ตลอดสองข้างทางแม้จะมีคนจับตามองและซุบซิบกัน
แต่ว่าเฉินโม่หรานหาได้สนใจไม่ ในใจนั้นรู้ดีว่าคนพวกนี้ก็คงจะนินทาเธอเหมือนเดิมหญิงสาวใช้เวลาไม่นานก็เดินขึ้นเขามา ก่อนจะมองหาที่
ลับตาคน แล้วจัดการสถานที่ให้เรียบร้อย สาเหตุที่ว่าทำไมถึงไม่พากลับไปกินที่บ้าน นั่นก็เพราะกลัวว่าบ้านใหญ่จะรับรู้และได้กลิ่นอาหาร ไม่ใช่ว่าไม่พร้อมสู้ แต่มันยังไม่ถึงเวลาต่างหาก“วันนี้คงเอาอะไรออกมามากไม่ได้ นอกจากเนื้อไก่หนึ่งตัว รวมกับปลาอีกสี่ตัวก็คงจะอิ่มกันแล้วล่ะ”
เฉินโม่หรานเอาทั้งสองอย่างออกมาจากมิติ และหาที่ที่มีกองใบไม้ เพื่อจะให้พวกปิดบังอาหารที่เธอเอาออกมา
หลังจากที่จัดการเสร็จทุกอย่างแล้ว ก็รีบมุ่งหน้าไปแปลงข้าวโพดที่ครอบครัวของเธอทำงานอยู่
ขณะเดียวกันเมื่อเธอกำลังเดินลงมา กลับพบใครบางคนเข้าพอดี จากความทรงจำของร่างนี้ เขาคงจะเป็นพรานป่าที่ชื่อจ้าวหนิงเฉิง หรือที่ใครเรียกกันว่าพรานเฉิง
จ้าวหนิงเฉิงเดินลงมาจากเขาโดยมีกระต่ายป่าติดมือมาด้วย เมื่อเห็นว่าพบเจอใครเขากลับชะงักเล็กน้อย นั่นเพราะใบหน้าของเขามีแผลยาวตรงแก้มซ้ายอย่างน่ากลัว
หญิงสาวในหมู่บ้านต่างก็รังเกียจทั้งนั้น ซึ่งไม่ต่างจาก
หญิงสาวตรงหน่าอย่างเฉินโม่หรานเมื่อเห็นว่ากระต่ายน่ารัก เธอจึงพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“กระต่ายทั้งสองตัวนั้นอย่าฆ่ามันได้ไหม ปล่อยมันไปเถอะนะ” สายตาของเธอมองไปยังกระต่ายทั้งสองตัวไม่วางตา
“กระต่ายคืออาหาร ต่อให้ผมปล่อยไป มันก็ต้องถูกจับกลับมาอยู่ดีโดยชาวบ้านคนอื่นที่ต้องการอาหาร” ชายหนุ่มตอบกลับมา แต่ก็แปลกใจที่เธอกล้าพูดคุยกับตนเอง
พอได้ยินอย่างนั้น เฉินโม่หรานก็หยุดคิดเล็กน้อย ในใจนั้นเริ่มก่นด่าตัวเองว่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง กระต่ายป่าคืออาหารของมนุษย์ ขนาดยุคที่เธอจากมายังมีฟาร์มกระต่ายที่เลี้ยงไว้เพื่อนำมาขายเป็นอาหารเลย
“ช่างมันเถอะค่ะ คิดเสียว่าฉันยุ่งไม่เข้าเรื่องเอง อย่างไรก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ” หญิงสาวพูดขอโทษอย่างจริงจัง คิดว่าเธอไม่สมควรยุ่งเรื่องนี้
“ไม่เป็นไรหรอก” เขาตอบกลับมาเพียงแค่นั้น
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ และต้องขอโทษอีกครั้ง”
พูดจบก็เดินออกมา โดยมีสายตาของจ้าวหนิงเฉิงมองตาม เขาสงสัยไม่น้อยว่าเฉินโม่หรานเป็นอะไร ทำไมเธอถึงยอมคุยกับเขาอย่างง่ายดาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอมักจะเลี่ยงเดินหนีเป็นประจำ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินลับสายตาไปแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินกลับไปยังบ้านของตัวเอง
เฉินโม่หรานมาถึงแปลงข้าวโพดก็มองหาพ่อแม่ และพี่ชาย พอแห็นว่าทั้งสามคนกำลังทำงานอยู่จึงนั่งรอ
‘งานที่นี่หนักเหมือนกัน พ่อแม่ และพี่ใหญ่ต้องทำงานกลางแดดแบบนี้ แต่บ้านใหญ่กลับนอนตีพุงอย่างสบาย ไม่ได้การล่ะ ฉันต้องบอกเรื่องมิติกับทุกคน แล้วค่อยชวนพี่ใหญ่เข้าเมืองไปหาเงิน ตอนนี้เหมือนว่ากองพลน้อยไม่ได้บังคับให้ทุกคนทำงานเหมือนเดิมแล้ว’
หญิงสาวคิดถึงแผนการต่อจากนี้ในใจ เธอคิดว่าไม่ควรปิดบังเรื่องมิติ อย่างน้อยก็ทำให้เธอและครอบครัวมีอาหารกิน
และดูจากความทรงจำ ครอบครัวนี้รักเฉินโม่หรานไม่น้อยเลยทันทีที่สัญญาณพักเที่ยงดังขึ้น ชาวบ้านต่างก็รีบเอาเครื่องมือมาเก็บและหาที่นั่งเพื่อพักก่อนจะกินอาหาร บางคนที่ครอบครัวฐานะยากจนก็จะไม่กินมื้อเที่ยง แต่จะพักเอาแรงเพื่อทำงานช่วงบ่ายต่อไป
เมื่อได้ยินสัญญาณ เฉินโม่หรานรีบเดินมาดักรอพ่อแม่และพี่ชายของเธอทันที
“พี่ใหญ่ พ่อ แม่ ทางนี้” หญิงสาวโบกมือเรียกทั้งสามคน
“อ้าวหรานหราน นั่นหายดีแล้วเหรอถึงได้มาที่นี่น่ะ” พี่ชายอย่างเฉินหลงเปียวถามขึ้นมา คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย
“หายดีแล้วพี่ใหญ่ พี่ไม่ต้องห่วงไปหรอก ที่ฉันมาเพราะมีเรื่องจะบอก พี่กับพ่อและแม่ตามฉันมาก่อนเถอะ เรื่องนี้ไม่สามารถแพร่งพรายให้คนอื่นรู้ได้” เธอทำท่าทางมีลับลมคมในเล็กน้อย เพราะไม่อยากให้ทั้งสามคนถามอะไรมากกว่านี้
เฉินคังสบตากับภรรยาก่อนจะพยักหน้าให้ พอเฉินโม่หรานเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินนำหน้าทุกคนเพื่อพาไปยังที่ซ่อนอาหารไว้
ทั้งหมดเดินขึ้นเขามาไม่นานหญิงสาวก็พามาถึงสถานที่
ที่เธอซ่อนทุกอย่างไว้“เอาล่ะถึงแล้ว พี่ใหญ่ช่วยฉันก่อไฟหน่อยสิ เราจะได้กินมื้อเที่ยงด้วยกัน”
“เดี๋ยวก่อนหรานหราน น้องให้พี่ก่อไฟทำไม ในเมื่อที่นี่มีแต่ต้นไม้” คนเป็นพี่ชายถามกลับด้วยความสงสัย พร้อมกับกวาดสายตามองรอบ ๆ เพื่อหาดูว่าน้องสาวจะย่างอะไร
“เอาน่าพี่ใหญ่ ทำตามที่ฉันบอกเถอะ” พูดจบเธอก็เดินมาที่กองใบไม้ ก่อนจะเอาของที่ซ่อนไว้ออกมาซึ่งนั่นมีทั้งไก่และปลา
“นั่นลูกเอามาจากไหน” กุ้ยเจินแปลกใจเพราะไม่คิดว่า
ลูกสาวจะหาอาหารพวกนี้มาเอง แต่ก็ไม่คิดว่าลูกจะไปลักขโมยใครมา เนื่องจากเฉินโม่หรานไม่เคยมีนิสัยแบบนั้น“เดี๋ยวฉันจะบอกตอนที่พวกเรานั่งกินมื้อเที่ยงกันนะคะแม่” เธอเลือกที่จะให้ทุกคนจัดการอาหารตรงหน้าก่อน ส่วนเรื่องความลับเรื่องมิติค่อยเล่าตอนกินอาหารก็ได้
“ตกลง”
จากนั้นสี่คนพ่อแม่ลูกต่างก็ช่วยกันก่อไฟเพื่อย่างไก่และปลา ในขณะที่กำลังรอให้อาหารสุก เฉินโม่หรานจึงตัดสินใจบอกเรื่องมิติกับทั้งสามคน
“หากฉันบอกเรื่องนี้ ทุกคนสัญญาได้ไหมว่าจะเก็บไว้เป็นความลับ รู้กันแค่เราสี่คนเท่านั้น” หญิงสาวต้องการคำมั่นสัญญาอีกครั้ง
“พ่อรับปาก”
“แม่ก็รับปาก”
“พี่ก็ด้วย”
ทั้งสามคนรับปากอย่างแข็งขันแม้จะไม่รู้ว่าเรื่องที่
เฉินโม่หรานจะบอกนั้นคือเรื่องอะไร“ตอนที่ฉันถูกย่าทุบตีจนสลบไป ฉันได้พบกับท่านตาคนหนึ่ง แล้วท่านตาคนนั้นให้ของบางอย่างแก่ฉันมา”
หญิงสาวเริ่มเปิดปากเล่าเรื่องราวที่เธอปรุงแต่งมันขึ้นมา แต่ก็ถูกพี่ชายขัดขึ้นเสียก่อน
“ท่านตาคนนั้นทำให้บาดแผลตามร่างกายของน้องหายไปใช่ไหม แล้วยังทำให้น้องแข็งแรงอย่างที่เห็น”
“อาเปียว อย่าเพิ่งขัดพ่อกำลังฟังน้องเล่าอยู่” คนเป็นพ่อส่งเสียงดุออกมาเพราะเขากำลังตั้งใจฟังเรื่องที่ลูกสาวกำลังเล่าให้ฟัง
“ครับพ่อ” ชายหนุ่มส่งเสียงอ่อน แล้วตั้งใจฟังต่อ
“ใช่อย่างที่พี่ใหญ่บอก แต่เพราะท่านตาคนนั้นอาจจะสงสารที่พวกเราทุกคนอดอยาก เงินก็ไม่มีเก็บเลยให้ของวิเศษบางอย่างฉันมา ทุกคนตั้งใจดูนะคะ”
จากนั้นหญิงสาวจึงแบมือแล้วเรียกผลไม้ออกมา นี่จึงทำให้ทุกคนตกใจจนตาค้าง ก่อนที่คนเป็นพ่อรีบพูดอย่างลนลาน
“ลูกอย่าไปทำให้ใครเห็นนะ เดี๋ยวคนจะคิดว่าลูกของพ่อเป็นปีศาจ”
“นั่นสิ แล้วเรื่องนี้ไม่ควรให้ใครรู้” คนเป็นแม่รีบบอกมาเหมือนกัน “ยิ่งบ้านใหญ่ยิ่งไม่ควรรู้”
“อย่างนั้นพวกเราควรจะหาเรื่องรีบแยกบ้านนะพ่อ ไม่อย่างนั้นแล้วหากมีใครรู้ความลับพวกนี้ หรานหรานจะต้องเกิดอันตราย น้องอาจจะไม่ปลอดภัยอีกแล้ว”
สามคนพ่อแม่ลูกนั่งพูดกันอย่างร้อนรน เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับเฉินโม่หรานเมื่อมีคนรู้เรื่องนี้
เฉินโม่หรานมองภาพตรงหน้าอย่างพอใจ เพราะทั้งสามคนไม่มีใครแสดงความละโมบออกมา มีแต่จะห่วงเธอเสียมากว่า
“ทุกคนไม่กลัวฉันเหรอ ที่ฉันไม่เหมือนคนอื่นอีกแล้ว”
บทที่ 5 เริ่มวางแผนจัดการอนาคตทันทีที่ได้ยินเฉินโม่หรานถามแบบนั้น ทั้งสามคนรีบส่ายหน้าพร้อมกัน“พ่อจะกลัวลูกสาวของตัวเองทำไม ตอนนี้พ่อคิดว่าต้องหาทางแยกบ้านให้ได้ เกิดวันใดที่บ้านใหญ่รู้ลูกจะไม่ปลอดภัย” เฉินคังพูดออกมาอย่างไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไร นั่นเพราะยังหาเหตุผลที่จะแยกบ้านไม่ได้“พี่เองก็ไม่กลัวน้องหรอก เราเป็นพี่น้องกันจะกลัวทำไม พี่กังวลเรื่องเดียว คือเราจะหาวิธีไหนที่จะแยกบ้าน ดูแล้วย่าคงไม่ยอมง่าย ๆ”“นั่นสิ แม่เห็นด้วยกับพ่อและพี่ชายของลูก เรื่องหวาดกลัวเพราะลูกมีของวิเศษ พวกเราไม่กลัวกรอก แต่พวกเรากังวลเรื่องเดียวเท่านั้น” กุ้ยเจินที่นิ่งเงียบอยู่นานพูดขึ้นมาบ้างตอนนี้ความกังวลของทั้งสามคนไปในมทิศทางเดียวกันคือ ทำอย่างไรถึงจะแยกบ้านได้พอเฉินโม่หรานได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พูดอะไร ทำเพียงยิ้มให้ แล้วพูดขึ้นมาว่า “เรื่องแยกบ้านเชื่อฉันเถอะว่าเราต้องทำได้ แต่ก่อนอื่นเราต้องหาทุนสำรองของบ้านกันก่อน เพราะถ้าหากแยกบ้านแล้วอย่างน้อยก็ต้องมีเงินก่อสร้างบ้าน ฉันอยากจะซื้อบ้านในเมืองให้ทุกคนอยู่ด้วยกัน แต่ก็รู้ดีว่ามันยากเกินความสามารถของพวกเรา”เรื่องซื้อบ้านเท่าที่รู้จากความทรงจ
บทที่ 4 เขาคือพรานป่าคนนั้นตลอดสองข้างทางแม้จะมีคนจับตามองและซุบซิบกัน แต่ว่าเฉินโม่หรานหาได้สนใจไม่ ในใจนั้นรู้ดีว่าคนพวกนี้ก็คงจะนินทาเธอเหมือนเดิมหญิงสาวใช้เวลาไม่นานก็เดินขึ้นเขามา ก่อนจะมองหาที่ลับตาคน แล้วจัดการสถานที่ให้เรียบร้อย สาเหตุที่ว่าทำไมถึงไม่พากลับไปกินที่บ้าน นั่นก็เพราะกลัวว่าบ้านใหญ่จะรับรู้และได้กลิ่นอาหาร ไม่ใช่ว่าไม่พร้อมสู้ แต่มันยังไม่ถึงเวลาต่างหาก“วันนี้คงเอาอะไรออกมามากไม่ได้ นอกจากเนื้อไก่หนึ่งตัว รวมกับปลาอีกสี่ตัวก็คงจะอิ่มกันแล้วล่ะ”เฉินโม่หรานเอาทั้งสองอย่างออกมาจากมิติ และหาที่ที่มีกองใบไม้ เพื่อจะให้พวกปิดบังอาหารที่เธอเอาออกมาหลังจากที่จัดการเสร็จทุกอย่างแล้ว ก็รีบมุ่งหน้าไปแปลงข้าวโพดที่ครอบครัวของเธอทำงานอยู่ขณะเดียวกันเมื่อเธอกำลังเดินลงมา กลับพบใครบางคนเข้าพอดี จากความทรงจำของร่างนี้ เขาคงจะเป็นพรานป่าที่ชื่อจ้าวหนิงเฉิง หรือที่ใครเรียกกันว่าพรานเฉิงจ้าวหนิงเฉิงเดินลงมาจากเขาโดยมีกระต่ายป่าติดมือมาด้วย เมื่อเห็นว่าพบเจอใครเขากลับชะงักเล็กน้อย นั่นเพราะใบหน้าของเขามีแผลยาวตรงแก้มซ้ายอย่างน่ากลัวหญิงสาวในหมู่บ้านต่างก็รังเกียจทั้งนั้น ซ
บทที่ 3 พบเจอพระนางในนิยายเรื่องนี้เฉินโม่หรานกลับไม่คิดอย่างนั้น เธอมองว่าปู่ที่ตายไปแล้วต้องการให้พ่อของเธอรับใช้บ้านใหญ่จนวันตายถึงได้พูดฝากฝังแบบนั้นแต่ไม่เป็นไร วันที่บ้านใหญ่มายื่นข้อเสนอเพื่อให้เธอแต่งงานกับญาติผู้พี่ เธอต้องแลกข้อเสนอนี้ออกไป ทว่าก่อนถึงวันนั้นจะต้องหาเงินให้ได้เยอะ ๆ เสียก่อน‘แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ฉันไม่ได้มีมิติส่วนตัวเหมือนคนอื่นที่ทะลุมิติมานี่นา’ หญิงสาวได้แต่คิดในใจ และน้อยใจตัวเองที่ไม่มีนิ้วทองคำเหมือนคนอื่นเขา“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะพ่อ การที่ปู่พูดแบบนั้นคงต้องการให้บ้านรองของพวกเรารับใช้บ้านใหญ่ไปจนวันตาย ดูพี่ใหญ่สิตอนนี้อายุเหมาะแก่การแต่งงานแล้ว ยังไม่มีสะใภ้เข้าบ้านเลย”“ที่น้องพูดมาก็มีเหตุผลนะพ่อ” เฉินหลงเปียวเห็นด้วยกับสิ่งที่น้องพูด ปู่คงไม่อยากให้บ้านรองแยกบ้านเพราะกลัวบ้านใหญ่จะไม่มีคนทำงานให้มากกว่าจากนั้นก็หันมาพูดกับน้องสาวอย่างยิ้มแย้ม “ส่วนเรื่องแต่งงานพี่ยังไม่คิด และคงไม่มีหญิงสาวที่ไหนอยากแต่งเข้ามาหรอกนะ แค่สภาพความเป็นอยู่บ้านเราก็ไม่เอื้ออำนวยแล้ว”เขาไม่เสียใจกับโชคชะตา แต่เสียใจที่ไม่สามารถพาครอบครัวและทุกคนที่รักหลุดพ้นออ
บทที่ 2 เฉินโม่หรานเปลี่ยนไปปัง ๆ ๆ เสียงทุบประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้คนที่อยู่ด้านในได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินมาเปิดประตู‘ทะลุมิติมาวันแรก เจองานหนักเสียแล้ว แต่ถ้าทำตัวหงอคงถูกใช้งานและถูกรังแกไม่จบไม่สิ้นแน่’ “มีเรื่องอะไรอีกเหรอคะ” หญิงสาวถามออกมา พร้อมกับกวาดสายตามองคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง “นี่ขนกันมาหมดเลยหรือ”“กล้าดีอย่างไรถึงได้ตวาดใส่ป้าสะใภ้ของหล่อน” ย่าเฉินยืนเท้าสะเอวแล้วถามเสียงดัง“แล้วยังไงคะ ทำไมย่าไม่ถามป้าสะใภ้ล่ะว่าเคาะเรียกหรือทุบประตูเรียก”“ก็หล่อนไม่ยอมลุกมาทำงาน หุงหาอาหารนี่ ฉันเลยต้องทุบประตู” ฟางอี้เหนียงโต้เถียงกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้เหมือนกัน“ทุกคนลืมไปหรือเปล่าว่า เมื่อวานฉันโดนย่าตีอย่างไร้เหตุผล ทำให้ฉันเกือบตาย เอ๊ะ! หรือว่าฉันตายไปแล้ว แต่ก็ช่างเถอะ ฉันเจ็บหนักขนาดนั้นทำไมคนบ้านใหญ่ไม่คิดสงสารกันบ้าง งานบ้านก็ไม่หนักหนาอะไร ทำไมป้าสะใภ้กับพี่เม่ยเม่ยไม่ทำเองล่ะ” เฉินโม่หรานกอดอกแล้วยืนพิงประตู“หล่อนเจ็บหนักที่ไหน คนเจ็บหนักจะมายืนเถียงแบบนี้ได้อย่างไรกัน ไม่รู้ล่ะ ฉันเป็นย่า ใหญ่สุดในบ้านนี้ ฉันสั่งให้หล่อนไ
บทที่ 1 ทะลุมิติเข้ามาในนิยายหมู่บ้านหนานอี้ เมืองโจวหมิง ปี 1979ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังลั่น แต่อย่าเรียกว่าเคาะเลยต้องเรียกว่าทุบดีกว่า“ไม่คิดจะหุงหาอาหารหรืออย่างไร นี่ก็สว่างแล้วนะ”เสียงเรียกของฟางอี้เหนียงหรือสะใภ้ใหญ่ของบ้านเฉินร้องเรียกอยู่หน้าห้องของบ้านรอง“หรือว่ายังไม่มีใครตื่นคะแม่ เมื่อวานย่าตีนังโม่หรานหนักขนาดนั้น วันนี้บ้านรองคงไม่อยากออกมาทำงานหรือเปล่าคะ ห้องนี้เงียบเชียว” เฉินเม่ยเม่ยจีบปากจีบคอพูดกับแม่ของตัวเองอย่างไม่พอใจส่วนภายในห้องเวลานี้หญิงสาวที่นอนอยู่กำลังรู้สึกตัว ทว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าเธอนั้นไม่ได้อยู่ที่ห้องตัวเอง“ที่นี่คือที่ไหน” หญิงสาวสะบัดศรีษะเล็กน้อยเพื่อให้สมองคลายความมึนงง แต่เมื่อเธอมองรอบห้อง กลับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะห้องนี้ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ“อะไรนะ!! นี่มันปี 1979”ขณะที่กำลังตกใจอยู่นั้น ภาพความทรงจำต่าง ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัว ทำให้รู้ว่าเธอนั้นได้ทะลุมิติเข้ามาในนิยายที่เพิ่งอ่านไป‘ฉันคือเฉินโม่หราน นางร้ายที่ออกมาไม่กี่ฉากก็ต้องตาย’ เธอได้แต่คิดในใจ เท่าที่จำได้ ในนิยายบอกว่าเฉินโม่หรานตายไปตอนที่ถูกย