หลังจากนั้นเมื่อจัดการเก็บของหมดแล้ว เฉินโม่หรานและเฉินหลงเปียวจึงเดินออกจากหมู่บ้านเพื่อเข้าเมือง แต่คนที่ไม่ชินกับการเดินสักเท่าไรก็เริ่มที่จะเมื่อยล้าแล้ว
“พี่ใหญ่อีกนานไหมกว่าจะถึงในเมือง”
หญิงสาวถามเสียงเหนื่อยหอบ
“อีกสักพักแหละ นี่อย่าบอกนะว่าหรานหรานเหนื่อยแล้ว” คนเป็นพี่ชายถามอย่างแปลกใจ เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามนี้จากน้องสาว
“ฉันเพิ่งหายป่วยนะพี่ ว่าแต่พี่เถอะปั่นจักรยานเป็นไหม” เธอไม่ตอบแต่ถามเรื่องอื่นแทน
“เป็นสิ พี่เคยมาเอาของในเมืองให้หัวหน้าชุยบ่อยครั้ง หรานหรานถามทำไมเหรอ”
“ฉันจะเอาจักรยานออกมาจากมิติน่ะ แต่พี่กับฉันต้องปลอมตัวเสียก่อนไม่อย่างนั้นแล้วเกิดเจอคนรู้จักเข้าล่ะก็ ความได้แตกกันพอดี”
จากนั้นเฉินโม่หรานจึงดึงมือพี่ชายเข้าข้างทางแล้วเอาหมวกกับแว่นตายื่นให้ พอเฉินหลงเปียวใส่ทั้งสองอย่างก็ดูไม่เหมือนเขาสักเท่าไร
“ไม่ค่อยเหมือนพี่แล้ว ตอนนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครจำได้” เธอพูดและยิ้มออกมาอย่างยินดี
“แล้วหรานหรานล่ะ” เฉินหลงเปียวถามเมื่อเห็นว่าน้องสาวยังไม่มีการปลอมตัว
“รอสักครู่ค่ะ” เธอตอบกลับมาอย่างทะเล้น ก่อนจะเอาเครื่องสำอางค์ออกมาแล้วแต้มจุดสีดำที่ใบหน้า ให้เหมือนกับคนมีกละ และถักเปียสองข้างพร้อมกับใส่แว่นหนาเตอะ
“จำแทบไม่ได้เลย” ชายหนุ่มพูดอย่างตกใจเพราะน้องสาวตอนนี้มีใบหน้าไม่เหมือนเดิม
“อย่างนั้นเราไปกันเถอะ” เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เฉินโม่หรานจึงเอาจักรยานออกมา ก่อนจะให้พี่ชายขี่พาเธอซ้อนท้ายเข้าเมือง
แม้จะอยู่ในยุคที่ผลัดเปลี่ยนอะไรหลายอย่างแล้ว
แต่บรรยากาศยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง จะเปลี่ยนแปลงก็แค่มี แผงลอยที่เกิดขึ้นจากภาครัฐจัดสรรให้ ส่วนร้านค้าก็มีชาวบ้านที่พอจะมีเงินหน่อยยื่นเรื่องเพื่อขอเปิดร้านสำหรับเฉินโม่หรานแม้อยากจะมีร้านค้าเป็นของตัวเอง
แต่ก็ไม่สามารถทำได้ นั่นเพราะว่าเธอยังไม่แยกบ้านและไม่มีเส้นสายพอที่จะทำแบบนั้นตอนนี้จึงทำได้เพียงแอบเข้าไปขายของในตลาดมืดที่ยังคงมี เพราะสินค้าบางอย่างยังเป็นของต้องห้ามและจำกัดปริมาณอยู่อย่างไรล่ะ และชาวบ้านเองก็มักจะเข้ามาหาซื้อและขายของกันในตลาดมืดเหมือนเดิม
เฉินโม่หรานมองตลอดสองข้างทางด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะไม่เจริญรุ่งเรืองมีตึกใหญ่เหมือนที่เธอจากมา แต่ยุคสมัยนี้ก็ยังคงมีบ้านเรือนและตึกการค้าเหมือนเดิม รวมถึงตึกราชการต่าง ๆ ของภาครัฐ
“ถ้าเรามีร้านค้าแบบนี้สักร้านก็คงดีเนอะพี่ใหญ่” หญิงสาวพูดออกมาคล้ายให้คำมั่นสัญญากับตัวเอง
“เรื่องนี้สักวันเราต้องทำได้ แต่ก็ต้องแยกบ้านให้ได้เสียก่อน” เฉินหลงเปียวเองก็อยากหลุดพ้นจากบ้านใหญ่ เขาไม่ได้สนใจตัวเอง แต่ห่วงน้องสาวกับแม่ที่ต้องทำงานให้กับบ้านนั้นไม่ต่างจากทาส
“นั่นสิ แต่เชื่อเถอะว่าไม่นานเราต้องหลุดพ้นจากคนพวกนั้น”
สองพี่น้องพูดคุยกันตลอดเส้นทาง สักพักก็มาถึงตลาดมืด เฉินหลงเปียวจึงจอดจักรยานไว้ ก่อนจะเดินนำน้องสาวมาที่
ตลาดมืด เมื่อมาถึงก็บอกรหัสให้กับคนเฝ้าประตูเฉินโม่หรานพยายามจำรหัสไว้ เพราะครั้งหน้าเธอต้องเข้ามาด้วยตัวเอง
“ตลาดแห่งนี้คนเยอะเหมือนกันนะพี่ใหญ่” เท่าที่จำได้เหมือนร่างนี้ไม่เคยมาที่แห่งนี้
“ใช่แล้วล่ะ ที่นี่ปิดมาเกือบสิบปีแล้วแต่เชื่อไหมว่าไม่เคยย้ายสถานที่ไปไหน และไม่เคยถูกตรวจค้น ไม่เหมือนตลาดอื่นที่เปิดได้ไม่นานก็โดนปิด บางตลาดก็อยู่ไม่ถึงสามปี แล้วที่ตลาดนี้ชาวบ้านคนไหนไม่มีเงินหรือขายของไม่ดีคน ดูแลก็จะไม่เก็บเงิน เห็นว่าเจ้าของตลาดร่ำรวยมากเลยล่ะ” ชายหนุ่มมาขายของป่าที่นี่บ่อยเลยพอจะรู้ประวัติของตลาดนี้
“เจ้าของใจดีมากเลยนะ” หญิงสาวพยักหน้าและตอบกลับ เธอเองก็พยายามนึกว่ามีตัวละครไหนที่พูดถึงเจ้าของตลาดนี้บ้าง แต่ก็นึกไม่ออก เลยปล่อยผ่าน เอาเวลามาคิดว่าจะขายอะไรดีกว่า
“พี่ใหญ่แล้วเราจะขายอะไรดี เนื้อหมูดีไหม ว่าแต่ขายเท่าไรดีล่ะ”
“เนื้อหมูขายดีเลยล่ะ รวมถึงพวกข้าวสารอาหารแห้ง ตอนนี้เป็นของที่ทุกบ้านต้องการกักตุน”
“ถ้าอย่างนั้นเราหาซอกตึกเพื่อหลบสายตาคนอื่น แล้วเอาของออกมาขายกันดีกว่า”
พูดจบก็มองหาซอกตึก เฉินหลงเปียวจึงเดินนำน้องสาวไปยังสถานที่นั้น พอมาถึงเฉินโม่หรานจึงเอาเนื้อหมูอย่างดีออกมา โดยมีการซีลเรียบร้อยเพื่อความสะอาด และยังมีข้าวสารอาหารแห้งอีกจำนวนหนึ่ง
“หลายตะกร้าเหมือนกันนะเนี่ย” หญิงสาวพูดออกมา พลางมองตะกร้าที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเธอและพี่ชาย
เฉินหลงเปียวไม่อยากให้น้องต้องแบกของหนัก เขาจึงสะพายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างถือที่เหลือมา โดยมีเฉินโม่หรานสะพายมาหนึ่งตะกร้า
สองพี่น้องมองทำเลขายของและเมื่อเห็นที่เหมาะสมจึงรีบเดินมา แล้ววางทุกอย่างลง
จากนั้นเฉินโม่หรานจึงเอาผ้าพลาสติกผืนหนึ่งออกมาปู แล้วเอาสินค้าที่มีออกมาวางขาย
“เร่เข้ามาจ้าเร่เข้ามา วันนี้มีเนื้ออย่างดีรวมถึงข้าวสารและอาหารแห้งอย่างอื่นด้วยนะ ใครมาก่อนได้ก่อน ใครมาไม่ทันอดนะจะบอกให้” หญิงสาวตะโกนเรียกลูกค้าอย่างไม่อาย นั่นเพราะร้านอื่นเขาก็ทำกัน
“มีเนื้อมาขายเหรอ ชั่งละเท่าไรล่ะ” ลูกค้ารายหนึ่งเดินเข้ามาถามอย่างสนใจ พร้อมกับมองเนื้อที่วางอยู่
“ชั่งละสี่หยวนครับ เนื้ออย่างดีรับรองคุณภาพ”
เฉินหลงเปียวตอบแทน เนื่องจากเขารู้ราคาสินค้าทั้งหมด
“อย่างนั้นเหรอ ราคาจับต้องได้ ถ้าอย่างนั้นฉันเอาห้าชั่ง พอดีว่าบ้านเจ้านายมีงานเลี้ยงพรุ่งนี้ แล้วเอาข้าวสารอีกสิบชั่ง...” ลูกค้าคนนี้ไม่ถามราคาอย่างอื่น แต่ตัดสินใจเลือกซื้อสิ่งที่ต้องการทันที
และเมื่อลูกค้าคนที่หนึ่งไป คนที่สองที่สามก็ตามมา
จนเวลานี้หน้าร้านของทั้งสองคนต่างเต็มไปด้วยลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าเฉินโม่หรานและเฉินหลงเปียวแม้จะวุ่นวายกับการขายของแต่ทั้งสองคนยังคงยิ้มแย้มไม่มีสักครั้งที่จะหงุดหงิดใส่ลูกค้า
และเมื่อหมดลูกค้าคนสุดท้าย สองพี่น้องหันมามองหน้ากันอย่างมีความสุข
“เหนื่อยไหมพี่ใหญ่” หญิงสาวหันมาถามพี่ชายพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“เหนื่อยแต่สนุก” เขาตอบ ก่อนจะมองเห็นคนดูแลตลาดเดินมาจึงได้บอกกับน้องสาว “นั่นคนของตลาดมืด น่าจะมาเก็บ
ค่าเช่าแผงน่ะ”เฉินโม่หรานมองตาม และเห็นชายรูปร่างกำยำเดินตรงมา จึงตัดสินใจหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋า เพราะรู้ดีว่าสินค้าชนิดนี้มีราคาไม่น้อยเลยในยุคนี้
“มาเก็บค่าเช่า” คนของตลาดมาถึงก็พูดด้วยเสียงดุดัน
“เท่าไรเหรอพี่ชาย” หญิงสาวถามกลับมา
“ห้าเหมา วันนี้มาขายวันแรกเหรอ แล้วพรุ่งนี้มาอีกไหม” เมื่อบอกราคาแล้วก็ถามถึงวันพรุ่งนี้
“มาสิคะ แต่ฉันน่าจะมาคนเดียว อย่างไรพี่ชายช่วยดูแลด้วยนะคะ” เฉินโม่หรานตอบกลับพร้อมกับส่งเงินค่าแผงให้
แล้วยังมียาสูบอีกหนึ่งซองชายคนนี้ยื่นมือมารับ เขามองซองยาสูบไม่ได้พูดอะไร
ทำเพียงพยักหน้าเท่านั้นแล้วเดินออกไป“แน่ใจเหรอว่าจะมาคนเดียว” คนเป็นพี่ชายถามย้ำอีกครั้ง วันนี้ขายกันสองคนยังแทบจะขายไม่ทันเลย
“พรุ่งนี้พี่จะมากับฉันอีกเหรอ” เธอหันมาถาม เพราะถ้าพี่ชายมาด้วยก็คงจะดี อย่างน้อยก็รู้สึกปลอดภัย
“พี่จะลองคุยกับหัวหน้าชุยเรื่องขอหยุดงานช่วงบ่าย แต่ก็ให้หัวหน้าชุยปิดบังบ้านใหญ่ให้ด้วย เพราะไม่อย่างนั้นเกิดปัญหาแน่นอน
“เอาแบบนี้สิ ให้ทุกคนสลับกันหยุด จะได้ไม่ผิดสังเกตุ
พี่คิดว่าไงกับแผนนี้”“พี่เห็นด้วย เดี๋ยวต้องปรึกษาพ่อกับแม่อีกครั้ง”
ชายหนุ่มเห็นด้วยกับความคิดของน้องสาว อย่างไรเรื่องนี้ต้องบอกพ่อกับแม่สักหน่อย ท่านทั้งสองคงจะเห็นด้วย เพราะเกิดเขาหายไปในช่วงบ่ายทุกวัน ชาวบ้านและคนในกองพลน้อยย่อมต้องสงสัยแน่นอน
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์ ภายในบ้านของจ้าวหนิงเฉิง เมื่อทุกคนเข้ามาแล้ว เฉินคังและกุ้ยเจินสลับกับเราเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง แม้ว่าเฉินหลงเปียวจะโทรหาบ่อยครั้งแต่ก็จะคุยเรื่องงานและถามความเป็นอยู่มากกว่าเมื่อรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากบ้านใหญ่ ก็ไม่คิดว่าเฉินอี้โจวจะหลงผิดถึงขั้นเปลี่ยนตัวเองเป็นหัวขโมย“เพราะเรื่องนี้ด้วยไหมคะพ่อถึงยอมไปปักกิ่งกับฉัน”“ส่วนหนึ่งเท่านั้นแหละลูก พ่อไม่อยากให้ทุกคนแยกจากกัน อีกทั้งพ่อไม่ได้มีห่วงที่นี่อีกแล้ว” เขาตอบตามความเป็นจริง “ตอนนี้ตัวตนของพี่เฉิงคงกระจายทั่วแล้ว เดี๋ยวบ้านใหญ่คงรู้เรื่อง พ่อไม่กลัวว่าย่าจะมาหาเรื่องหรือขอค่าเลี้ยงดูเหรอ”เฉินโม่หรานไม่เชื่อว่าย่าของเธอจะยอมง่าย ๆ ในเรื่องนี้ และยังมีเฉินเม่ยเม่ยอีก ฝ่ายนั้นคงแค้นแทบกระอักเลือดเมื่อพรานป่าที่ปฏิเสธกลายเป็นคนร่ำรวยและมีอิทธิพลมาก“ต่อให้ย่าของลูกมาจริงอย่างที่ลูกบอก พ่อก็ไม่ให้หรอกนะ เพราะตลอดชีวิตพ่อที่ผ่านมา พ่อทำดีที่สุดแล้ว และให้ไปมากพอแล้ว ต่อจากนี้ครอบครัวของพี่ใหญ่ต้องจัดการดูแลแม่เอง”เมื่อทุกคนได้ยินต่างก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจที่เฉินคังมีความเ
บทที่ 35 เริ่มต้นใหม่ในตระกูลจ้าวยังไม่ทันที่จ้าวต้าเค่อได้ตอบคำถามของพ่อตนเอง กลับมีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมาอย่างเคียดแค้น“เรื่องในอดีตเราสองคนสามีภรรยาไม่ได้สนใจอะไรมากมาย วันนี้ที่มาเปิดเผยตัวเพราะต้องการนำตราประจำตระกูลส่งมอบให้คนที่เหมาะสม แต่ไม่คิดว่าจุดจบของสามีฉันคือความตาย เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการเลย”เฉินโม่หรานสบตากับจ้าวหมิงยังไม่เกรงกลัว ก่อนจะพูดประโยคต่อมา “ถึงแม้ว่าตอนนี้สามีฉันจะไม่อยู่แล้ว แต่ฉันคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา คุณก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างไปเพราะฉันไม่มีทางยอม!!”เสียงประกาศของหญิงสาวดังขึ้นมาอย่างชัดเจนและ เธอไม่มีท่าทีผู้หญิงอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย แม้ใบหน้าสวยหวานจะมีน้ำตาไหลอาบแก้มก็ตามนายท่านสวี่ได้ยินก็รีบพูดสนับสนุนทันที “ฉันจะสนับสนุนเธอเอง อย่างไรเธอก็คือภรรยาของจ้าวหนิงเฉิงอย่างถูกกฎหมาย นับว่าเธอคือทายาทของเขา”“ได้อย่างไร ในเมื่อฉันคือจ้าวหมิง คนที่ดูแลตระกูลจ้าวมานับสิบปี จะให้คนนอกมากุมอำนาจได้อย่างไร ฉันยังอยู่ทั้งคนไม่ยอมให้ใครมาแย่งชิงสิ่งที่ควรเป็นของฉันไปหรอกนะ อย่างไรตระกูลจ้าวก็ต้องเป็นของฉันเท
บทที่ 34 ทายาทตัวจริงปรากฎคฤหาสน์ตระกูลจ้าวเวลานี้เต็มไปด้วยผู้ทรงอิทธิพลที่มาร่วมงานกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนในเมืองหลวงหรือต่างเมืองต่างก็มาแสดงความยินดีให้กับจ้าวหมิงทุกคนต่างก็เห็นกันว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมา เขาได้พาตระกูลจ้าวให้มาอยู่ในจุดนี้โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วกิจการที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมานั้นเป็นเพราะลูกชายของเขาต่างหากล่ะ ผู้คนที่มากันอย่างมากมายมีทั้งดีใจด้วยและภาวนาให้คุณชายใหญ่ปรากฏตัวในวันนี้ เพราะนั่นคือทายาทที่แท้จริงของตระกูลจ้าวจะว่าไปแล้วก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าจ้าวหมิงต้องการแย่งตำแหน่งของพี่ชาย จึงได้ส่งคนมาจัดการ แต่ก็นั่นแหละเพราะไม่มีหลักฐานเลยทำอะไรกันไม่ได้ จึงได้แต่ภาวนาให้ทายาทตัวจริงปรากฏ“ดีใจด้วยนะนายท่านรอง ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่านายท่านจ้าว ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึงแล้ว” ชายสูงวัยคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมา พร้อมกับชูแก้วให้อีกฝ่ายคล้ายกับแสดงความดีใจด้วย“ความจริงแล้วผมก็อยากจะรอหลานชายเพียงคนเดียวนั่นแหละ แต่ไม่ว่าจะส่งคนหาไปเท่าไหร่ก็ไม่มีข่าวคราวเลย ผมเองก็จนปัญญา แต่ตระกูลต้องมีผู้นำ”เขาพูดตอบกลับมาด้วยคำพูดที่แฝงไปด้วยความเศร้าเล็กน้
บทที่ 33 จับโจรได้แล้วหลายวันต่อมา...ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เฉินหลงเปียวคาดการณ์ไว้ นั่นเพราะเฉินอี้โจวกลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้ง ทันทีที่หัวหน้าหมู่บ้านและหัวหน้าชุยรับรู้ก็เริ่มจับตามองหลานชายบ้านเฉินทันที โดยที่เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ มีเพียงคนสนิทและไว้ใจได้เท่านั้นที่ทั้งสองบอกและให้รับหน้าที่จับตาดูส่วนเฉินเม่ยเม่ยเองก็เริ่มสงสัยว่าทำไมดี๋ยวนี้พี่ชายของเธอถึงได้กลับบ้านบ่อยนัก เลยถามออกมา “นี่กลับมาอีกทำไม ไม่ใช่ถูกโรงงานไล่ออกแล้วเหรอ แล้วมีเงินกลับมาบ้างไหมตอนนี้บ้านของเราไม่เหลือเงินแล้วนะ”พอได้ยินน้องสาวพูดแบบนั้นก็แสร้งทำสีหน้าตกใจ แล้วรีบถามออกมา “เกิดเรื่องอะไรเหรอ อย่าบอกนะว่าบ้านเราโดนหัวขโมยขึ้นบ้านเหมือนคนอื่นในหมู่บ้าน”“ก็ใช่นะสิ ย่านี่ด่าไม่หยุดเลยแถมยังสาปแช่งที่กล้ามาขโมยเงินของย่าไป แล้วที่ถามนี่มีเงินไหมขอเงินหน่อยสิ” หญิงสาวแบมือรอรับเงินจากพี่ชาย เธอตั้งใจจะเข้าเมืองสักหน่อย“ฉันไม่มีหรอก นี่กว่าเงินเดือนของโรงงานจะออกก็อีกตั้งหลายวัน ที่ฉันกลับมาบ้านเพราะที่ผ่านมาไม่เคยหยุดหรือลาเลยอย่างไรล่ะ ทำให้มีวันหยุดเยอะ เธอก็เลิกถามเถอะ ฉันเหนื่อยจะเข้าไปนอนส
บทที่ 32 ผู้ต้องสงสัยหลักสองย่าหลานได้ยินอย่างนั้นก็หันมาสบตากันทันที พยายามนึกว่าเธอลืมลงกลอนประตูและหน้าต่างหรือเปล่า“ไม่นะย่า อย่ามองฉันอย่างนั้น ฉันไม่มีทางลืมใส่กลอนประตูแน่นอน นอกเสียจากว่าพี่ใหญ่กับพ่อจะออกไปไหนตอนกลางคืนแล้วลืมใส่กลอนประตูจนทำให้หัวขโมยมันเข้ามาในบ้านโดยที่เราไม่รู้ตัว” เฉินเม่ยเม่ยรีบปฎิเสธ“ส่วนฉันจะต้องไปแจ้งเจ้าหน้าที่เรื่องนี้ ฉันไม่ยอมสูญเสียเงินไปแน่นอน จะต้องตามจับหัวขโมยชั่วนั่นมาให้ได้” หญิงชราประกาศกร้าว สีหน้าและท่าทางดูแค้นเคืองเจ้าหัวขโมยนั้นเหมือนอยากจะฆ่าให้อีกฝ่ายตายคามือ โดยที่ไม่รู้เลยว่าหัวขโมยชั่วที่ย่าเฉินทั้งด่าทั้งแช่งนั้นคือหลานชายตัวเอง และเป็นหลานชายสุดที่รักอีกต่างหากเมื่อเห็นว่าย่าเฉินฟื้นแล้วและดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร ชาวบ้านที่เข้ามาช่วยเลยเข้ามาดูก็ทยอยกันออกมา แต่ก็คิดว่าเรื่องนี้มันแปลกเกินไป บ้านอื่นประตูบ้านและหน้าต่างถูกงัดแงะแต่บ้านเฉินกลับไม่มีร่องรอยอะไรเลย ดูเหมือนจะเป็นการกระทำของคนในบ้านเสียมากกว่า ทว่ากลับไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพราะกลัวปากของย่าเฉินเรื่องบ้านใหญ่เฉินตอนนี้กระจายไปทั่วหมู่บ้านแล้วทุกคนรู้ว่าบ้านหลัง
บทที่ 31 บ้านใหญ่ถูกปล้นเหมือนกันเมื่อทางหมู่บ้านมีการเดินเวรยามเพื่อหาวิธีจับหัวขโมยที่ขโมยเงินของชาวบ้าน ก็ทำให้โจรตัวจริงอย่างเฉินอี้โจวเริ่มกระวนกระวายใจนั่นก็เพราะว่าเงินที่หามาได้ยังไม่ครบตามจำนวนที่ต้องไปใช้หนี้ให้กับบ่อนการพนัน และยังไม่พอให้เขาต่อยอดได้แก้มือ แต่เมื่อเห็นน้องสาวขอเงินย่า ก็เริ่มมีความคิดที่จะขโมยเงินของบ้านตนเอง“ย่าตอนนี้ของกินของใช้อะไรหมดแล้วนะ ขอเงินไปซื้อหน่อยสิ” เฉินเม่ยเม่ยแบมือขอเงินคนเป็นย่า เพราะตอนนี้ของใช้ในบ้านนั้นหมดแล้ว“จะซื้ออะไรนักหนา ของกินก็หาเก็บในป่าสิ มันก็กินได้เหมือนกันนั่นแหละ ตอนนี้อี้โจวก็กลับมาอยู่บ้านไปช่วยหาสัตว์ป่าสักหน่อยก็ได้ บ้านเราก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์นานแล้วนะ”หญิงชราไม่ค่อยอยากจะควักเงินออกจากกระเป๋า ตั้งแต่บ้านรองแยกบ้านออกไป ก็แทบจะไม่มีรายรับเข้ามาเลย มีแต่รายจ่ายอย่างเดียว หากยังเป็นอย่างนี้ สักวันเงินก็คงจะหมด“ก็หลานชายสุดที่รักของย่าน่ะสิ วัน ๆ เอาแต่นอนไม่รู้ไปทำอะไรมานักหนา ถ้าเกิดย่าอยากกินเนื้อแล้วไม่จ่ายเงินก็ให้หลานชายไปหาเอาก็แล้วกัน แต่ตอนนี้แป้งและข้าวสารหมดแล้ว ถ้าไม่ให้เงินไปซื้อ เย็นนี้จะกินอะไร” หญิ