LOGINการตายที่สร้างรอยแผลลึกทำให้นางไม่สามารถลืมมันไปได้ เมื่อได้โอกาสเริ่มต้นอีกครั้งจึงขอเลือกเดินทางใหม่พร้อมกับแก้ไขสิ่งเดิมที่จะนำพาชีวิตไปสู่เส้นทางใหม่ แต่ทุกอย่างไม่เคยมีคำว่าง่ายดาย ไป๋เยว่ต้องพบเจอกับอุปสรรคหลายด้านพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของบุรุษผู้หนึ่งที่นางคาดไม่ถึง ทว่าเขากลับช่วยเหลือและอยู่เคียงข้างอย่างเต็มใจ
View Moreล่วงเข้าสู่ยามไฮ่ ท้องฟ้าคืนเดือนมืดคล้ายถูกเมฆหม่นบดบัง แสงนวลที่เคยอาบพื้นโลกกลับกลายเป็นแสงเยียบเย็นเยี่ยงน้ำแข็ง ต้องแสงสลัวลงบนลานหินหยกขาวของตำหนักรัชทายาท อาบย้อมไปทั่วทั้งลานดูคล้ายฉากในความฝันร้าย
กลางลานนั้น มีสตรีนางหนึ่งนอนจมกองโลหิต สีหน้าของนางซีดเซียวคล้ายไร้ชีวิต เหลือเพียงแววตาเศร้าช้ำที่ยังคงเปิดอยู่ค้าง ๆ ราวกับนางไม่อาจหลับตาลงได้ด้วยความเจ็บแค้นที่ยังติดค้างอยู่ในความรู้สึก นางคือ ไป๋เยว่ สตรีงดงามวัยยี่สิบหกปี เป็นบุตรสาวคนโตของขุนนางตระกูลไป๋ นางผู้ขึ้นชื่อเรื่องอวดดี ทะนงตน และเย่อหยิ่ง แม้จะมีรูปโฉมสะคราญแต่ก็ห่างไกลคำว่าอ่อนหวานเฉลียวฉลาด ความหลงตนเองนำพาชีวิตของนางให้พบจุดจบเช่นนี้ ในจุดที่นางยืนอยู่ไร้คำว่าเมตตาต่อข้ารับใช้ สหายหรือแม้แต่สามัญชนทั่วไป ทว่าในความเลวร้ายทั้งปวงของนาง หัวใจของสตรีผู้นี้เคยเต้นแรงด้วยความศรัทธาในรักแท้อย่างซื่อตรง และบัดนี้หัวใจดวงนั้นกำลังหยุดลงอย่างช้าๆ กลิ่นคาวเลือดโชยแตะปลายจมูก ผสมกลิ่นดอกเหมยแห้งที่ร่วงหล่นจากต้นเหนือหัว ร่างบอบบางของนางถูกเหวี่ยงลงกลางลานอย่างไร้เยื่อใยโดยผู้เป็นสามีของตนเอง รัชทายาทหลี่หยวนเซิน บุรุษผู้เคยยื่นมือมาแตะปลายคางนางด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แต่ยามนี้สายตาเขากลับเย็นชาดั่งน้ำแข็งพันปี "เจ้าคิดจริงหรือว่า ข้าแต่งเจ้าเพราะความรัก เจ้ามันก็แค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเจ้าเลือกหลุมพรางนี้เอง" คำพูดของเขาเสียดแทงลึกกว่าคำสบถใดในโลก ความรักที่นางเคยมอบให้จนหมดหัวใจไม่หลงเหลือแม้สักเสี้ยวในแววตาคู่นั้น เช่นนั้นหมายความว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงการแสดงละครตบตาเท่านั้นเอง เขาหลอกล่อให้นางลุ่มหลงเพราะเกรงว่านางจะปฏิเสธในตัวเขา ในตอนนั้นนางขึ้นชื่อเรื่องความหัวรั้นเอาแต่ใจ และกลลวงของหลี่หยวนเซินก็บรรลุผล ไป๋เยว่มองเขาด้วยดวงตาเปรอะเปื้อนโลหิตผสมหยาดน้ำตา นางยิ้มเยาะอย่างเงียบงัน ริมฝีปากที่แตกจนเลือดซึมค่อย ๆ ขยับไปมาช้า ๆ "เช่นนั้นเจ้าควรฆ่าข้าให้ตายตั้งแต่คืนแต่งงาน ไม่ใช่ปล่อยให้ข้าเฝ้ารอความรักจากตัวปีศาจเช่นเจ้า" ฝ่ามือของนางกำแน่น ทั้งที่ไร้เรี่ยวแรง เล็บยาวที่ตกแต่งไว้สวยงามข่วนพื้นหินจนนิ้วมือแตก แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดจากลำคออีก นอกจากเสียงลมหายใจแผ่วเบา "ข้าต้องรีบร้อนทำเช่นนั้นไปทำไมกันเล่า ในเมื่อข้ามีเวลาเหลือเฟือ" ที่ตรงนี้ไม่ได้มีแค่เขาและนางแต่ยังมีนางข้าหลวง ขันทีอีกหลายคนมุงดูด้วยความสนใจ ดวงตาพร่าเลือนเหม่อมองกลุ่มคนเหล่านั้นไม่วางตา "นางยังไม่ตายหรือ" เสียงของหญิงรับใช้คนหนึ่งดังขึ้นเบา ๆ ด้วยความรังเกียจ "ช่างด้านทนเสียจริง คงเพราะดื้อดึงจนเคยชิน" เสียงนั้นไม่ต่างจากเข็มนับพันปักลงกลางใจของนาง แต่มันกลับไม่เจ็บอีกต่อไปเพราะจุดที่เจ็บที่สุดได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว คนเหล่านี้ล้วนเกลียดนาง ภายใต้อำนาจที่มีท่วมท้น นางได้เคยกดขี่ข่มเหงข้ารับใช้อย่างไร้ความเมตตา เมื่อถึงคราวตกต่ำจึงไม่น่าแปลกที่มีแต่เสียงเหยียบย่ำซ้ำเติม ราวกับไป๋เยว่ได้สำนึก สายตาหม่นเศร้าเหลือบมองคนเหล่านั้น แววตาของนางว่างเปล่าคล้ายคนที่ปล่อยวางแล้ว หากจะถูกเกลียดนางก็ไม่อาจลุกขึ้นมาทำอะไรได้อีก ชะตากรรมที่เลวร้ายผลักดันนางขึ้นสู่อำนาจเพราะผลประโยชน์ของผู้อื่น ต่อจากนั้นนางได้กระทำผิดพลาดเพราะความลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น วันนี้นางได้รับผลจากอดีตทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว บิดาของนาง ท่านอัครมหาเสนาบดีแห่งราชสำนักไม่มาปรากฏกาย นับตั้งแต่ส่งลูกสาวเข้าสู่งานแต่งแห่งหายนะ เขาก็หายไปกับเหล่าทูตการเมือง ประหนึ่งไม่เคยมีบุตรคนนี้มาก่อน ส่วนมารดา แม้จะอยู่ในจวนก็ปิดประตูเงียบงัน ไม่แม้แต่จะส่งคนมาไต่ถาม ว่าบุตรสาวเพียงคนเดียวถูกรังแกเช่นใด ชีวิตหนึ่งของหญิงสาวที่ไม่เคยมีใครอยู่เคียงข้างเลยสักครั้ง สายลมเริ่มพัดแรงขึ้น เศษดอกเหมยปลิวว่อนราวกับหยาดหิมะเลือด ขณะไป๋เยว่กระอักเลือดเป็นครั้งสุดท้าย นางยิ้มเจื่อน ๆ จับจ้องขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับจะถามว่าฟ้าเบื้องบนเห็นบ้างหรือไม่ "หากมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ ขอฟ้าดินเป็นพยาน" ลมหายใจของสตรีที่เคยสูงส่งเหนือผู้อื่นแผ่วเบาแทบไม่หลงเหลือ แต่สติสุดท้ายของนางยังคงยึดมั่น "ข้าจะไม่รักใครอีก จะไม่ให้ใครมากำหนดชะตาแทนข้า ข้าจะเลือกลิขิตชีวิตของข้าด้วยตัวเอง และข้าจะละทิ้งความน่าละอายของตนเอง" ช่วงเวลานั้นเอง ฟ้าผ่าดังครืน เปลวสายฟ้าพาดผ่านขอบฟ้าแหลมคม คล้ายเป็นดาบของสวรรค์ที่ผ่าเส้นทางของโชคชะตา เสียงระฆังดังก้องจากหอเจดีย์ด้านตะวันตก ขับไล่วิญญาณมิให้ตกสู่เหวนรก เปลวแสงบางอย่างสว่างวาบเหนือร่างไป๋เยว่ และในห้วงวิญญาณที่ไร้กาลเวลา เสียงหนึ่งพลันดังกังวานราวเสียงเทพสวรรค์ "เจ้ากล้าหรือไม่ที่จะมีชีวิตใหม่แต่ต้องแลกด้วยเลือด น้ำตาและคำสาปของตนเอง" ไม่มีคำตอบ มีเพียงแววตานั้นที่เด็ดเดี่ยวและเยียบเย็น ทุกสิ่งเงียบงัน และในความเงียบนั้นเสียงลมหายใจใหม่พลันเริ่มต้นขึ้นอีกครา ดวงจิตของไป๋เยว่ถูกฉุดดึงเข้าสู่ห้วงมืดไร้ที่สิ้นสุด สายหมอกสีเทาหมุนวนรอบกาย คล้ายทั้งอบอุ่นและเยียบเย็นในเวลาเดียวกัน ร่างไร้น้ำหนักของนางล่องลอยเหนือแสงสีคราม ขณะเสียงนั้นยังคงก้องในหู "นี่คือวาระสุดท้าย เจ้ากล้าหรือไม่ที่จะขีดชะตาใหม่ด้วยมือของตนเอง" ไป๋เยว่เงยหน้าขึ้น แม้ไร้รูปร่าง แต่ในใจกลับมั่นคงกว่าครั้งใด น้ำเสียงของนางเอ่ยขึ้นด้วยแรงกล้าจากวิญญาณอันแตกสลาย "ข้ายินยอมแลกคืนชะตาใหม่ ด้วยทุกหยาดเลือดและหยดน้ำตาในชีวิตก่อนหน้า" "เจ้าต้องสูญเสียบางสิ่งที่เคยมีและไม่ได้บางอย่างที่อยากได้" ดวงจิตนั้นสั่นสะท้านเล็กน้อย แต่ไม่ลังเล "หากต้องเสียสิ่งนั้นไปเพื่อได้คืนอิสรภาพ ข้ายินดี" คำพูดสุดท้ายหลุดออกจากปาก วิญญาณของนางพลันถูกดูดกลับสู่แสงจันทร์ที่แตกกระจายบนลานหินแห่งความตาย ณ ที่นั้นศีรษะของนางซบลงอย่างสงบ ดวงตาปิดลงแน่นิ่ง แต่ในมุมหนึ่งของฟากฟ้า พระจันทร์ที่เคยหม่นมืดกลับสาดแสงแรงกล้า ท่ามกลางหิมะแรกแห่งปลายปีที่ร่วงหล่นอย่างอ่อนโยนคล้ายบทเริ่มต้นของวัฏจักรใหม่ภายในวังหลวง อากาศยามเช้าระหว่างฤดูหนาวยังคงมีความเย็นเยือก แต่กลับอบอุ่นขึ้นด้วยการเคลื่อนไหวของบุคคลในตำแหน่งสูง เริ่มมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วถึงความสัมพันธ์ที่เริ่มใกล้ชิดระหว่างองค์ชายรองจิ่นเหวินและบุตรสาวตระกูลไป๋ เสียงกระซิบจากข้ารับใช้ในตำหนัก ถึงแม้จะเป็นเพียงคำพูดเบา ๆ แต่กลับทำให้เกิดกระแสความระแวงในวังหลวงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ "ได้ยินข่าวลือหรือไม่ว่าองค์ชายรองจิ่นเหวินและสตรีในตระกูลไป๋ จะใกล้ชิดกันมากขึ้นทุกวัน" เสียงกระซิบกระแนะกระแหนดังขึ้นในมุมมืดของห้องแห่งหนึ่งภายในวัง อีกฝ่ายหนึ่งตอบกลับด้วยเสียงต่ำ "ไม่ใช่แค่ใกล้ชิด แต่ยังมีข่าวว่าองค์ชายรองพยายามช่วยเหลือไป๋เยว่จากภัยคุกคามจากภายในจวน และข่าวลือยังบอกด้วยว่าองค์ชายรองมีความรู้สึกพิเศษต่อนาง คอยดูแลนางอยู่ห่าง ๆ " เหล่าข้ารับใช้ทั้งหลายต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยในที่ลับตา ในขณะที่คำพูดเหล่านี้เริ่มกระจายไปทั่ววังหลวงเหมือนคลื่นที่ลามไปตามผืนน้ำ สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อยกลับส่งผลใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์ทางการเมืองภายในราชสำนัก ในห้องที่ปิดเงียบ รัชทายาทนั่งอยู่บนเก้าอี้มองผ่านหน้าต่างไปยังสวนด้านนอก
จวนรองแม่ทัพ เพลิงลุกไหม้ฉับพลันกลางดึกสงัด ควันดำพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวอสูรร้ายคำราม ทุกคนในจวนรองแม่ทัพต่างแตกตื่น ต่างพยายามช่วยกันดับไฟโดยไม่ทันตั้งตัว ไป๋เยว่รีบรุดมายังจวนของหลินซูเหยาเมื่อได้ข่าว ไฟไหม้ครั้งนี้รุนแรงเกินกว่าคำว่าอุบัติเหตุ หญิงสาวยืนมองเปลวเพลิงลุกโชน ใจร้าวรานยิ่งนักเมื่อเห็นห้องหนังสือของซูเหยาถูกไฟกลืนกินจนหมดสิ้น แต่ยามเปลวเพลิงสะท้อนนัยน์ตา ภาพหนึ่งก็แทรกเข้ามาในหัวอย่างไม่คาดฝัน ห้องหนังสือที่เคยมีอยู่ในอดีตก็ถูกวางเพลิง เสียงกรีดร้อง สะเก็ดไฟในยามค่ำคืน และเสียงของเด็กหญิงที่ตะโกนเรียกชื่อใครบางคน เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำที่เลือนหาย ปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดคิด ไป๋เยว่ขมวดคิ้ว มือแนบแน่นกับสาบแขนเสื้อ มันเกิดเร็วขึ้น ครานั้นจับมือวางเพลิงไม่ได้ แต่ภายในจวนเสียหายไปหลายส่วน "ทำไมข้าจำเรื่องนี้ได้" หลินซูเหยาไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง แต่สีหน้าของนางหมองเศร้า "ตำราแพทย์สมุนไพรบ้าง ต้นฉบับรายงานบ้าง พวกนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ท่านแม่เคยเก็บสะสมไว้" ไป๋เยว่กุมมือสหายรักเอาไว้แน่น สายตาวาววับด้วยความมุ่งมั่น "ข้าจะหาคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ให้เจอ" และนั่
หลายวันต่อมา แสงอาทิตย์ยามสายทอดผ่านม่านโปร่งสีจางของเรือนใหญ่ ภายในเรือนสกุลไป๋กลับเงียบงันจนน่าอึดอัด บรรยากาศเหมือนมีบางอย่างกำลังคลี่คลายช้า ๆ ทว่าไม่อาจเดาได้ว่าจะเป็นไปในทางใด ไป๋เหวิน อัครเสนาบดีของราชาสำนักและบิดาผู้เฉียบขาดของไป๋เยว่ ยืนสงบนิ่งอยู่หน้าบานหน้าต่าง ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องลอดผ่านใบหลิว เขานิ่งจ้องลงไปยังสวนเบื้องล่างที่บุตรสาวของเขากำลังนั่งอ่านตำราอยู่ใต้ต้นเหมย สายตาของบิดาไม่ใช่เพียงแค่สายตาของผู้เป็นพ่อ หากแต่เป็นสายตาของนักวางหมากชั้นครูที่กำลังอ่านกระดานอย่างรอบคอบ ไป๋เยว่ดูเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่ท่าทางการพูดหรือแววตาที่ไม่เหมือนเดิม หากแต่เป็นการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว การโต้กลับอย่างแยบคาย และความนิ่งเฉยเย็นชาต่อคำสั่งของเขา เขาเรียกคนสนิทเข้ามาในห้อง "สืบให้ข้า ว่ามีผู้ใดเข้าใกล้นางบ้างในช่วงเดือนที่ผ่านมา ไม่เว้นแม้แต่คนในราชสำนัก ขุนนาง พ่อค้า หรือสาวใช้ที่ติดตามข้างกาย" "ขอรับ" ไป๋เหวินหรี่ตาลง มือข้างหนึ่งกำกระบี่ไม้ที่เขาใช้ประจำเวลาฝึกหมากล้อม ความอดทนของเขากำลังขาดสะบั้นโดยมีนางเป็นต้นตอ ความเปลี่ยนแปลงของบุตรสาว ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังพลาดหมากบ
งานเลี้ยงประจำปีของตระกูลไป๋ยังคงดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางการสนทนาที่เป็นมิตรและการแลกเปลี่ยนของขวัญจากแขกผู้มีเกียรติ ทว่าความสงบในงานเลี้ยงของตระกูลไป๋เริ่มเลือนหายไปเมื่อเสียงพลุกระจายดังขึ้นในความเงียบงัน กลิ่นอาหารหอมหวลและเสียงพูดคุยรื่นเริงที่เคยเต็มไปด้วยความอบอุ่นเริ่มบิดเบือนเข้าสู่ความอลหม่าน ฝูงชนเริ่มแตกกระเจิง มีบางสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเหล่าชายหนุ่มในชุดดำพยายามฝ่าเข้ามาใกล้ไป๋เยว่ ขณะที่ทุกคนในงานต่างหันมามอง สถานการณ์ที่แสนสงบกลายเป็นความตึงเครียดอย่างฉับพลัน ไป๋เยว่รู้สึกถึงความผิดปกติในอากาศ นางสะดุ้งเฮือก หัวใจเต้นรัว ความวุ่นวายเริ่มขึ้นที่ริมขอบห้อง กลุ่มคนในชุดดำหลายคนเดินเข้ามาอย่างมั่นใจ การตัดสินใจของพวกเขานั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจน วัตถุประสงค์ของพวกเขาคือการจับตัวนาง "ไป๋เยว่!" เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ไป๋เยว่สะดุ้งอีกครั้ง ก่อนที่มีมือแกร่งยึดข้อมือของนางไว้และดึงไปข้างหลัง เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นจิ่นเหวิน เขาจับข้อมือของนางอย่างมั่นคง ร่างสูงก้าวข้ามฝูงชนที่กำลังตกใจ ก่อนจะพานางไปยังจุดที่ปลอดภัยอย่างรวดเร็ว ไม่ทันจะท





