เรื่องนี้เฉินโม่หรานกลับไม่คิดอย่างนั้น เธอมองว่าปู่ที่ตายไปแล้วต้องการให้พ่อของเธอรับใช้บ้านใหญ่จนวันตายถึงได้พูด
ฝากฝังแบบนั้นแต่ไม่เป็นไร วันที่บ้านใหญ่มายื่นข้อเสนอเพื่อให้เธอแต่งงานกับญาติผู้พี่ เธอต้องแลกข้อเสนอนี้ออกไป ทว่าก่อนถึง
วันนั้นจะต้องหาเงินให้ได้เยอะ ๆ เสียก่อน‘แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ฉันไม่ได้มีมิติส่วนตัวเหมือนคนอื่นที่ทะลุมิติมานี่นา’ หญิงสาวได้แต่คิดในใจ และน้อยใจตัวเองที่ไม่มีนิ้วทองคำเหมือนคนอื่นเขา
“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะพ่อ การที่ปู่พูดแบบนั้นคงต้องการให้บ้านรองของพวกเรารับใช้บ้านใหญ่ไปจนวันตาย ดูพี่ใหญ่สิตอนนี้อายุเหมาะแก่การแต่งงานแล้ว ยังไม่มีสะใภ้เข้าบ้านเลย”
“ที่น้องพูดมาก็มีเหตุผลนะพ่อ” เฉินหลงเปียวเห็นด้วยกับสิ่งที่น้องพูด ปู่คงไม่อยากให้บ้านรองแยกบ้านเพราะกลัวบ้านใหญ่จะไม่มีคนทำงานให้มากกว่า
จากนั้นก็หันมาพูดกับน้องสาวอย่างยิ้มแย้ม “ส่วนเรื่องแต่งงานพี่ยังไม่คิด และคงไม่มีหญิงสาวที่ไหนอยากแต่งเข้ามาหรอกนะ แค่สภาพความเป็นอยู่บ้านเราก็ไม่เอื้ออำนวยแล้ว”
เขาไม่เสียใจกับโชคชะตา แต่เสียใจที่ไม่สามารถพาครอบครัวและทุกคนที่รักหลุดพ้นออกจากบ้านนี้ได้ ทั้งที่เขาเป็นลูกชายคนโตของบ้านรอง
และดูสภาพความเป็นอยู่สิ สี่ชีวิตต้องอยู่กันเพียงแค่ในห้องที่บ้านใหญ่แบ่งให้ ซึ่งห้องนี้เท่าที่พ่อกับแม่เคยบอก คือห้องเก็บของ!
“อย่าเพิ่งทุ่มเถียงกันเรื่องนี้เลย สักวันบ้านของเราจะต้องหลุดพ้นออกจากที่นี่ ต่อให้พ่อของลูกจะขอแยกบ้าน แต่เชื่อแม่เถอะว่าย่าของลูกไม่มีทางยอม” คนเป็นแม่อย่างกุ้ยเจินพูดขึ้นมาบ้างหลังจากที่เงียบไป จากนั้นจึงหันมาทางลูกสาว
“ส่วนลูก ถึงแม้จะอาการดีขึ้นแล้ว แต่วันนี้ยังไม่ต้องทำงานหรอก ส่วนเรื่องอาหารเดี๋ยวแม่ทำเอง อย่างน้อยบ้านเราก็กินด้วย” เธอตัดบท เพราะไม่อยากให้ลูกสาวคิดมาก ถึงแม้ว่าจะแปลกใจกับท่าทีเปลี่ยนไปของอีกฝ่ายก็ตาม
“นั่นสิ ทำตามที่แม่พูดก็แล้วกันนะ เดี๋ยวพ่อไปช่วยแม่ของลูกทำอาหารเอง ลูกกลับเข้าห้องไปพักผ่อนเถอะ”
คนเป็นพ่อเห็นด้วยกับภรรยา อีกอย่างเรื่องแยกบ้านต่อให้ไม่มีคำสั่งเสียทิ้งไว้ เขาก็เชื่อว่าแม่ของตนเองไม่มีทางให้แยกบ้านแน่นอน และถ้าจะแยกบ้านคงรอให้สิ้นอายุขัยของแม่ไปเสียก่อนถึงจะทำได้
“ถ้าอย่างนั้นผมจะต้มยาให้น้องเอง ถึงแม้ว่าหายแล้วแต่ก็ต้องกิน” เฉินหลงเปียวรีบบอกว่าจะทำหน้าที่นี้เอง
เฉินโม่หรานที่ได้ยินแทบจะร้องห้าม เพราะยาต้มนั้น
โคตรขมเลย แต่ถ้าปฎิเสธก็กลัวว่าจะถูกครอบครัวสงสัย“ขอบคุณนะคะทุกคน วันหนึ่งฉันจะทำให้ พ่อ แม่ พี่ใหญ่หลุดพ้นจากที่นี่ ฉันให้สัญญา”
หญิงสาวให้คำมั่นสัญญา ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้อง
โดยมีสายตาของทั้งสามคนมองตามไปช่วงสายของวันเดียวกัน...
หลังจากที่ได้นอนเต็มอิ่ม เฉินโม่หรานรีบลุกขึ้นมาพร้อมกับบิดกายเล็กน้อยเพื่อขับไล่ความเหนื่อยล้า
แต่แล้วสายตากลับมองเห็นภาพดอกเหลียนฮวาตรงกลางฝ่ามือ “เอ๊ะ มาได้ยังไงกันนะ” เธออุทานออกมาด้วยความตกใจ
“หรือว่าจะเป็นมิติเหมือนที่เคยอ่านในนิยาย งั้นลองดูหน่อยก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็รีบลูบตรงกลางฝ่ามือที่มีดอกเหลียนฮวาปรากฎอยู่ พร้อมกับหลับตาลงแล้วนึกถึงมิติ
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับพบห้างสรรพสินค้าที่เธอเพิ่งมีโครงการจะสร้าง แต่มันน่าแปลกใจที่ห้างสรรพสินค้านี้มีทุกอย่างแล้ว ทั้งที่ก่อนที่เธอจะตายเพิ่งจะเริ่มเสาเข็มเท่านั้น
“แบบนี้ก็ดี อย่างน้อยก็มีอาหารจะได้ไม่อดตาย”
พูดจบก็เดินตรวจดูทุกชั้นทุกแผนกอย่างอารมณ์ดี พอเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ก็รีบออกมาเพราะกลัวว่าจะมีใครมาหาที่บ้าน
“ขอข้าวกะเพราไข่ดาว” เธอจำได้ว่ามีแผนกอาหารอยู่เลยตัดสินใจลองเรียกออกมาดู
สิ้นคำของเฉินโม่หราน ข้าวกะเพราไข่ดาวก็อยู่ตรงหน้าทันที นี่จึงทำให้เธอยิ้มแก้มปริ และปรบมือออกมาอย่างดีใจ
ณ แปลงข้าวโพดของกองพลน้อย
ตอนนี้ถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวข้าวโพดแล้ว ในหมู่บ้านนี้ผลผลิตที่เยอะที่สุดคงจะเป็นข้าวโพด เลยทำให้ทุกคนรวมตัวกันที่นี่ และแม้จะอยู่กลางแดด ทุกคนก็ไม่หวั่นเพราะอยากให้งานเสร็จเร็ว
“อีกไม่นานก็ได้พักแล้ว พ่อเป็นอย่างไรบ้างไหวไหม”
เฉินหลงเปียวกลัวว่าพ่อจะเป็นลมแดด เลยถามอยู่ตลอด“พ่อยังไหว ลูกไม่ต้องห่วงหรอก” เฉินคังแม้ว่าจะอายุสี่สิบกว่าปีแต่ร่างกายยังแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกัน การที่ต้องอยู่กลางแดดแบบนี้เขายังทนไหว
“แต่สีหน้าพ่อดูอ่อนล้ามากเลย ผมคิดว่าพ่อไปพักสักหน่อยไหม เดี๋ยวในส่วนของพ่อผมทำเอง” ชายหนุ่มยังคงกังวล เนื่องจากสีหน้าของคนเป็นพ่อดูจะเหนื่อยล้าเต็มทนแล้ว
“ไม่ต้องห่วงหรอก พ่อยังไหว เดี๋ยวก็ได้พักแล้วล่ะ” เขายังตอบกลับเหมือนเดิม
เมื่อเห็นว่าพ่อยังดื้อดึงที่จะทำงานต่อ เฉินหลงเปียวจึงได้แต่ก้มหน้าทำงาน ทว่าสายตายังคงคอยมองไปทางพ่อตนเองอยู่ตลอด เพราะกลัวว่าท่านจะเป็นลมไป
ส่วนทางด้านของเฉินโม่หราน หลังจากที่กินข้าวจนอิ่มแล้ว ก็คิดถึงพ่อกับแม่รวมถึงพี่ชาย เธออยากให้ทุกคนได้กินอิ่ม แต่จะทำอย่างไร เพราะกลัวว่าทั้งสามคนจะตกใจกับมิติที่เธอมี
“จะทำอย่างไรดี ฉันอยากให้ทั้งสามคนกินอิ่มเหมือนกัน”
หญิงสาวได้แต่พูดกับตัวเอง ก่อนจะคิดบางอย่างได้ แล้วรีบเดินออกมาจากห้องมุ่งตรงไปยังกองพลน้อยในส่วนที่ครอบครัวของเธอทำงานอยู่
ระหว่างทางก็มีชาวบ้านคอยเมียงมอง สงสัยว่าลูกสาวบ้านรองเฉินหายดีแล้วเหรอ จนมียุวปัญาชนชายคนหนึ่งรีบเดินเข้ามาหา
“หายดีแล้วเหรอโม่หราน” กู้เลี่ยงรุ่ยยิ้มแย้ม หากเป็นหญิงสาวทั่วไปหรือเจ้าของร่างเดิมคงเคลิ้มกับรอยยิ้มของเขา แต่ไม่ใช่กับเฉินโม่หรานคนนี้ เพราะเธอรู้ดีว่าชายตรงหน้าคือพระเอกในนิยายเรื่องนี้อย่างไรล่ะ และเขายังมีคนรักแล้ว ซึ่งเป็นนางเอกของเรื่อง
“อ้าวเธอหายแล้วเหรอ ได้ข่าวว่าถูกย่าตีจนสลบ”
นั่นไงพูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา เสียงของหญิงสาวคนนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนางเอกของเรื่องอย่าง กงลี่ฟาง
ในนิยายเหมือนว่ากงลี่ฟางจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
แต่ทำไมยังอยู่ที่นี่ล่ะ หรือว่าเนื้อเรื่องมันผิดแปลกไป“อืม ขอตัวก่อนนะ” เฉินโม่หรานไม่คิดจะเสวนากับทั้งสองคน เพราะรู้นิสัยดีจากการอ่านนิยายเรื่องนี้มาแล้ว จึงตัดสินใจตอบแค่นั้นแล้วรีบเดินเลี่ยงออกมา
แต่กลับถูกกู้เลี่ยงรุ่ยคว้าแขนไว้ ทว่ามือของเธอก็เร็วกว่า ตบเข้าไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายทันที
เพียะ!
“พี่เลี่ยงรุ่ย!!” เสียงของกงลี่ฟางร้องออกมาอย่างตกใจ
แล้วรีบเข้าไปดูส่วนเฉินโม่หรานแสร้งทำสีหน้าตกใจเช่นกัน ก่อนจะรีบพูดแก้ตัว แต่แววตากลับไม่สลดเลยแม้แต่น้อย
“คือฉันเป็นคนมือเร็วไปหน่อย แล้วไม่ชอบให้ใครถูกตัวน่ะ หน้าแดงเลยเจ็บไหม”
“เธออย่ามาเสแสร้ง ก่อนหน้านี้เธอคือคนที่วิ่งตาม
พี่เลี่ยงรุ่ยไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมตอนนี้ถึงตบเขา เหตุผลของเธอมันฟังไม่ขึ้นหรอกนะ”กงลี่ฟางไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่าย ๆ แม้ว่าคนภายนอกจะคิดว่าเธอและเขาเป็นสหายที่มาจากปักกิ่งด้วยกัน แต่ความจริงแล้วเธอและเขาคือคนรักกันต่างหาก
“ฉันพูดความจริง ถ้าเธอไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ฉันคือลูกสาวของบ้านรองเฉิน ยังไม่แต่งงานย่อมต้องไม่ชอบให้ใครมาถูกตัว แล้วฉันกับยุวชนคนนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ต่อกัน ทำไมฉันต้องยอมให้เขาถูกตัวฉันด้วย แค่เรียกเฉย ๆ ก็ได้แล้ว”
เฉินเมิ่งหรานตอบอย่างที่คิด ก่อนหน้านี้ไม่ว่าร่างเดิมจะคิดอย่างไรกับกู้เลี่ยงรุ่ย แต่มันก็ไม่ใช่ความคิดของเธอเสียหน่อย
ผู้ชายเจ้าชู้แบบนี้เธอไม่เอามาทำพันธ์หรอก!! ใครอยากได้ก็เอาไปเลย
พูดจบก็เดินออกมาโดยไม่สนใจคนทั้งสองอีกเลย
เพราะตอนนี้เฉินโม่หรานตั้งใจจะไปเตรียมสะถานที่เพื่อเอาอาหารออกมาให้พ่อ แม่ และพี่ชายกินบทที่ 5 เริ่มวางแผนจัดการอนาคตทันทีที่ได้ยินเฉินโม่หรานถามแบบนั้น ทั้งสามคนรีบส่ายหน้าพร้อมกัน“พ่อจะกลัวลูกสาวของตัวเองทำไม ตอนนี้พ่อคิดว่าต้องหาทางแยกบ้านให้ได้ เกิดวันใดที่บ้านใหญ่รู้ลูกจะไม่ปลอดภัย” เฉินคังพูดออกมาอย่างไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไร นั่นเพราะยังหาเหตุผลที่จะแยกบ้านไม่ได้“พี่เองก็ไม่กลัวน้องหรอก เราเป็นพี่น้องกันจะกลัวทำไม พี่กังวลเรื่องเดียว คือเราจะหาวิธีไหนที่จะแยกบ้าน ดูแล้วย่าคงไม่ยอมง่าย ๆ”“นั่นสิ แม่เห็นด้วยกับพ่อและพี่ชายของลูก เรื่องหวาดกลัวเพราะลูกมีของวิเศษ พวกเราไม่กลัวกรอก แต่พวกเรากังวลเรื่องเดียวเท่านั้น” กุ้ยเจินที่นิ่งเงียบอยู่นานพูดขึ้นมาบ้างตอนนี้ความกังวลของทั้งสามคนไปในมทิศทางเดียวกันคือ ทำอย่างไรถึงจะแยกบ้านได้พอเฉินโม่หรานได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พูดอะไร ทำเพียงยิ้มให้ แล้วพูดขึ้นมาว่า “เรื่องแยกบ้านเชื่อฉันเถอะว่าเราต้องทำได้ แต่ก่อนอื่นเราต้องหาทุนสำรองของบ้านกันก่อน เพราะถ้าหากแยกบ้านแล้วอย่างน้อยก็ต้องมีเงินก่อสร้างบ้าน ฉันอยากจะซื้อบ้านในเมืองให้ทุกคนอยู่ด้วยกัน แต่ก็รู้ดีว่ามันยากเกินความสามารถของพวกเรา”เรื่องซื้อบ้านเท่าที่รู้จากความทรงจ
บทที่ 4 เขาคือพรานป่าคนนั้นตลอดสองข้างทางแม้จะมีคนจับตามองและซุบซิบกัน แต่ว่าเฉินโม่หรานหาได้สนใจไม่ ในใจนั้นรู้ดีว่าคนพวกนี้ก็คงจะนินทาเธอเหมือนเดิมหญิงสาวใช้เวลาไม่นานก็เดินขึ้นเขามา ก่อนจะมองหาที่ลับตาคน แล้วจัดการสถานที่ให้เรียบร้อย สาเหตุที่ว่าทำไมถึงไม่พากลับไปกินที่บ้าน นั่นก็เพราะกลัวว่าบ้านใหญ่จะรับรู้และได้กลิ่นอาหาร ไม่ใช่ว่าไม่พร้อมสู้ แต่มันยังไม่ถึงเวลาต่างหาก“วันนี้คงเอาอะไรออกมามากไม่ได้ นอกจากเนื้อไก่หนึ่งตัว รวมกับปลาอีกสี่ตัวก็คงจะอิ่มกันแล้วล่ะ”เฉินโม่หรานเอาทั้งสองอย่างออกมาจากมิติ และหาที่ที่มีกองใบไม้ เพื่อจะให้พวกปิดบังอาหารที่เธอเอาออกมาหลังจากที่จัดการเสร็จทุกอย่างแล้ว ก็รีบมุ่งหน้าไปแปลงข้าวโพดที่ครอบครัวของเธอทำงานอยู่ขณะเดียวกันเมื่อเธอกำลังเดินลงมา กลับพบใครบางคนเข้าพอดี จากความทรงจำของร่างนี้ เขาคงจะเป็นพรานป่าที่ชื่อจ้าวหนิงเฉิง หรือที่ใครเรียกกันว่าพรานเฉิงจ้าวหนิงเฉิงเดินลงมาจากเขาโดยมีกระต่ายป่าติดมือมาด้วย เมื่อเห็นว่าพบเจอใครเขากลับชะงักเล็กน้อย นั่นเพราะใบหน้าของเขามีแผลยาวตรงแก้มซ้ายอย่างน่ากลัวหญิงสาวในหมู่บ้านต่างก็รังเกียจทั้งนั้น ซ
บทที่ 3 พบเจอพระนางในนิยายเรื่องนี้เฉินโม่หรานกลับไม่คิดอย่างนั้น เธอมองว่าปู่ที่ตายไปแล้วต้องการให้พ่อของเธอรับใช้บ้านใหญ่จนวันตายถึงได้พูดฝากฝังแบบนั้นแต่ไม่เป็นไร วันที่บ้านใหญ่มายื่นข้อเสนอเพื่อให้เธอแต่งงานกับญาติผู้พี่ เธอต้องแลกข้อเสนอนี้ออกไป ทว่าก่อนถึงวันนั้นจะต้องหาเงินให้ได้เยอะ ๆ เสียก่อน‘แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ฉันไม่ได้มีมิติส่วนตัวเหมือนคนอื่นที่ทะลุมิติมานี่นา’ หญิงสาวได้แต่คิดในใจ และน้อยใจตัวเองที่ไม่มีนิ้วทองคำเหมือนคนอื่นเขา“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะพ่อ การที่ปู่พูดแบบนั้นคงต้องการให้บ้านรองของพวกเรารับใช้บ้านใหญ่ไปจนวันตาย ดูพี่ใหญ่สิตอนนี้อายุเหมาะแก่การแต่งงานแล้ว ยังไม่มีสะใภ้เข้าบ้านเลย”“ที่น้องพูดมาก็มีเหตุผลนะพ่อ” เฉินหลงเปียวเห็นด้วยกับสิ่งที่น้องพูด ปู่คงไม่อยากให้บ้านรองแยกบ้านเพราะกลัวบ้านใหญ่จะไม่มีคนทำงานให้มากกว่าจากนั้นก็หันมาพูดกับน้องสาวอย่างยิ้มแย้ม “ส่วนเรื่องแต่งงานพี่ยังไม่คิด และคงไม่มีหญิงสาวที่ไหนอยากแต่งเข้ามาหรอกนะ แค่สภาพความเป็นอยู่บ้านเราก็ไม่เอื้ออำนวยแล้ว”เขาไม่เสียใจกับโชคชะตา แต่เสียใจที่ไม่สามารถพาครอบครัวและทุกคนที่รักหลุดพ้นออ
บทที่ 2 เฉินโม่หรานเปลี่ยนไปปัง ๆ ๆ เสียงทุบประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้คนที่อยู่ด้านในได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินมาเปิดประตู‘ทะลุมิติมาวันแรก เจองานหนักเสียแล้ว แต่ถ้าทำตัวหงอคงถูกใช้งานและถูกรังแกไม่จบไม่สิ้นแน่’ “มีเรื่องอะไรอีกเหรอคะ” หญิงสาวถามออกมา พร้อมกับกวาดสายตามองคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง “นี่ขนกันมาหมดเลยหรือ”“กล้าดีอย่างไรถึงได้ตวาดใส่ป้าสะใภ้ของหล่อน” ย่าเฉินยืนเท้าสะเอวแล้วถามเสียงดัง“แล้วยังไงคะ ทำไมย่าไม่ถามป้าสะใภ้ล่ะว่าเคาะเรียกหรือทุบประตูเรียก”“ก็หล่อนไม่ยอมลุกมาทำงาน หุงหาอาหารนี่ ฉันเลยต้องทุบประตู” ฟางอี้เหนียงโต้เถียงกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้เหมือนกัน“ทุกคนลืมไปหรือเปล่าว่า เมื่อวานฉันโดนย่าตีอย่างไร้เหตุผล ทำให้ฉันเกือบตาย เอ๊ะ! หรือว่าฉันตายไปแล้ว แต่ก็ช่างเถอะ ฉันเจ็บหนักขนาดนั้นทำไมคนบ้านใหญ่ไม่คิดสงสารกันบ้าง งานบ้านก็ไม่หนักหนาอะไร ทำไมป้าสะใภ้กับพี่เม่ยเม่ยไม่ทำเองล่ะ” เฉินโม่หรานกอดอกแล้วยืนพิงประตู“หล่อนเจ็บหนักที่ไหน คนเจ็บหนักจะมายืนเถียงแบบนี้ได้อย่างไรกัน ไม่รู้ล่ะ ฉันเป็นย่า ใหญ่สุดในบ้านนี้ ฉันสั่งให้หล่อนไ
บทที่ 1 ทะลุมิติเข้ามาในนิยายหมู่บ้านหนานอี้ เมืองโจวหมิง ปี 1979ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังลั่น แต่อย่าเรียกว่าเคาะเลยต้องเรียกว่าทุบดีกว่า“ไม่คิดจะหุงหาอาหารหรืออย่างไร นี่ก็สว่างแล้วนะ”เสียงเรียกของฟางอี้เหนียงหรือสะใภ้ใหญ่ของบ้านเฉินร้องเรียกอยู่หน้าห้องของบ้านรอง“หรือว่ายังไม่มีใครตื่นคะแม่ เมื่อวานย่าตีนังโม่หรานหนักขนาดนั้น วันนี้บ้านรองคงไม่อยากออกมาทำงานหรือเปล่าคะ ห้องนี้เงียบเชียว” เฉินเม่ยเม่ยจีบปากจีบคอพูดกับแม่ของตัวเองอย่างไม่พอใจส่วนภายในห้องเวลานี้หญิงสาวที่นอนอยู่กำลังรู้สึกตัว ทว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าเธอนั้นไม่ได้อยู่ที่ห้องตัวเอง“ที่นี่คือที่ไหน” หญิงสาวสะบัดศรีษะเล็กน้อยเพื่อให้สมองคลายความมึนงง แต่เมื่อเธอมองรอบห้อง กลับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะห้องนี้ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ“อะไรนะ!! นี่มันปี 1979”ขณะที่กำลังตกใจอยู่นั้น ภาพความทรงจำต่าง ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัว ทำให้รู้ว่าเธอนั้นได้ทะลุมิติเข้ามาในนิยายที่เพิ่งอ่านไป‘ฉันคือเฉินโม่หราน นางร้ายที่ออกมาไม่กี่ฉากก็ต้องตาย’ เธอได้แต่คิดในใจ เท่าที่จำได้ ในนิยายบอกว่าเฉินโม่หรานตายไปตอนที่ถูกย