ตลอดสองข้างทางแม้จะมีคนจับตามองและซุบซิบกัน
แต่ว่าเฉินโม่หรานหาได้สนใจไม่ ในใจนั้นรู้ดีว่าคนพวกนี้ก็คงจะนินทาเธอเหมือนเดิมหญิงสาวใช้เวลาไม่นานก็เดินขึ้นเขามา ก่อนจะมองหาที่
ลับตาคน แล้วจัดการสถานที่ให้เรียบร้อย สาเหตุที่ว่าทำไมถึงไม่พากลับไปกินที่บ้าน นั่นก็เพราะกลัวว่าบ้านใหญ่จะรับรู้และได้กลิ่นอาหาร ไม่ใช่ว่าไม่พร้อมสู้ แต่มันยังไม่ถึงเวลาต่างหาก“วันนี้คงเอาอะไรออกมามากไม่ได้ นอกจากเนื้อไก่หนึ่งตัว รวมกับปลาอีกสี่ตัวก็คงจะอิ่มกันแล้วล่ะ”
เฉินโม่หรานเอาทั้งสองอย่างออกมาจากมิติ และหาที่ที่มีกองใบไม้ เพื่อจะให้พวกปิดบังอาหารที่เธอเอาออกมา
หลังจากที่จัดการเสร็จทุกอย่างแล้ว ก็รีบมุ่งหน้าไปแปลงข้าวโพดที่ครอบครัวของเธอทำงานอยู่
ขณะเดียวกันเมื่อเธอกำลังเดินลงมา กลับพบใครบางคนเข้าพอดี จากความทรงจำของร่างนี้ เขาคงจะเป็นพรานป่าที่ชื่อจ้าวหนิงเฉิง หรือที่ใครเรียกกันว่าพรานเฉิง
จ้าวหนิงเฉิงเดินลงมาจากเขาโดยมีกระต่ายป่าติดมือมาด้วย เมื่อเห็นว่าพบเจอใครเขากลับชะงักเล็กน้อย นั่นเพราะใบหน้าของเขามีแผลยาวตรงแก้มซ้ายอย่างน่ากลัว
หญิงสาวในหมู่บ้านต่างก็รังเกียจทั้งนั้น ซึ่งไม่ต่างจาก
หญิงสาวตรงหน่าอย่างเฉินโม่หรานเมื่อเห็นว่ากระต่ายน่ารัก เธอจึงพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“กระต่ายทั้งสองตัวนั้นอย่าฆ่ามันได้ไหม ปล่อยมันไปเถอะนะ” สายตาของเธอมองไปยังกระต่ายทั้งสองตัวไม่วางตา
“กระต่ายคืออาหาร ต่อให้ผมปล่อยไป มันก็ต้องถูกจับกลับมาอยู่ดีโดยชาวบ้านคนอื่นที่ต้องการอาหาร” ชายหนุ่มตอบกลับมา แต่ก็แปลกใจที่เธอกล้าพูดคุยกับตนเอง
พอได้ยินอย่างนั้น เฉินโม่หรานก็หยุดคิดเล็กน้อย ในใจนั้นเริ่มก่นด่าตัวเองว่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง กระต่ายป่าคืออาหารของมนุษย์ ขนาดยุคที่เธอจากมายังมีฟาร์มกระต่ายที่เลี้ยงไว้เพื่อนำมาขายเป็นอาหารเลย
“ช่างมันเถอะค่ะ คิดเสียว่าฉันยุ่งไม่เข้าเรื่องเอง อย่างไรก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ” หญิงสาวพูดขอโทษอย่างจริงจัง คิดว่าเธอไม่สมควรยุ่งเรื่องนี้
“ไม่เป็นไรหรอก” เขาตอบกลับมาเพียงแค่นั้น
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ และต้องขอโทษอีกครั้ง”
พูดจบก็เดินออกมา โดยมีสายตาของจ้าวหนิงเฉิงมองตาม เขาสงสัยไม่น้อยว่าเฉินโม่หรานเป็นอะไร ทำไมเธอถึงยอมคุยกับเขาอย่างง่ายดาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอมักจะเลี่ยงเดินหนีเป็นประจำ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินลับสายตาไปแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินกลับไปยังบ้านของตัวเอง
เฉินโม่หรานมาถึงแปลงข้าวโพดก็มองหาพ่อแม่ และพี่ชาย พอแห็นว่าทั้งสามคนกำลังทำงานอยู่จึงนั่งรอ
‘งานที่นี่หนักเหมือนกัน พ่อแม่ และพี่ใหญ่ต้องทำงานกลางแดดแบบนี้ แต่บ้านใหญ่กลับนอนตีพุงอย่างสบาย ไม่ได้การล่ะ ฉันต้องบอกเรื่องมิติกับทุกคน แล้วค่อยชวนพี่ใหญ่เข้าเมืองไปหาเงิน ตอนนี้เหมือนว่ากองพลน้อยไม่ได้บังคับให้ทุกคนทำงานเหมือนเดิมแล้ว’
หญิงสาวคิดถึงแผนการต่อจากนี้ในใจ เธอคิดว่าไม่ควรปิดบังเรื่องมิติ อย่างน้อยก็ทำให้เธอและครอบครัวมีอาหารกิน
และดูจากความทรงจำ ครอบครัวนี้รักเฉินโม่หรานไม่น้อยเลยทันทีที่สัญญาณพักเที่ยงดังขึ้น ชาวบ้านต่างก็รีบเอาเครื่องมือมาเก็บและหาที่นั่งเพื่อพักก่อนจะกินอาหาร บางคนที่ครอบครัวฐานะยากจนก็จะไม่กินมื้อเที่ยง แต่จะพักเอาแรงเพื่อทำงานช่วงบ่ายต่อไป
เมื่อได้ยินสัญญาณ เฉินโม่หรานรีบเดินมาดักรอพ่อแม่และพี่ชายของเธอทันที
“พี่ใหญ่ พ่อ แม่ ทางนี้” หญิงสาวโบกมือเรียกทั้งสามคน
“อ้าวหรานหราน นั่นหายดีแล้วเหรอถึงได้มาที่นี่น่ะ” พี่ชายอย่างเฉินหลงเปียวถามขึ้นมา คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย
“หายดีแล้วพี่ใหญ่ พี่ไม่ต้องห่วงไปหรอก ที่ฉันมาเพราะมีเรื่องจะบอก พี่กับพ่อและแม่ตามฉันมาก่อนเถอะ เรื่องนี้ไม่สามารถแพร่งพรายให้คนอื่นรู้ได้” เธอทำท่าทางมีลับลมคมในเล็กน้อย เพราะไม่อยากให้ทั้งสามคนถามอะไรมากกว่านี้
เฉินคังสบตากับภรรยาก่อนจะพยักหน้าให้ พอเฉินโม่หรานเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินนำหน้าทุกคนเพื่อพาไปยังที่ซ่อนอาหารไว้
ทั้งหมดเดินขึ้นเขามาไม่นานหญิงสาวก็พามาถึงสถานที่
ที่เธอซ่อนทุกอย่างไว้“เอาล่ะถึงแล้ว พี่ใหญ่ช่วยฉันก่อไฟหน่อยสิ เราจะได้กินมื้อเที่ยงด้วยกัน”
“เดี๋ยวก่อนหรานหราน น้องให้พี่ก่อไฟทำไม ในเมื่อที่นี่มีแต่ต้นไม้” คนเป็นพี่ชายถามกลับด้วยความสงสัย พร้อมกับกวาดสายตามองรอบ ๆ เพื่อหาดูว่าน้องสาวจะย่างอะไร
“เอาน่าพี่ใหญ่ ทำตามที่ฉันบอกเถอะ” พูดจบเธอก็เดินมาที่กองใบไม้ ก่อนจะเอาของที่ซ่อนไว้ออกมาซึ่งนั่นมีทั้งไก่และปลา
“นั่นลูกเอามาจากไหน” กุ้ยเจินแปลกใจเพราะไม่คิดว่า
ลูกสาวจะหาอาหารพวกนี้มาเอง แต่ก็ไม่คิดว่าลูกจะไปลักขโมยใครมา เนื่องจากเฉินโม่หรานไม่เคยมีนิสัยแบบนั้น“เดี๋ยวฉันจะบอกตอนที่พวกเรานั่งกินมื้อเที่ยงกันนะคะแม่” เธอเลือกที่จะให้ทุกคนจัดการอาหารตรงหน้าก่อน ส่วนเรื่องความลับเรื่องมิติค่อยเล่าตอนกินอาหารก็ได้
“ตกลง”
จากนั้นสี่คนพ่อแม่ลูกต่างก็ช่วยกันก่อไฟเพื่อย่างไก่และปลา ในขณะที่กำลังรอให้อาหารสุก เฉินโม่หรานจึงตัดสินใจบอกเรื่องมิติกับทั้งสามคน
“หากฉันบอกเรื่องนี้ ทุกคนสัญญาได้ไหมว่าจะเก็บไว้เป็นความลับ รู้กันแค่เราสี่คนเท่านั้น” หญิงสาวต้องการคำมั่นสัญญาอีกครั้ง
“พ่อรับปาก”
“แม่ก็รับปาก”
“พี่ก็ด้วย”
ทั้งสามคนรับปากอย่างแข็งขันแม้จะไม่รู้ว่าเรื่องที่
เฉินโม่หรานจะบอกนั้นคือเรื่องอะไร“ตอนที่ฉันถูกย่าทุบตีจนสลบไป ฉันได้พบกับท่านตาคนหนึ่ง แล้วท่านตาคนนั้นให้ของบางอย่างแก่ฉันมา”
หญิงสาวเริ่มเปิดปากเล่าเรื่องราวที่เธอปรุงแต่งมันขึ้นมา แต่ก็ถูกพี่ชายขัดขึ้นเสียก่อน
“ท่านตาคนนั้นทำให้บาดแผลตามร่างกายของน้องหายไปใช่ไหม แล้วยังทำให้น้องแข็งแรงอย่างที่เห็น”
“อาเปียว อย่าเพิ่งขัดพ่อกำลังฟังน้องเล่าอยู่” คนเป็นพ่อส่งเสียงดุออกมาเพราะเขากำลังตั้งใจฟังเรื่องที่ลูกสาวกำลังเล่าให้ฟัง
“ครับพ่อ” ชายหนุ่มส่งเสียงอ่อน แล้วตั้งใจฟังต่อ
“ใช่อย่างที่พี่ใหญ่บอก แต่เพราะท่านตาคนนั้นอาจจะสงสารที่พวกเราทุกคนอดอยาก เงินก็ไม่มีเก็บเลยให้ของวิเศษบางอย่างฉันมา ทุกคนตั้งใจดูนะคะ”
จากนั้นหญิงสาวจึงแบมือแล้วเรียกผลไม้ออกมา นี่จึงทำให้ทุกคนตกใจจนตาค้าง ก่อนที่คนเป็นพ่อรีบพูดอย่างลนลาน
“ลูกอย่าไปทำให้ใครเห็นนะ เดี๋ยวคนจะคิดว่าลูกของพ่อเป็นปีศาจ”
“นั่นสิ แล้วเรื่องนี้ไม่ควรให้ใครรู้” คนเป็นแม่รีบบอกมาเหมือนกัน “ยิ่งบ้านใหญ่ยิ่งไม่ควรรู้”
“อย่างนั้นพวกเราควรจะหาเรื่องรีบแยกบ้านนะพ่อ ไม่อย่างนั้นแล้วหากมีใครรู้ความลับพวกนี้ หรานหรานจะต้องเกิดอันตราย น้องอาจจะไม่ปลอดภัยอีกแล้ว”
สามคนพ่อแม่ลูกนั่งพูดกันอย่างร้อนรน เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับเฉินโม่หรานเมื่อมีคนรู้เรื่องนี้
เฉินโม่หรานมองภาพตรงหน้าอย่างพอใจ เพราะทั้งสามคนไม่มีใครแสดงความละโมบออกมา มีแต่จะห่วงเธอเสียมากว่า
“ทุกคนไม่กลัวฉันเหรอ ที่ฉันไม่เหมือนคนอื่นอีกแล้ว”
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์ ภายในบ้านของจ้าวหนิงเฉิง เมื่อทุกคนเข้ามาแล้ว เฉินคังและกุ้ยเจินสลับกับเราเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง แม้ว่าเฉินหลงเปียวจะโทรหาบ่อยครั้งแต่ก็จะคุยเรื่องงานและถามความเป็นอยู่มากกว่าเมื่อรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากบ้านใหญ่ ก็ไม่คิดว่าเฉินอี้โจวจะหลงผิดถึงขั้นเปลี่ยนตัวเองเป็นหัวขโมย“เพราะเรื่องนี้ด้วยไหมคะพ่อถึงยอมไปปักกิ่งกับฉัน”“ส่วนหนึ่งเท่านั้นแหละลูก พ่อไม่อยากให้ทุกคนแยกจากกัน อีกทั้งพ่อไม่ได้มีห่วงที่นี่อีกแล้ว” เขาตอบตามความเป็นจริง “ตอนนี้ตัวตนของพี่เฉิงคงกระจายทั่วแล้ว เดี๋ยวบ้านใหญ่คงรู้เรื่อง พ่อไม่กลัวว่าย่าจะมาหาเรื่องหรือขอค่าเลี้ยงดูเหรอ”เฉินโม่หรานไม่เชื่อว่าย่าของเธอจะยอมง่าย ๆ ในเรื่องนี้ และยังมีเฉินเม่ยเม่ยอีก ฝ่ายนั้นคงแค้นแทบกระอักเลือดเมื่อพรานป่าที่ปฏิเสธกลายเป็นคนร่ำรวยและมีอิทธิพลมาก“ต่อให้ย่าของลูกมาจริงอย่างที่ลูกบอก พ่อก็ไม่ให้หรอกนะ เพราะตลอดชีวิตพ่อที่ผ่านมา พ่อทำดีที่สุดแล้ว และให้ไปมากพอแล้ว ต่อจากนี้ครอบครัวของพี่ใหญ่ต้องจัดการดูแลแม่เอง”เมื่อทุกคนได้ยินต่างก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจที่เฉินคังมีความเ
บทที่ 35 เริ่มต้นใหม่ในตระกูลจ้าวยังไม่ทันที่จ้าวต้าเค่อได้ตอบคำถามของพ่อตนเอง กลับมีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมาอย่างเคียดแค้น“เรื่องในอดีตเราสองคนสามีภรรยาไม่ได้สนใจอะไรมากมาย วันนี้ที่มาเปิดเผยตัวเพราะต้องการนำตราประจำตระกูลส่งมอบให้คนที่เหมาะสม แต่ไม่คิดว่าจุดจบของสามีฉันคือความตาย เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการเลย”เฉินโม่หรานสบตากับจ้าวหมิงยังไม่เกรงกลัว ก่อนจะพูดประโยคต่อมา “ถึงแม้ว่าตอนนี้สามีฉันจะไม่อยู่แล้ว แต่ฉันคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา คุณก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างไปเพราะฉันไม่มีทางยอม!!”เสียงประกาศของหญิงสาวดังขึ้นมาอย่างชัดเจนและ เธอไม่มีท่าทีผู้หญิงอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย แม้ใบหน้าสวยหวานจะมีน้ำตาไหลอาบแก้มก็ตามนายท่านสวี่ได้ยินก็รีบพูดสนับสนุนทันที “ฉันจะสนับสนุนเธอเอง อย่างไรเธอก็คือภรรยาของจ้าวหนิงเฉิงอย่างถูกกฎหมาย นับว่าเธอคือทายาทของเขา”“ได้อย่างไร ในเมื่อฉันคือจ้าวหมิง คนที่ดูแลตระกูลจ้าวมานับสิบปี จะให้คนนอกมากุมอำนาจได้อย่างไร ฉันยังอยู่ทั้งคนไม่ยอมให้ใครมาแย่งชิงสิ่งที่ควรเป็นของฉันไปหรอกนะ อย่างไรตระกูลจ้าวก็ต้องเป็นของฉันเท
บทที่ 34 ทายาทตัวจริงปรากฎคฤหาสน์ตระกูลจ้าวเวลานี้เต็มไปด้วยผู้ทรงอิทธิพลที่มาร่วมงานกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนในเมืองหลวงหรือต่างเมืองต่างก็มาแสดงความยินดีให้กับจ้าวหมิงทุกคนต่างก็เห็นกันว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมา เขาได้พาตระกูลจ้าวให้มาอยู่ในจุดนี้โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วกิจการที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมานั้นเป็นเพราะลูกชายของเขาต่างหากล่ะ ผู้คนที่มากันอย่างมากมายมีทั้งดีใจด้วยและภาวนาให้คุณชายใหญ่ปรากฏตัวในวันนี้ เพราะนั่นคือทายาทที่แท้จริงของตระกูลจ้าวจะว่าไปแล้วก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าจ้าวหมิงต้องการแย่งตำแหน่งของพี่ชาย จึงได้ส่งคนมาจัดการ แต่ก็นั่นแหละเพราะไม่มีหลักฐานเลยทำอะไรกันไม่ได้ จึงได้แต่ภาวนาให้ทายาทตัวจริงปรากฏ“ดีใจด้วยนะนายท่านรอง ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่านายท่านจ้าว ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึงแล้ว” ชายสูงวัยคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมา พร้อมกับชูแก้วให้อีกฝ่ายคล้ายกับแสดงความดีใจด้วย“ความจริงแล้วผมก็อยากจะรอหลานชายเพียงคนเดียวนั่นแหละ แต่ไม่ว่าจะส่งคนหาไปเท่าไหร่ก็ไม่มีข่าวคราวเลย ผมเองก็จนปัญญา แต่ตระกูลต้องมีผู้นำ”เขาพูดตอบกลับมาด้วยคำพูดที่แฝงไปด้วยความเศร้าเล็กน้
บทที่ 33 จับโจรได้แล้วหลายวันต่อมา...ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เฉินหลงเปียวคาดการณ์ไว้ นั่นเพราะเฉินอี้โจวกลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้ง ทันทีที่หัวหน้าหมู่บ้านและหัวหน้าชุยรับรู้ก็เริ่มจับตามองหลานชายบ้านเฉินทันที โดยที่เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ มีเพียงคนสนิทและไว้ใจได้เท่านั้นที่ทั้งสองบอกและให้รับหน้าที่จับตาดูส่วนเฉินเม่ยเม่ยเองก็เริ่มสงสัยว่าทำไมดี๋ยวนี้พี่ชายของเธอถึงได้กลับบ้านบ่อยนัก เลยถามออกมา “นี่กลับมาอีกทำไม ไม่ใช่ถูกโรงงานไล่ออกแล้วเหรอ แล้วมีเงินกลับมาบ้างไหมตอนนี้บ้านของเราไม่เหลือเงินแล้วนะ”พอได้ยินน้องสาวพูดแบบนั้นก็แสร้งทำสีหน้าตกใจ แล้วรีบถามออกมา “เกิดเรื่องอะไรเหรอ อย่าบอกนะว่าบ้านเราโดนหัวขโมยขึ้นบ้านเหมือนคนอื่นในหมู่บ้าน”“ก็ใช่นะสิ ย่านี่ด่าไม่หยุดเลยแถมยังสาปแช่งที่กล้ามาขโมยเงินของย่าไป แล้วที่ถามนี่มีเงินไหมขอเงินหน่อยสิ” หญิงสาวแบมือรอรับเงินจากพี่ชาย เธอตั้งใจจะเข้าเมืองสักหน่อย“ฉันไม่มีหรอก นี่กว่าเงินเดือนของโรงงานจะออกก็อีกตั้งหลายวัน ที่ฉันกลับมาบ้านเพราะที่ผ่านมาไม่เคยหยุดหรือลาเลยอย่างไรล่ะ ทำให้มีวันหยุดเยอะ เธอก็เลิกถามเถอะ ฉันเหนื่อยจะเข้าไปนอนส
บทที่ 32 ผู้ต้องสงสัยหลักสองย่าหลานได้ยินอย่างนั้นก็หันมาสบตากันทันที พยายามนึกว่าเธอลืมลงกลอนประตูและหน้าต่างหรือเปล่า“ไม่นะย่า อย่ามองฉันอย่างนั้น ฉันไม่มีทางลืมใส่กลอนประตูแน่นอน นอกเสียจากว่าพี่ใหญ่กับพ่อจะออกไปไหนตอนกลางคืนแล้วลืมใส่กลอนประตูจนทำให้หัวขโมยมันเข้ามาในบ้านโดยที่เราไม่รู้ตัว” เฉินเม่ยเม่ยรีบปฎิเสธ“ส่วนฉันจะต้องไปแจ้งเจ้าหน้าที่เรื่องนี้ ฉันไม่ยอมสูญเสียเงินไปแน่นอน จะต้องตามจับหัวขโมยชั่วนั่นมาให้ได้” หญิงชราประกาศกร้าว สีหน้าและท่าทางดูแค้นเคืองเจ้าหัวขโมยนั้นเหมือนอยากจะฆ่าให้อีกฝ่ายตายคามือ โดยที่ไม่รู้เลยว่าหัวขโมยชั่วที่ย่าเฉินทั้งด่าทั้งแช่งนั้นคือหลานชายตัวเอง และเป็นหลานชายสุดที่รักอีกต่างหากเมื่อเห็นว่าย่าเฉินฟื้นแล้วและดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร ชาวบ้านที่เข้ามาช่วยเลยเข้ามาดูก็ทยอยกันออกมา แต่ก็คิดว่าเรื่องนี้มันแปลกเกินไป บ้านอื่นประตูบ้านและหน้าต่างถูกงัดแงะแต่บ้านเฉินกลับไม่มีร่องรอยอะไรเลย ดูเหมือนจะเป็นการกระทำของคนในบ้านเสียมากกว่า ทว่ากลับไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพราะกลัวปากของย่าเฉินเรื่องบ้านใหญ่เฉินตอนนี้กระจายไปทั่วหมู่บ้านแล้วทุกคนรู้ว่าบ้านหลัง
บทที่ 31 บ้านใหญ่ถูกปล้นเหมือนกันเมื่อทางหมู่บ้านมีการเดินเวรยามเพื่อหาวิธีจับหัวขโมยที่ขโมยเงินของชาวบ้าน ก็ทำให้โจรตัวจริงอย่างเฉินอี้โจวเริ่มกระวนกระวายใจนั่นก็เพราะว่าเงินที่หามาได้ยังไม่ครบตามจำนวนที่ต้องไปใช้หนี้ให้กับบ่อนการพนัน และยังไม่พอให้เขาต่อยอดได้แก้มือ แต่เมื่อเห็นน้องสาวขอเงินย่า ก็เริ่มมีความคิดที่จะขโมยเงินของบ้านตนเอง“ย่าตอนนี้ของกินของใช้อะไรหมดแล้วนะ ขอเงินไปซื้อหน่อยสิ” เฉินเม่ยเม่ยแบมือขอเงินคนเป็นย่า เพราะตอนนี้ของใช้ในบ้านนั้นหมดแล้ว“จะซื้ออะไรนักหนา ของกินก็หาเก็บในป่าสิ มันก็กินได้เหมือนกันนั่นแหละ ตอนนี้อี้โจวก็กลับมาอยู่บ้านไปช่วยหาสัตว์ป่าสักหน่อยก็ได้ บ้านเราก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์นานแล้วนะ”หญิงชราไม่ค่อยอยากจะควักเงินออกจากกระเป๋า ตั้งแต่บ้านรองแยกบ้านออกไป ก็แทบจะไม่มีรายรับเข้ามาเลย มีแต่รายจ่ายอย่างเดียว หากยังเป็นอย่างนี้ สักวันเงินก็คงจะหมด“ก็หลานชายสุดที่รักของย่าน่ะสิ วัน ๆ เอาแต่นอนไม่รู้ไปทำอะไรมานักหนา ถ้าเกิดย่าอยากกินเนื้อแล้วไม่จ่ายเงินก็ให้หลานชายไปหาเอาก็แล้วกัน แต่ตอนนี้แป้งและข้าวสารหมดแล้ว ถ้าไม่ให้เงินไปซื้อ เย็นนี้จะกินอะไร” หญิ