หลินเสี่ยวเหยา ก้าวเท้าออกมาจากบ้านดินหลังเล็ก ก่อนที่จะเดินตรงไปยังแปลงผักที่อยู่หลังบ้าน
เธอเห็นหลินเสี่ยวหมิง กำลังยืนอยู่หน้าแปลงผัก สายตาของเขาจดจ่อกับต้นผักกาดหอมที่เพิ่งปลูกไปเมื่อวานนี้ ใบสีเขียวอ่อนเริ่มคลี่ออก เผยให้เห็นยอดอ่อนสีขาว หลินเสี่ยวเหยาเดินเข้าไปหาเด็กชาย
"น้องเล็กทำอะไรอยู่เหรอ?"
"พี่สาวดูสิครับ ต้นผักกาดเริ่มแตกใบแล้ว!" หลินเสี่ยวหมิงตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขารู้สึกดีใจที่ได้เห็นผลลัพธ์จากการทุ่มเทดูแลแปลงผัก
หลินเสี่ยวเหยาโน้มตัวลง มองดูต้นผักกาดอย่างใกล้ชิด รอยยิ้มของเธอขยายกว้างขึ้น "น้องเล็กเก่งมากเลยนะ เป็นเพราะน้องเล็กช่วยพี่สาวรดน้ำ เมล็ดจึงแตกยอดออกมา" เธอเอื้อมมือลูบศีรษะน้องชายเบาๆ
"ต่อไปเราก็จะมีผักสดๆ ไว้กินเองแล้ว"
หลินเสี่ยวหมิงดีใจสุดๆ เขาตั้งตารอที่จะได้กินผักกาดที่ดูแลเองกับมือ
ท่ามกลางความร่าเริงของเด็กน้อย หลินเสี่ยวเหยากำลังครุ่นคิดว่าจะบอกความจริงเรื่องมิติของเธอให้น้องชายได้รับรู้หรือไม่ เธออยากนำเครื่องมือในห้างสรรพสินค้าของมาสร้างเล้าไก่ คนร่างบางรู้สึกลังเลใจว่าจะบอกน้องชายดีหรือไม่
หลินเสี่ยวเหยานึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เธอหลุดเข้ามา น้องชายของนางร้ายหลินเสี่ยวเหยานั้น รักพี่สาวของเขามาก ถึงขนาดยอมถูกอันธพาลรุมทำร้าย เพียงเพื่อปกปิดความลับของพี่สาว เธอคิดว่าหลินเสี่ยวหมิงไม่น่าจะเปิดเผยความลับของเธอให้คนอื่นได้รับรู้ หญิงสาวจึงตัดสินใจเอ่ยปากบอกเรื่องมิติกับน้องชาย
"เสี่ยวหมิง พี่สาวมีเรื่องอยากจะบอก" หลินเสี่ยวเหยาตัดสินใจเอ่ยขึ้น
"เรื่องอะไรครับ?" เด็กน้อยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"เดี๋ยวพี่สาวจะพาเราไปที่ที่หนึ่ง แต่ว่าน้องเล็กต้องเก็บเป็นความลับนะ เราไม่สามารถจะบอกใครได้ เพราะว่าจะเป็นอันตรายกับพวกเรา"
หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยรับคำด้วยความงุนงง แม้เขาสงสัยว่าพี่สาวของเขาจะพาเขาไปที่ไหน
หลินเสี่ยวเหยาจับมือน้องชายไว้ เธอหลับตาลงทันที รอยสักรูปดอกบัวสีเงินสว่างขึ้น ก่อนที่พวกเขาจะหายเข้าในมิติ
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาก็มาอยู่ในสถานที่ที่ว่างเปล่า เต็มไปด้วยข้าวที่เธอหามาตอนอยู่ในวันโลกาวินาศในชาติที่แล้ว ข้าวของวางระเกะระกะดูไม่เป็นระเบียบ ภายในมิติมีห้างสรรพค้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงตรงกลางมิติ
"นี่คือที่ไหนครับพี่สาว?" หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยถามด้วยความตื่นตาตื่นใจในสิ่งแปลกใหม่ที่เขาค้นพบ
"นี่คือห้างสรรพสินค้าที่อยู่ในมิติของพี่สาว ที่นี่มีสินค้าที่วางขายทุกประเภท พี่สาวสามารถหยิบจับสิ่งของเหล่านั้นออกมานอกมิติได้โดยไม่เสียเงิน" หลินเสี่ยวเหยาอธิบายให้น้องชายได้รับฟัง
"มิติของพี่สาวเหรอครับ?" หลินเสี่ยวหมิงยิ่งรู้สึกงุนงงไปใหญ่
"ใช่แล้ว แต่ว่าน้องเล็กห้ามบอกใครเรื่องนี้เด็ดขาดนะ เข้าใจไหม?"
เสี่ยวหมิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เด็กชายรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่พี่สาวของเขากล่าว เขารอคอยที่จะสำรวจมิติอย่างใจจดใจจ่อ
หลินเสี่ยวเหยาพาเด็กน้อยไปเดินชมห้างสรรพสินค้า แต่ทันใดนั้น เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นหลินเสี่ยวหมิงกลับไม่สามารถเดินเข้าประตูห้างสรรพสินค้ามาได้
"ทำไมผมถึงเข้าไม่ได้ครับพี่สาว?" เด็กชายร้องถามด้วยความตกใจ
หลินเสี่ยวเหยารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เธอพยายามหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ดูเหมือนว่าห้างสรรพสินค้าของเธอจะเปิดรับเฉพาะแต่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
"ไม่เป็นไรน้องเล็ก เดี๋ยวพี่เอาของมาให้น้องเล็กทีหลัง" หลินเสี่ยวเหยาปลอบใจน้องชาย
"งั้นเดี๋ยววันนี้พวกเราลงมือกันสร้างเล้าไก่ กันก่อนก็แล้วกัน" คนเป็นพี่สาวเอ่ยขึ้น
หลินเสี่ยวหมิงพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น เขาอยากช่วยพี่สาวสร้างเล้าไก่ ด้วย
เมื่อพวกเขาออกมานอกมิติ หลินเสี่ยวเหยาดึงเครื่องมืออุปกรณ์ช่างออกมา เธอจะสร้างโรงเลี้ยงไก่ไข่แบบสมัยใหม่ ด้วยความช่วยเหลือจากเครื่องมือช่างอันทันสมัย เธอสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ หลินเสี่ยวหมิง มองดูพวกเครื่องมือเหล่านั้นด้วยความทึ่งและตื่นเต้น
"พี่สาวสิ่งนี้คืออะไรเหรอครับ?"เด็กน้อยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"มันคือเครื่องมือช่างที่อยู่ในมิติของพี่สาว " คนเป็นพี่สาวอธิบายให้เด็กน้อยฟัง "มันจะช่วยให้เราสร้างโรงเรือนได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย"
หญิงสาวเริ่มต้นลงมือทำงาน เธอหยิบแผงโซล่าเซลล์สีดำออกมาจากมิติ วางเรียงต่อกันบนพื้นดินอย่างคล่องแคล่ว
"แผงโซล่าเซลล์เหล่านี้จะช่วยผลิตไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่เรานำมาสร้างโรงเรือน" เธออธิบาย "มันจะช่วยให้เราประหยัดพลังงานและไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากภายนอก"
เด็กชายพยักหน้าอย่างตั้งใจ พยายามจดจำคำพูดของพี่สาว
หลินเสี่ยวเหยาทำงานอย่างขะมักเขม้น ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุ ไม่นานแผงโซล่าเซลล์ก็ติดตั้งเสร็จ
"เสร็จแล้วละ!" เธอบอกกล่าวกับเจ้าตัวเล็ก "ต่อไปเราก็ต้องต่อสายไฟเพื่อเชื่อมต่อกับแบตเตอรี่"
"ว้าว…พี่สาว พี่เก่งมากเลย!" เด็กน้อยเอ่ยด้วยความชื่นชม
"ขอบคุณนะ" ผู้เป็นพี่สาวโอบกอดน้องชายด้วยความรัก "ต่อไปเราก็เริ่มสร้างโรงเรือนกันได้แล้ว"
จากนั้น เธอหยิบเลื่อยไฟฟ้าออกจากมิติ ยื่นมันให้น้องชายดู
“น้องเล็กนี้คือเลื่อยไฟฟ้า เดี๋ยวพี่สาวจะสอนตัดไม้ไผ่ เครื่องมือนี้อันตรายมากเราต้องใช้อย่างระมัดระวัง” หลินเสี่ยวเหยาอธิบายให้เด็กชายฟัง
“ว้าว เครื่องมือใช้งานง่ายมากเลยนะครับพี่สาว” หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
"เดี๋ยวน้องเล็กช่วยพี่สาวตัดไม้ไผ่มาทำโครงสร้างเล้าไก่ด้วยนะงานจะได้เสร็จไวๆ"
หลินเสี่ยวหมิง รับเลื่อยไฟฟ้ามาด้วยความตื่นเต้น เขาลองใช้มันตัดไม้ไผ่ ภายในเวลาไม่นาน เขาก็ตัดไม้ไผ่และซีกไม้ไผ่เสร็จเรียบร้อย
หลินเสี่ยวเหยา หยิบเครื่องยิงตะปูไฟฟ้าออกมาจากมิติ
"พี่สาวครับ เครื่องนี้คืออะไรเหรอครับ" หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
"มันคือเครื่องยิงตะปูไฟฟ้า" หญิงสาวอธิบาย "เพียงแค่กดปุ่ม มันก็จะยิงตะปูเข้าไปในไม้ไผ่ได้อย่างง่ายดาย"
หลินเสี่ยวเหยา สาธิตการใช้เครื่องยิงตะปูไฟฟ้า ยิงตะปูเข้าไปในแผ่นไม้ไผ่ เสียงตะปูถูกยิงดัง "ปัง!"
"มันสุดยอดมาก!" เด็กน้อยอุทานด้วยความทึ่ง
ด้วยความช่วยเหลือจากเครื่องมืออุปกรณ์เหล่านี้ สองพี่น้องทั้งสองใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็สามารถสร้างเล้าไก่ ไข่ก็ใกล้เสร็จเรียบร้อย
เล้าไก่หลังนี้ โปร่งสบาย อากาศถ่ายเทสะดวก หลินเสี่ยวเหยา มั่นใจว่า เล้าไก่แห่งนี้ จะช่วยให้เธอและครอบครัวมีไข่กินตลอดปีโดยที่ไม่มีใครสงสัยที่มาของไข่
พอถึงยามเย็นเล้าไก่ หลังน้อยก็เสร็จเรียบร้อย สองพี่น้องนั่งมองผลงานของตัวเองด้วยความภูมิใจ
หลินเสี่ยวเหยาจ้องมองไปรอบๆ ด้วยความพึงพอใจ รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า "เสร็จซะทีนะ เล้าไก่ ของพวกเรา"
"เก่งมากครับพี่สาว พวกเราเก่งกันมาก!" หลินเสี่ยวหมิงปรบมือดีใจ
"ใช่ เก่งมาก" หลินเสี่ยวเหยารีบเอ่ย "แต่ว่างานของเรายังไม่เสร็จนะ พวกเราต้องหาไก่พันธุ์ดีๆ มาเลี้ยงด้วย"
หลินเสี่ยวหมิงพยักหน้า "จริงด้วยครับ พี่สาวจะเลี้ยงไก่อะไรครับ?"
หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า "พี่สาวว่าพวกเราเลี้ยงไก่ไข่ดีไหม ไข่ไก่ขายได้ราคาดีด้วย "
"ดีเลยครับพี่สาว" หลินเสี่ยวหมิงสนับสนุนความคิดของพี่สาว
"งั้นเดี๋ยวพี่สาวไปบ้านลุงเหวินก่อนนะ พี่จะไปถามซื้อไก่ไข่มาเลี้ยง เดี๋ยวน้องเล็กช่วยรดน้ำผักรอที่สาวอยู่ที่บ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่สาวกลับมาจะทำกับข้าวให้ทาน" หญิงสาวสั่งการน้องชายก่อนจะไล่เก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าไปในมิติรวมทั้งแผงโซล่าเซลล์ด้วย
หลินเสี่ยวหมิงพยักหน้ารับคำ"ได้ครับ พี่สาวไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวผมจะช่วยรดน้ำผักให้เอง"
หลินเสี่ยวเหยานำตะกร้าหวายมาใส่หมูสามชั้น และผักสด ๆ นำมาใส่ตะกร้าก่อนจะเอาผ้าขาวมาคลุมตะกร้าไว้ ร่างบางก้าวเท้าเดินออกจากบ้านไปมุ่งหน้าไปบ้านลุงเหวินทันที
เมื่อเธอเดินผ่านแปลงนา ชาวบ้านกำลังจะเลิกงานกันพอดี เธอได้เจอพวกยุวชนปัญญายืนอยู่กับหลี่เหว่ยเฉียงพระเอกในนิยายเรื่องนี้ ชายหนุ่มเอ่ยทักเธอทันทีเมื่อเห็นเธอเดินผ่าน
"สหายหลิน หายหน้าหายตาไปนานเลยนะ" หลี่เหว่ยเฉียงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
หลินเสี่ยวเหยาเมินเฉยคำพูดของคุณพระเอก เธอไม่ตอบคำทักทายของหลี่เหว่ยเฉียง
"แหม่..พอสหายเหว่ยเฉียง พูดด้วยก็ทำท่าทางหยิ่งยโสขึ้นมาทันทีนะ" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
หลินเสี่ยวเหยาหันขวับไปมอง พบกับจ้าวหยวนตง เพื่อนสนิทของหลี่เหว่ยเฉียงใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"ไม่เห็นมาหาสหายเหว่ยเฉียงหลายวันเลย" กัวเฉิงหลง เพื่อนอีกคนของหลี่เหว่ยเฉียงพูดเสริมขึ้นมา
หลินเสี่ยวเหยาเม้มริมฝีปากแน่น อารมณ์โกรธค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจ
"ทำไมฉันต้องหาสหายหลี่ด้วย?" เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
หลินเสี่ยวเหยาเริ่มคิดถึงฉากในนิยายที่เธออ่านจบไปเมื่อชาติที่แล้ว ความทรงจำจากนิยายวนเวียนอยู่ในหัว
ในนิยาย หลินเสี่ยวเหยา เป็นนางร้ายที่ทั้งโง่เขลาและน่ารำคาญ เธอหลงรักหลี่เหว่ยเฉียง ชายหนุ่มยุวชนปัญญาที่หน้าตาหล่อเหลา แต่หลี่เหว่ยเฉียงกับเย็นชาและรังเกียจเธอ หลินเสี่ยวเหยาพยายามเอาใจพระเอกด้วยการนำเงินทองที่พ่อแม่เหลือทิ้งไว้ให้มาซื้ออาหารและของใช้ให้ชายหนุ่ม แต่หลี่เหว่ยเฉียงกลับไม่สนใจนางร้ายอย่างหลินเสี่ยวเหยา กลับทำท่ารังเกียจไม่ยอมรับของเหล่านั้นต่อหน้าพวกชาวบ้าน
เขาแสร้งทำเป็นรังเกียจเธอ เพราะชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ของนางร้ายที่ชาวบ้านต่างร่ำลือ เขาโยนของที่เธอซื้อมาให้เพื่อนสนิทของเขาอย่างจ้าวหยวนตง หลังจากนั้นจ้าวหยวนตงก็ได้หลอกลวงหลินเสี่ยวเหยาว่าจะเอาข้าวของไปให้หลี่เหว่ยเฉียงทีหลังเพราะตอนนี้ชาวบ้านอยู่กันเยอะทำให้หลี่เหว่ยเฉียงไม่กล้ารับของเดี๋ยวเขาจะโดนมองไม่ดี หลินเสี่ยวเหยาที่โง่เง่า จึงเชื่อคำลวงของพวกเพื่อนพระเอก และสุดท้ายพวกเขาก็ต้องกินต้องใช้ข้าวของที่นางร้ายซื้อมาให้ เนื่องจากความแร้นแค้นเนื่องจากอาหารที่หายาก
"ฮึ…ตอนนี้ฉันได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว อย่าหวังว่าพวกแกจะได้ข้าวของจากฉันอีก" หลินเสี่ยวเหยามองพวกเพื่อนพระเอกด้วยแววตาเกลียดชัง ก่อนจะรีบเดินหนีไปทันที
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา รถไฟขบวนพิเศษจากเมืองหลวงก็แล่นเข้าสู่สถานีรถไฟเมืองจินหลง หยางกั๋วเฉิงและหลิวซิวหยวน พ่อแม่ของหยางเฟิง ย่างก้าวลงจากรถไฟด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข ท่ามกลางเสียงต้อนรับของลูกชายและลูกสะใภ้ที่มารอรับอย่างพร้อมหน้า"คุณพ่อ คุณแม่" หยางเฟิงโผเข้ากอดพ่อแม่ด้วยความคิดถึง น้ำตาคลอหน่วย "ผมคิดถึงพ่อกับแม่เหลือเกิน""ลูกชายแม่" หลิวซิวหยวนลูบหลังลูกชายเบาๆ ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "แม่ก็คิดถึงลูกเหมือนกัน"หยางกั๋วเฉิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "เจ้าสามแกโตเป็นหนุ่มแล้วนะ แถมยังจะแต่งงานมีครอบครัวอีกต่างหาก""แล้วนี่หลินเสี่ยวเหยา คู่หมั้นของลูก ใช่ไหม?" หลิวซิวหยวนเอ่ยถามพลางมองไปยังหญิงสาวหน้าหวานที่ยืนข้างๆ ลูกชายด้วยสายตาเอ็นดู"สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ หนูชื่อหลินเสี่ยวเหยาค่ะ" หลินเสี่ยวเหยาโค้งคำนับอย่างนอบน้อม"หนูเสี่ยวเหยา ไม่ต้องมากพิธีหรอก" หยางกั๋วเฉิงยิ้มให้หลินเสี่ยวเหยาอย่างเป็นมิตร "พ่อได้ยินเรื่องของลูกจากเจ้าสามมาเยอะพอสมควร พอได้มาเห็นตัวจริงแล้วน่ารักกว่าที่คิดไว้มาก""จริงสิ พี่ชายคนโตของพ่อกับลูกสะใภ้ก็มาด้วยนะ"
เสียงไซเรนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณโรงแรมหลงหยวนชุน เซียวจิ้งหนานและเจียงเหม่ยหลิงถูกใส่กุญแจมือถูกลากตัวไปขึ้นรถทหาร หยางเฟิงหัวหน้าหน่วยที่ 13 ปาดเหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผาก เขาหันไปสั่งการเจียงเฉินเพื่อนสนิทของเขา"เจียงเฉิน นายรีบพาหลินฮวาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!" หยางเฟิงสั่งการด้วยน้ำเสียงเข้มเจียงเฉินพยักหน้ารับคำสั่งอย่างรวดเร็ว เขารับร่างบอบบางของหลินฮวาที่หมดสติไปจากหัวหน้าหน่วยอย่างระมัดระวัง ใบหน้าซีดเผือดของหลินฮวามีรอยไหม้จากน้ำกรดปรากฏให้เห็นเป็นบาดแผลที่น่ากลัว ใบหน้าของเธอเสียหายไปทั้งใบหน้า เจียงเฉินกัดฟันแน่น เขาอุ้มหลินฮวาขึ้นรถ รีบบึ่งไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีเมื่อไปถึงโรงพยาบาล ทีมแพทย์และพยาบาลต่างก็กรูเข้ามาช่วยเหลือหลินฮวาอย่างเร่งด่วน พวกเขาเข็นเตียงของหลินฮวาเข้าห้องฉุกเฉินทันที เจียงเฉินมองตามร่างของหญิงสาวที่หายลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน"คุณหมอครับ อาการของเธอจะเป็นยังไงบ้างครับ" เจียงเฉินถามคุณหมอเมื่อเห็นทีมแพทย์ออกจากห้องฉุกเฉินมา"อาการของเธอค่อนข้างสาหัส ของเหลวที่เธอได้รับเข้าไปนั้นเป็นกรดที่มีฤทธิ์รุนแรงมาก ตอนนี้เ
หลังจากได้ข้อมูลทั้งหมดจากหลี่เหว่ยแล้ว หลินเสี่ยวเหยาก็รีบแจ้งหยางเฟิงถึงแผนที่จะไปช่วยลูกชายของหลี่เหว่ยที่บ้านพักตากอากาศชานเมืองจินหลงทันทีหยางเฟิงแสดงสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด "เหยาเหยา เธอแน่ใจนะว่าจะไปเอง? ไม่ให้พี่ไปด้วย"หลินเสี่ยวเหยาส่ายหน้า "ไม่เป็นไรหรอกพี่เฟิง พี่ไปจัดการเรื่องจับกุมเซียวจิ้งหนานเถอะ เรื่องหลี่เหว่ยตงฉันจัดการเองได้" เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น"แต่ว่า..." หยางเฟิงยังคงลังเล"ไม่มีแต่ค่ะ ฉันดูแลตัวเองได้ พี่ไม่ต้องห่วง" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พร้อมส่งยิ้มหวานละมุนให้คู่หมั้นหนุ่มหยางเฟิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย "ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเหยาเหยาก็ระวังตัวด้วยนะ มีอะไรโทรมาที่ค่ายทหารติดต่อพี่ได้ตลอด"หลินเสี่ยวเหยาพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน "ค่ะ...พี่เฟิง งั้นเดี๋ยวฉันขอยืมรถพี่เฟิงหน่อยนะคะ""เหยาเหยาขับรถเป็นด้วยหรือครับ" หยางเฟิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะไม่เคยเห็นหลินเสี่ยวเหยาขับรถมาก่อน"ฉันขับรถเป็นค่ะ" หลินเสี่ยวเหยากล่าวอย่
แสงอาทิตย์สีทองค่อยๆ ลับหายไปหลังแนวขุนเขา ทิ้งไว้เพียงสีส้มจางๆ ระบายขอบฟ้า แต่แสงนั้นไม่อาจบรรเทาความร้อนรุ่มในใจของเจียงเหม่ยหลิงได้เลยแม้แต่น้อย รถยนต์คันใหญ่เคลื่อนตัวเข้าสู่เมืองจินหลงในยามพลบค่ำ เธอหันไปสั่งคนสนิทเสียงเข้ม"ไปสืบเรื่องหลินฮวาที่ร้านจินหยวนมาให้ฉันเดี๋ยวนี้"รถยนต์ยังคงแล่นไปตามถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและรถลาก เจียงเหม่ยหลิงมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ที่คุ้นเคยกลับดูหม่นหมองลงในสายตา"นายหญิงครับ" เสียงของลูกน้องคนสนิทดังขึ้น ทำให้เจียงเหม่ยหลิงละสายตาจากภาพด้านนอก"ว่าอย่างไร" เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงแววเคร่งขรึม"คุณเซียวได้ไถ่ตัวหลินฮวาจากร้านจินหยวนจริงครับ จากการสืบปากคำเจ้าของร้านทำให้ทราบว่าตอนนี้เธอพักอยู่ที่โรงแรมหลงหยวนชุน" ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยรายงานเจียงเหม่ยหลิงกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความโกรธเกรี้ยวประดุจเปลวไฟลุกโชนขึ้นในอก เธอหวนนึกถึงคำพูดของบรรดาอนุภรรยาของเซียวจิ้งหนานที่คอยพูดจาดูถูกเหยียดหยาม ชอบโอ้อวดเรื่องสามีให้เธอฟัง แม้จะโกรธเพียงใด แต่เจียงเหม่ยหลิงก็รู้ดีว่าเธอต้องอดทน เธอรู้ว
ไม่ถึงสิบนาที ประตูห้องสอบสวนก็เปิดออกอีกครั้ง ร่างระหงของหลินเสี่ยวเหยาปรากฏขึ้น เธอเดินอย่างสง่าผ่าเผยออกมาจากห้อง ทิ้งให้หลี่เหว่ยจมอยู่กับความคิดอันสับสนวุ่นวายเพียงลำพังทันทีที่ก้าวพ้นประตู หลินเสี่ยวเหยาต้องเผชิญหน้ากับบุรุษสองนายที่ยืนรออยู่ หยางเฟิงในชุดทหารที่ดูสง่างามยืนรออยู่เคียงข้างพลตรีเฉินกั๋วชิง ผู้บังคับบัญชาของเขา ดวงตาคมกริบของหยางเฟิงจับจ้องมาที่หลินเสี่ยวเหยาอย่างร้อนรน ความอยากรู้ฉายชัดอยู่ในแววตา"เหยาเหยา เป็นยังไงบ้าง หลี่เหว่ยมันยอมปริปากหรือยัง?" เสียงทุ้มเข้มของพันตรีหนุ่มดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบของทางเดินหลินเสี่ยวเหยาหยุดยืนอยู่หน้าหยางเฟิงและพลตรีเฉินกั๋วชิง เธอสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะตอบ "แน่นอนค่ะว่าหลี่เหว่ยสารภาพ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศหยางเฟิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขาและเหว่ยเจี้ยน ต่างก็เค้นสอบสวนหลี่เหว่ยมาตลอดทั้งอาทิตย์ ใช้ทั้งวิธีข่มขู่และทรมานสารพัด แต่หัวหน้ากลุ่มกบฏก็ยังคงปิดปากเงียบ ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวแต่หลินเสี่ยวเหยาที่เข้าไปในห้องสืบสวน
ท้องฟ้าเหนือเมืองจินหลงยังคงมืดครึ้ม แม้แสงอาทิตย์แรกของวันใหม่จะเริ่มสาดส่อง ทว่าบรรยากาศในเซฟเฮาส์ลับกลับเย็นเยียบราวกับถูกปกคลุมด้วยเงามืดเซียวจิ้งหนานนั่งนิ่ง สายตาคมกริบจับจ้องไปยังลูกน้องที่ยืนตัวสั่นอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าที่ถึงจะมีอายุเยอะแต่ก็ยังคงความหล่อเหลา บัดนี้ใบหน้าเขากลับบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อทุกสิ่งที่เขาได้วางแผนไว้ล้มเหลวไม่เป็นท่า"นายท่านผมมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ ผมได้รับรายงานว่าค่ายของพวกกบฏที่เราสนับสนุนถูกทหารบุกโจมตีตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วครับ" เสียงของลูกน้องรายงานด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "อาวุธและคนของเราถูกจับยึดไปทั้งหมด...""ว่ายังไงนะ!" เสียงทุ้มต่ำของเซียวจิ้งหนานดังก้องไปทั่วห้องทำงานเมื่อได้ยินข่าวร้าย "ค่ายของเราถูกพวกทหารรัฐบาลบุกโจมตีงั้นเหรอ?"แก้วเหล้าคริสตัลที่บรรจุของเหลวสีอำพันล้ำค่าหลุดร่วงจากมือหนา กระทบกับพื้นหินอ่อนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ของเหลวสีทองอร่ามไหลนองไปทั่วพรมเปอร์เซียราคาแพง"ครับนายท่าน" ลูกน้องคนสนิทก้มหน้าลงต่ำด้วยความหวาดกลัว "พวกมันบุกเข้ามาโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว ทำให้คนของเราเสียชีวิ