ทันทีที่ได้ยินเฉินโม่หรานถามแบบนั้น ทั้งสามคนรีบ
ส่ายหน้าพร้อมกัน“พ่อจะกลัวลูกสาวของตัวเองทำไม ตอนนี้พ่อคิดว่าต้องหาทางแยกบ้านให้ได้ เกิดวันใดที่บ้านใหญ่รู้ลูกจะไม่ปลอดภัย” เฉินคังพูดออกมาอย่างไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไร นั่นเพราะยังหาเหตุผลที่จะแยกบ้านไม่ได้
“พี่เองก็ไม่กลัวน้องหรอก เราเป็นพี่น้องกันจะกลัวทำไม
พี่กังวลเรื่องเดียว คือเราจะหาวิธีไหนที่จะแยกบ้าน ดูแล้วย่าคงไม่ยอมง่าย ๆ”“นั่นสิ แม่เห็นด้วยกับพ่อและพี่ชายของลูก เรื่องหวาดกลัวเพราะลูกมีของวิเศษ พวกเราไม่กลัวกรอก แต่พวกเรากังวลเรื่องเดียวเท่านั้น” กุ้ยเจินที่นิ่งเงียบอยู่นานพูดขึ้นมาบ้าง
ตอนนี้ความกังวลของทั้งสามคนไปในมทิศทางเดียวกันคือ ทำอย่างไรถึงจะแยกบ้านได้
พอเฉินโม่หรานได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พูดอะไร ทำเพียงยิ้มให้ แล้วพูดขึ้นมาว่า “เรื่องแยกบ้านเชื่อฉันเถอะว่าเราต้องทำได้
แต่ก่อนอื่นเราต้องหาทุนสำรองของบ้านกันก่อน เพราะถ้าหากแยกบ้านแล้วอย่างน้อยก็ต้องมีเงินก่อสร้างบ้าน ฉันอยากจะซื้อบ้าน ในเมืองให้ทุกคนอยู่ด้วยกัน แต่ก็รู้ดีว่ามันยากเกินความสามารถของพวกเรา”เรื่องซื้อบ้านเท่าที่รู้จากความทรงจำของร่างนี้ ยุคนี้ซื้อบ้านยากมาก และการย้ายเข้าเมืองยากไม่ต่างกันเพราะทะเบียนบ้านของทุกคนอยู่ในหมู่บ้าน แม้ว่าจะย้ายภายในอำเภอก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าไม่มีเส้นสาย
ดังนั้นเรื่องที่สำคัญที่สุดคือการหาเงินอย่างไรล่ะ
เมื่อได้ยินคำพูดทั้งหมดของเธอ ทุกคนจึงคิดตาม นั่นคือต้องหาเงินเข้าบ้านให้มากที่สุด ถ้าหากไม่มีเงินสำรองแล้วจะแยกบ้านอย่างไร
“ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่เย็นนี้พี่จะหาของป่าให้มากขึ้น จะได้เอาไปขายที่ตลาดมืด” เฉินหลงเปียวพูดคนแรก เขาต้องหาของป่าให้ได้มากกว่าเดิม บ้านรองของเขาจะได้มีเงินเก็บ
“ที่ลูกพูดมามันถูกต้องและเราควรทำอย่างนั้น แต่จะเดินอ้อมหมู่บ้านไปตลาดมืดเหรอ พ่อว่ามันจะลำบากไหม และหมู่บ้านนั้นมีคนรู้จักของลุงใหญ่ เกิดพวกเขาไปบอกบ้านใหญ่เราจะลำบากมากกว่าเดิมนะ” เฉินคังกลัวว่าหากมีคนพบเห็นจะเกิดเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าเดิม และหากเป็นอย่างนั้นบ้านใหญ่คงไม่ยอม ไม่แน่ว่าจะหาเรื่องบ้านรองอีกน่ะสิ
“พ่อกับพี่ใหญ่กังวลเรื่องอะไร อย่าลืมสิว่าฉันมีของวิเศษอยู่ที่ตัว และในนั้นมีข้าวของมากมายที่เรากินไม่หมด เราสามารถเอาออกมาขายได้ พี่ใหญ่กับพ่อไม่ต้องทำงานหนักกว่าเดิมหรอก แต่ทำตัวเป็นปกติก็พอ ตอนนี้พวกเราควรจะกินอาหารให้อิ่ม”
เฉินโม่หรานนั่งฟังพ่อกับพี่ใหญ่พูดก็อดที่จะพูดสวนกลับมาไม่ได้
เรื่องหาของป่าเธอเข้าใจ แต่ทั้งสองคนลืมไปหรือเปล่าว่าเธอมีมิติ และเธอสามารถหาเงินเข้าบ้านได้จำนวนมากหากเอาของไปขาย
“จริงสิ แต่มันไม่เป็นอันตรายกับลูกใช่ไหม หากเอาของวิเศษพวกนั้นไปขาย” คนเป็นพ่อถามย้ำอีกครั้ง แววตายังคงมีความกังวลเพราะกลัวว่าของพวกนั้นต้องแลกกับอายุขัยของเธอ
“ไม่เป็นอันตรายค่ะ ถ้าอย่างนั้นบ่ายนี้พี่ใหญ่ไม่ต้องทำงานได้ไหม เข้าเมืองกับฉันเราจะไปขายของกัน แล้วพี่จะรู้ว่าต่อจากนี้เราสองพี่น้องจะมีเงินเก็บมากขนาดไหน ส่วนพ่อกับแม่หากใครถามก็บอกว่าพี่ใหญ่พาฉันไปหาหมอ ดีไหมคะ” เธอยื่นข้อเสนอเพราะหากอธิบายคงไม่ดีเท่าทำให้เห็น
เมื่อได้ยินอย่างนั้นทั้งสามคนจึงพยักหน้าตกลง
“ถ้าอย่างนั้นเรามากินอาหารมื้อนี้กันก่อน ส่วนมื้อเย็นพ่อกับแม่ก็แสร้งกินไปหรือบอกว่าอิ่มแล้ว เดี๋ยวเราสองคนกลับมาจะเอาของอร่อยมาให้กิน”
สิ้นเสียงของเฉินโม่หราน ทั้งสามคนไม่รีรออีกเพราะเห็นว่าอาหารสุกแล้วจึงกินด้วยความอร่อย นี่จึงทำให้หญิงสาวยิ้มขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นคนในครอบครัวได้กินของอร่อยแบบนี้
ย้อนกลับมาทางด้านจ้าวหนิงเฟิง เมื่อชายหนุ่มกลับมาถึงบ้าน เขามองดูกระต่ายในมือคล้ายกับจะตัดสินใจบางอย่าง
ก่อนจะพาพวกมันขังไว้ แล้วกลับขึ้นเขาอีกครั้งเพื่อหาไม้มาทำกรงให้พวกมัน“ถือว่าพวกแกโชคดีนะที่ฉันไม่นำมาทำอาหาร และถ้าปล่อยพวกแกไปคงได้เป็นมื้อเย็นของใครสักคน” ใบหน้าที่มักจะเย็นชาปรากฎรอยยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อย
กระต่ายเหมือนจะรู้ว่าพวกมันรอดตายก็กระโดดไม่หยุดคล้ายกับกำลังดีใจอยู่ ไม่นานสหายทั้งสองคนที่ทำงานในกองพลน้อยกลับมา
“พี่เฉิง นั่นพี่จะเลี้ยงกระต่ายเหรอ” ตงข่ายสหายร่วมเป็นร่วมตายของจ้าวหนิงเฉิงถามอย่างแปลกใจ เพราะทุกครั้งที่พี่ใหญ่ของพวกเขาหาสัตว์ป่ามาได้จะต้องลงหม้อเป็นอาหารเสียทุกครั้ง
“อืม มีคนขอไว้อย่าฆ่าพวกมันน่ะ ฉันเลยต้องเลี้ยงไว้
ในบ้านมีเนื้ออยู่พวกนายไปทำอาหารเถอะ” เขาพูดออกมาเหมือนเรื่องปกติ จนตงข่ายและจางอี้ได้แต่เกาหัวด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็เดินเข้าครัวไปทำอาหารเหมือนเดิมความจริงแล้วจ้าวหนิงเฉิงไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้แต่ก็เข้ามาอยู่ในฐานะยุวปัญญาชนเกือบสิบปีแล้ว วันหนึ่งได้ช่วยเหลือพ่อเฒ่าเฉิน ฝ่ายบ้านเฉินจึงรับปากว่าหากหลานสาวถึงวัยแต่งงานจะให้เป็นเจ้าสาวของเขา แต่ก่อนที่จะได้ทำตามสัญญาพ่อเฒ่าเฉินมาสิ้นใจไปเสียก่อน
ทว่าก่อนที่เขาจะหมดลมหายใจก็ไม่ลืมเรื่องนี้ ยังคงสั่งเสียภรรยาและลูกไว้ว่าอย่าลืมเรื่องการแต่งงานของหลานสาว
วันหนึ่งจ้าวหนิงเฉิงเข้าป่าแล้วเกิดพลาดท่าให้กับหมู่ป่าตัวใหญ่ ทำให้เขามีบาดแผลบนใบหน้า หญิงสาวในหมู่บ้านพากันรังเกียจ รวมถึงหลานสาวของบ้านเฉินทั้งสองคน
‘วันนี้เกิดอะไรขึ้นทำไมเธอคนนั้นถึงพูดจาเหมือนคนทั่วไป ไม่มีความรังเกียจอยู่ในนั้นเลย’
เมื่อคิดถึงใบหน้าและการกระทำของใครบางคนในวันนี้ ชายหนุ่มจึงกระตุกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจเล็กน้อย ในใจนั้นเริ่มคิดถึงบางเรื่องขึ้นมา และหวังว่าเรื่องที่ตั้งใจจะกระทำจะลุล่วงไปด้วยดี
ส่วนทางด้านของเฉินโม่หราน เวลานี้ทั้งหมดกินอาหารกันจนอิ่มแล้ว และอาหารที่เตรียมไว้ก็ไม่เหลืออะไรเลย
“นี่ค่ะ ผลไม้ล้างปาก” หญิงสาวเรียกเอาส้มและกล้วยออกมาเพื่อให้ทุกคนกินเป็นของหวาน
“ขอบใจมาก บ่ายนี้พ่อมีแรงทำงานแล้ว” เฉินคังพูดอย่างยินดี ตอนนี้ท้องอิ่มย่อมต้องมีแรงทำงานต่อในช่วงบ่าย
“นั่นสิ แม่เองก็หายเหนื่อยแล้วเหมือนกัน ว่าแต่ลูกทั้งสองคนเถอะจะเข้าเมืองวันนี้เลยเหรอ” กุ้ยเจินถามย้ำอีกครั้ง
“ค่ะแม่ ฉันจะให้พี่ใหญ่พาเข้าตลาดมืด วันหน้าฉันจะได้ไปด้วยตัวเอง หากให้ฉันทำงานในทุ่งเหมือนเดิมคงไม่ไหว”
เฉินโม่หรานรู้ดีว่าเธอไม่สามารถทำงานกลางแดดแบบนั้นได้ หากไม่มีมิติคงต้องหางานอย่างอื่นทำ หรือไม่ก็ต้องเข้าเมืองแล้วหาของไปขาย แต่นั่นก็ไม่มีทางเป็นไปได้เพราะบ้านรองของเธอไม่มีเงิน!
“ไม่ได้ หรานหรานรู้หรือไม่ว่าตลาดมืดอันตรายแค่ไหน หากเมื่อไรที่เจ้าหน้าที่รัฐหรือทหารเข้าไปตรวจค้น แล้วหนีไม่ทันจะทำอย่างไร”
เฉินหลงเปียวรีบส่ายหน้ารัว ๆ เขาไม่ต้องการให้น้องสาวเข้าเมืองไปตลาดมืดคนเดียว นั่นเพราะว่ามันอันตรายเกินไป
“แต่พี่ใหญ่อย่าลืมว่าพี่เข้าเมืองไปกับฉันไม่ได้ทุกวันหรอก เพราะนั่นจะทำให้คนอื่นและบ้านใหญ่สงสัยได้ พี่เชื่อใจฉันเถอะว่าน้องสาวคนนี้สามารถเอาตัวรอดได้ วันไหนที่พี่ว่างค่อยไปกับฉัน”
หญิงสาวไม่อยากให้คนอื่นจับผิดที่เธอและพี่ชายเข้าเมืองทุกวัน หากเมื่อไรที่แยกบ้านแล้ว จะเข้าเมืองพร้อมกันก็ไม่ใช่ปัญหา
“แต่...” เฉินหลงเปียวยังมีความลังเล
“พ่อเชื่อใจหรานหราน พ่อเชื่อว่าลูกสาวของพ่อจะต้องเอาตัวรอดได้ วันนี้ลูกก็พาน้องไปดูเส้นทางเสียก่อน วันหน้าเมื่อมีเวลาพวกเราค่อยสลับกันเข้าเมืองไปกับหรานหราน แบบนี้ก็ไม่มีใครสงสัยแล้ว”
เมื่อทุกคนได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าตอบตกลง และเห็นด้วยกับความคิดของเฉินคัง
บทที่ 5 เริ่มวางแผนจัดการอนาคตทันทีที่ได้ยินเฉินโม่หรานถามแบบนั้น ทั้งสามคนรีบส่ายหน้าพร้อมกัน“พ่อจะกลัวลูกสาวของตัวเองทำไม ตอนนี้พ่อคิดว่าต้องหาทางแยกบ้านให้ได้ เกิดวันใดที่บ้านใหญ่รู้ลูกจะไม่ปลอดภัย” เฉินคังพูดออกมาอย่างไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไร นั่นเพราะยังหาเหตุผลที่จะแยกบ้านไม่ได้“พี่เองก็ไม่กลัวน้องหรอก เราเป็นพี่น้องกันจะกลัวทำไม พี่กังวลเรื่องเดียว คือเราจะหาวิธีไหนที่จะแยกบ้าน ดูแล้วย่าคงไม่ยอมง่าย ๆ”“นั่นสิ แม่เห็นด้วยกับพ่อและพี่ชายของลูก เรื่องหวาดกลัวเพราะลูกมีของวิเศษ พวกเราไม่กลัวกรอก แต่พวกเรากังวลเรื่องเดียวเท่านั้น” กุ้ยเจินที่นิ่งเงียบอยู่นานพูดขึ้นมาบ้างตอนนี้ความกังวลของทั้งสามคนไปในมทิศทางเดียวกันคือ ทำอย่างไรถึงจะแยกบ้านได้พอเฉินโม่หรานได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พูดอะไร ทำเพียงยิ้มให้ แล้วพูดขึ้นมาว่า “เรื่องแยกบ้านเชื่อฉันเถอะว่าเราต้องทำได้ แต่ก่อนอื่นเราต้องหาทุนสำรองของบ้านกันก่อน เพราะถ้าหากแยกบ้านแล้วอย่างน้อยก็ต้องมีเงินก่อสร้างบ้าน ฉันอยากจะซื้อบ้านในเมืองให้ทุกคนอยู่ด้วยกัน แต่ก็รู้ดีว่ามันยากเกินความสามารถของพวกเรา”เรื่องซื้อบ้านเท่าที่รู้จากความทรงจ
บทที่ 4 เขาคือพรานป่าคนนั้นตลอดสองข้างทางแม้จะมีคนจับตามองและซุบซิบกัน แต่ว่าเฉินโม่หรานหาได้สนใจไม่ ในใจนั้นรู้ดีว่าคนพวกนี้ก็คงจะนินทาเธอเหมือนเดิมหญิงสาวใช้เวลาไม่นานก็เดินขึ้นเขามา ก่อนจะมองหาที่ลับตาคน แล้วจัดการสถานที่ให้เรียบร้อย สาเหตุที่ว่าทำไมถึงไม่พากลับไปกินที่บ้าน นั่นก็เพราะกลัวว่าบ้านใหญ่จะรับรู้และได้กลิ่นอาหาร ไม่ใช่ว่าไม่พร้อมสู้ แต่มันยังไม่ถึงเวลาต่างหาก“วันนี้คงเอาอะไรออกมามากไม่ได้ นอกจากเนื้อไก่หนึ่งตัว รวมกับปลาอีกสี่ตัวก็คงจะอิ่มกันแล้วล่ะ”เฉินโม่หรานเอาทั้งสองอย่างออกมาจากมิติ และหาที่ที่มีกองใบไม้ เพื่อจะให้พวกปิดบังอาหารที่เธอเอาออกมาหลังจากที่จัดการเสร็จทุกอย่างแล้ว ก็รีบมุ่งหน้าไปแปลงข้าวโพดที่ครอบครัวของเธอทำงานอยู่ขณะเดียวกันเมื่อเธอกำลังเดินลงมา กลับพบใครบางคนเข้าพอดี จากความทรงจำของร่างนี้ เขาคงจะเป็นพรานป่าที่ชื่อจ้าวหนิงเฉิง หรือที่ใครเรียกกันว่าพรานเฉิงจ้าวหนิงเฉิงเดินลงมาจากเขาโดยมีกระต่ายป่าติดมือมาด้วย เมื่อเห็นว่าพบเจอใครเขากลับชะงักเล็กน้อย นั่นเพราะใบหน้าของเขามีแผลยาวตรงแก้มซ้ายอย่างน่ากลัวหญิงสาวในหมู่บ้านต่างก็รังเกียจทั้งนั้น ซ
บทที่ 3 พบเจอพระนางในนิยายเรื่องนี้เฉินโม่หรานกลับไม่คิดอย่างนั้น เธอมองว่าปู่ที่ตายไปแล้วต้องการให้พ่อของเธอรับใช้บ้านใหญ่จนวันตายถึงได้พูดฝากฝังแบบนั้นแต่ไม่เป็นไร วันที่บ้านใหญ่มายื่นข้อเสนอเพื่อให้เธอแต่งงานกับญาติผู้พี่ เธอต้องแลกข้อเสนอนี้ออกไป ทว่าก่อนถึงวันนั้นจะต้องหาเงินให้ได้เยอะ ๆ เสียก่อน‘แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ฉันไม่ได้มีมิติส่วนตัวเหมือนคนอื่นที่ทะลุมิติมานี่นา’ หญิงสาวได้แต่คิดในใจ และน้อยใจตัวเองที่ไม่มีนิ้วทองคำเหมือนคนอื่นเขา“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะพ่อ การที่ปู่พูดแบบนั้นคงต้องการให้บ้านรองของพวกเรารับใช้บ้านใหญ่ไปจนวันตาย ดูพี่ใหญ่สิตอนนี้อายุเหมาะแก่การแต่งงานแล้ว ยังไม่มีสะใภ้เข้าบ้านเลย”“ที่น้องพูดมาก็มีเหตุผลนะพ่อ” เฉินหลงเปียวเห็นด้วยกับสิ่งที่น้องพูด ปู่คงไม่อยากให้บ้านรองแยกบ้านเพราะกลัวบ้านใหญ่จะไม่มีคนทำงานให้มากกว่าจากนั้นก็หันมาพูดกับน้องสาวอย่างยิ้มแย้ม “ส่วนเรื่องแต่งงานพี่ยังไม่คิด และคงไม่มีหญิงสาวที่ไหนอยากแต่งเข้ามาหรอกนะ แค่สภาพความเป็นอยู่บ้านเราก็ไม่เอื้ออำนวยแล้ว”เขาไม่เสียใจกับโชคชะตา แต่เสียใจที่ไม่สามารถพาครอบครัวและทุกคนที่รักหลุดพ้นออ
บทที่ 2 เฉินโม่หรานเปลี่ยนไปปัง ๆ ๆ เสียงทุบประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้คนที่อยู่ด้านในได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินมาเปิดประตู‘ทะลุมิติมาวันแรก เจองานหนักเสียแล้ว แต่ถ้าทำตัวหงอคงถูกใช้งานและถูกรังแกไม่จบไม่สิ้นแน่’ “มีเรื่องอะไรอีกเหรอคะ” หญิงสาวถามออกมา พร้อมกับกวาดสายตามองคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง “นี่ขนกันมาหมดเลยหรือ”“กล้าดีอย่างไรถึงได้ตวาดใส่ป้าสะใภ้ของหล่อน” ย่าเฉินยืนเท้าสะเอวแล้วถามเสียงดัง“แล้วยังไงคะ ทำไมย่าไม่ถามป้าสะใภ้ล่ะว่าเคาะเรียกหรือทุบประตูเรียก”“ก็หล่อนไม่ยอมลุกมาทำงาน หุงหาอาหารนี่ ฉันเลยต้องทุบประตู” ฟางอี้เหนียงโต้เถียงกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้เหมือนกัน“ทุกคนลืมไปหรือเปล่าว่า เมื่อวานฉันโดนย่าตีอย่างไร้เหตุผล ทำให้ฉันเกือบตาย เอ๊ะ! หรือว่าฉันตายไปแล้ว แต่ก็ช่างเถอะ ฉันเจ็บหนักขนาดนั้นทำไมคนบ้านใหญ่ไม่คิดสงสารกันบ้าง งานบ้านก็ไม่หนักหนาอะไร ทำไมป้าสะใภ้กับพี่เม่ยเม่ยไม่ทำเองล่ะ” เฉินโม่หรานกอดอกแล้วยืนพิงประตู“หล่อนเจ็บหนักที่ไหน คนเจ็บหนักจะมายืนเถียงแบบนี้ได้อย่างไรกัน ไม่รู้ล่ะ ฉันเป็นย่า ใหญ่สุดในบ้านนี้ ฉันสั่งให้หล่อนไ
บทที่ 1 ทะลุมิติเข้ามาในนิยายหมู่บ้านหนานอี้ เมืองโจวหมิง ปี 1979ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังลั่น แต่อย่าเรียกว่าเคาะเลยต้องเรียกว่าทุบดีกว่า“ไม่คิดจะหุงหาอาหารหรืออย่างไร นี่ก็สว่างแล้วนะ”เสียงเรียกของฟางอี้เหนียงหรือสะใภ้ใหญ่ของบ้านเฉินร้องเรียกอยู่หน้าห้องของบ้านรอง“หรือว่ายังไม่มีใครตื่นคะแม่ เมื่อวานย่าตีนังโม่หรานหนักขนาดนั้น วันนี้บ้านรองคงไม่อยากออกมาทำงานหรือเปล่าคะ ห้องนี้เงียบเชียว” เฉินเม่ยเม่ยจีบปากจีบคอพูดกับแม่ของตัวเองอย่างไม่พอใจส่วนภายในห้องเวลานี้หญิงสาวที่นอนอยู่กำลังรู้สึกตัว ทว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าเธอนั้นไม่ได้อยู่ที่ห้องตัวเอง“ที่นี่คือที่ไหน” หญิงสาวสะบัดศรีษะเล็กน้อยเพื่อให้สมองคลายความมึนงง แต่เมื่อเธอมองรอบห้อง กลับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะห้องนี้ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ“อะไรนะ!! นี่มันปี 1979”ขณะที่กำลังตกใจอยู่นั้น ภาพความทรงจำต่าง ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัว ทำให้รู้ว่าเธอนั้นได้ทะลุมิติเข้ามาในนิยายที่เพิ่งอ่านไป‘ฉันคือเฉินโม่หราน นางร้ายที่ออกมาไม่กี่ฉากก็ต้องตาย’ เธอได้แต่คิดในใจ เท่าที่จำได้ ในนิยายบอกว่าเฉินโม่หรานตายไปตอนที่ถูกย