรอมใจ บ้านรองแทบจะล่มสลายไปเลยทีเดียวกลับมาที่ย่าเฉิน เมื่อเจอคำถามของหลานชายแบบนั้นก็หาคำตอบไม่ได้ การที่ทุบตีหลานสาวบ้านรองเพียงเพราะระบายอารมณ์โกรธของนางเท่านั้นเอง
“ไม่รู้ล่ะ อย่างไรวันนี้บ้านรองต้องทำงานเหมือนเดิม ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น” พูดจบก็รีบหมุนตัวกลับ โดยไม่ลืมถลึงตาให้ลูกหลานบ้านใหญ่เดินตามมา
เมื่อคนบ้านใหญ่กลับไปแล้ว เฉินคัง กุ้ยเจิน เฉินหลงเปียววางทิ้งทุกอย่างในมือแล้วรีบพุ่งเข้ามาหาเฉินโม่หรานเพื่อดูว่าเธอหายป่วยแล้วจริงไหม
“มีอาการอย่างไรบ้าง ไข้ลดหรือยัง” กุ้ยเจินถามออกมา
“ยังเจ็บบาดแผลหรือเปล่า พี่กับพ่อหาสมุนไพรมาได้มากเลยล่ะ เดี๋ยวจะประคบบาดแผลให้ เป็นผู้หญิงไม่ควรที่จะมีบาดแผลตามร่างกายรู้หรือเปล่า”
คนเป็นพี่ชายถามอย่างร้อนรน กลัวว่าน้องสาวยังเจ็บแผลอยู่ ส่วนคนเป็นพ่อแม้จะไม่ได้ถามอะไร แต่สายตาที่มองมาทาง
ลูกสาวนั้นกลับเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดเฉินโม่หรานเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มกว้าง เพราะครอบครัวนี้
รักกันจริง ๆ ตามเนื้อเรื่องในนิยายเลย แต่คนเป็นพ่อจะดูหัวอ่อนสักหน่อยที่ไม่ยอมแยกบ้านสักที ลูกกับเมียถึงตกอยู่ในสภาพนี้อย่างไรล่ะ“ฉันไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ แต่พ่อคะ ทำไมพวกเราไม่แยกบ้านล่ะคะ ในเมื่อบ้านใหญ่ทำกับเรายิ่งกว่าทาสในเรือนเสียอีก หรือพ่อมีเหตุผลที่ไม่ยอมแยกบ้าน”
“เรื่องนี้พ่อผิดเอง เพราะพ่อได้สัญญากับปู่ไว้ว่าจะอยู่ดูแลบ้านเฉิน ลูกก็เห็นว่าคนบ้านใหญ่เป็นอย่างไร ปู่ของลูกคงกลัวว่า
ลุงใหญ่ไม่สามารถดูแลบ้านเฉินได้น่ะ”คนเป็นพ่อพูดตามที่ปู่เฉินได้ขอร้องไว้ก่อนที่ท่านจะตาย
บทที่ 5 เริ่มวางแผนจัดการอนาคตทันทีที่ได้ยินเฉินโม่หรานถามแบบนั้น ทั้งสามคนรีบส่ายหน้าพร้อมกัน“พ่อจะกลัวลูกสาวของตัวเองทำไม ตอนนี้พ่อคิดว่าต้องหาทางแยกบ้านให้ได้ เกิดวันใดที่บ้านใหญ่รู้ลูกจะไม่ปลอดภัย” เฉินคังพูดออกมาอย่างไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไร นั่นเพราะยังหาเหตุผลที่จะแยกบ้านไม่ได้“พี่เองก็ไม่กลัวน้องหรอก เราเป็นพี่น้องกันจะกลัวทำไม พี่กังวลเรื่องเดียว คือเราจะหาวิธีไหนที่จะแยกบ้าน ดูแล้วย่าคงไม่ยอมง่าย ๆ”“นั่นสิ แม่เห็นด้วยกับพ่อและพี่ชายของลูก เรื่องหวาดกลัวเพราะลูกมีของวิเศษ พวกเราไม่กลัวกรอก แต่พวกเรากังวลเรื่องเดียวเท่านั้น” กุ้ยเจินที่นิ่งเงียบอยู่นานพูดขึ้นมาบ้างตอนนี้ความกังวลของทั้งสามคนไปในมทิศทางเดียวกันคือ ทำอย่างไรถึงจะแยกบ้านได้พอเฉินโม่หรานได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พูดอะไร ทำเพียงยิ้มให้ แล้วพูดขึ้นมาว่า “เรื่องแยกบ้านเชื่อฉันเถอะว่าเราต้องทำได้ แต่ก่อนอื่นเราต้องหาทุนสำรองของบ้านกันก่อน เพราะถ้าหากแยกบ้านแล้วอย่างน้อยก็ต้องมีเงินก่อสร้างบ้าน ฉันอยากจะซื้อบ้านในเมืองให้ทุกคนอยู่ด้วยกัน แต่ก็รู้ดีว่ามันยากเกินความสามารถของพวกเรา”เรื่องซื้อบ้านเท่าที่รู้จากความทรงจ
บทที่ 4 เขาคือพรานป่าคนนั้นตลอดสองข้างทางแม้จะมีคนจับตามองและซุบซิบกัน แต่ว่าเฉินโม่หรานหาได้สนใจไม่ ในใจนั้นรู้ดีว่าคนพวกนี้ก็คงจะนินทาเธอเหมือนเดิมหญิงสาวใช้เวลาไม่นานก็เดินขึ้นเขามา ก่อนจะมองหาที่ลับตาคน แล้วจัดการสถานที่ให้เรียบร้อย สาเหตุที่ว่าทำไมถึงไม่พากลับไปกินที่บ้าน นั่นก็เพราะกลัวว่าบ้านใหญ่จะรับรู้และได้กลิ่นอาหาร ไม่ใช่ว่าไม่พร้อมสู้ แต่มันยังไม่ถึงเวลาต่างหาก“วันนี้คงเอาอะไรออกมามากไม่ได้ นอกจากเนื้อไก่หนึ่งตัว รวมกับปลาอีกสี่ตัวก็คงจะอิ่มกันแล้วล่ะ”เฉินโม่หรานเอาทั้งสองอย่างออกมาจากมิติ และหาที่ที่มีกองใบไม้ เพื่อจะให้พวกปิดบังอาหารที่เธอเอาออกมาหลังจากที่จัดการเสร็จทุกอย่างแล้ว ก็รีบมุ่งหน้าไปแปลงข้าวโพดที่ครอบครัวของเธอทำงานอยู่ขณะเดียวกันเมื่อเธอกำลังเดินลงมา กลับพบใครบางคนเข้าพอดี จากความทรงจำของร่างนี้ เขาคงจะเป็นพรานป่าที่ชื่อจ้าวหนิงเฉิง หรือที่ใครเรียกกันว่าพรานเฉิงจ้าวหนิงเฉิงเดินลงมาจากเขาโดยมีกระต่ายป่าติดมือมาด้วย เมื่อเห็นว่าพบเจอใครเขากลับชะงักเล็กน้อย นั่นเพราะใบหน้าของเขามีแผลยาวตรงแก้มซ้ายอย่างน่ากลัวหญิงสาวในหมู่บ้านต่างก็รังเกียจทั้งนั้น ซ
บทที่ 3 พบเจอพระนางในนิยายเรื่องนี้เฉินโม่หรานกลับไม่คิดอย่างนั้น เธอมองว่าปู่ที่ตายไปแล้วต้องการให้พ่อของเธอรับใช้บ้านใหญ่จนวันตายถึงได้พูดฝากฝังแบบนั้นแต่ไม่เป็นไร วันที่บ้านใหญ่มายื่นข้อเสนอเพื่อให้เธอแต่งงานกับญาติผู้พี่ เธอต้องแลกข้อเสนอนี้ออกไป ทว่าก่อนถึงวันนั้นจะต้องหาเงินให้ได้เยอะ ๆ เสียก่อน‘แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ฉันไม่ได้มีมิติส่วนตัวเหมือนคนอื่นที่ทะลุมิติมานี่นา’ หญิงสาวได้แต่คิดในใจ และน้อยใจตัวเองที่ไม่มีนิ้วทองคำเหมือนคนอื่นเขา“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะพ่อ การที่ปู่พูดแบบนั้นคงต้องการให้บ้านรองของพวกเรารับใช้บ้านใหญ่ไปจนวันตาย ดูพี่ใหญ่สิตอนนี้อายุเหมาะแก่การแต่งงานแล้ว ยังไม่มีสะใภ้เข้าบ้านเลย”“ที่น้องพูดมาก็มีเหตุผลนะพ่อ” เฉินหลงเปียวเห็นด้วยกับสิ่งที่น้องพูด ปู่คงไม่อยากให้บ้านรองแยกบ้านเพราะกลัวบ้านใหญ่จะไม่มีคนทำงานให้มากกว่าจากนั้นก็หันมาพูดกับน้องสาวอย่างยิ้มแย้ม “ส่วนเรื่องแต่งงานพี่ยังไม่คิด และคงไม่มีหญิงสาวที่ไหนอยากแต่งเข้ามาหรอกนะ แค่สภาพความเป็นอยู่บ้านเราก็ไม่เอื้ออำนวยแล้ว”เขาไม่เสียใจกับโชคชะตา แต่เสียใจที่ไม่สามารถพาครอบครัวและทุกคนที่รักหลุดพ้นออ
บทที่ 2 เฉินโม่หรานเปลี่ยนไปปัง ๆ ๆ เสียงทุบประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้คนที่อยู่ด้านในได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินมาเปิดประตู‘ทะลุมิติมาวันแรก เจองานหนักเสียแล้ว แต่ถ้าทำตัวหงอคงถูกใช้งานและถูกรังแกไม่จบไม่สิ้นแน่’ “มีเรื่องอะไรอีกเหรอคะ” หญิงสาวถามออกมา พร้อมกับกวาดสายตามองคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง “นี่ขนกันมาหมดเลยหรือ”“กล้าดีอย่างไรถึงได้ตวาดใส่ป้าสะใภ้ของหล่อน” ย่าเฉินยืนเท้าสะเอวแล้วถามเสียงดัง“แล้วยังไงคะ ทำไมย่าไม่ถามป้าสะใภ้ล่ะว่าเคาะเรียกหรือทุบประตูเรียก”“ก็หล่อนไม่ยอมลุกมาทำงาน หุงหาอาหารนี่ ฉันเลยต้องทุบประตู” ฟางอี้เหนียงโต้เถียงกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้เหมือนกัน“ทุกคนลืมไปหรือเปล่าว่า เมื่อวานฉันโดนย่าตีอย่างไร้เหตุผล ทำให้ฉันเกือบตาย เอ๊ะ! หรือว่าฉันตายไปแล้ว แต่ก็ช่างเถอะ ฉันเจ็บหนักขนาดนั้นทำไมคนบ้านใหญ่ไม่คิดสงสารกันบ้าง งานบ้านก็ไม่หนักหนาอะไร ทำไมป้าสะใภ้กับพี่เม่ยเม่ยไม่ทำเองล่ะ” เฉินโม่หรานกอดอกแล้วยืนพิงประตู“หล่อนเจ็บหนักที่ไหน คนเจ็บหนักจะมายืนเถียงแบบนี้ได้อย่างไรกัน ไม่รู้ล่ะ ฉันเป็นย่า ใหญ่สุดในบ้านนี้ ฉันสั่งให้หล่อนไ
บทที่ 1 ทะลุมิติเข้ามาในนิยายหมู่บ้านหนานอี้ เมืองโจวหมิง ปี 1979ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังลั่น แต่อย่าเรียกว่าเคาะเลยต้องเรียกว่าทุบดีกว่า“ไม่คิดจะหุงหาอาหารหรืออย่างไร นี่ก็สว่างแล้วนะ”เสียงเรียกของฟางอี้เหนียงหรือสะใภ้ใหญ่ของบ้านเฉินร้องเรียกอยู่หน้าห้องของบ้านรอง“หรือว่ายังไม่มีใครตื่นคะแม่ เมื่อวานย่าตีนังโม่หรานหนักขนาดนั้น วันนี้บ้านรองคงไม่อยากออกมาทำงานหรือเปล่าคะ ห้องนี้เงียบเชียว” เฉินเม่ยเม่ยจีบปากจีบคอพูดกับแม่ของตัวเองอย่างไม่พอใจส่วนภายในห้องเวลานี้หญิงสาวที่นอนอยู่กำลังรู้สึกตัว ทว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าเธอนั้นไม่ได้อยู่ที่ห้องตัวเอง“ที่นี่คือที่ไหน” หญิงสาวสะบัดศรีษะเล็กน้อยเพื่อให้สมองคลายความมึนงง แต่เมื่อเธอมองรอบห้อง กลับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะห้องนี้ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ“อะไรนะ!! นี่มันปี 1979”ขณะที่กำลังตกใจอยู่นั้น ภาพความทรงจำต่าง ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัว ทำให้รู้ว่าเธอนั้นได้ทะลุมิติเข้ามาในนิยายที่เพิ่งอ่านไป‘ฉันคือเฉินโม่หราน นางร้ายที่ออกมาไม่กี่ฉากก็ต้องตาย’ เธอได้แต่คิดในใจ เท่าที่จำได้ ในนิยายบอกว่าเฉินโม่หรานตายไปตอนที่ถูกย