Masukรอบที่สองลูกค้ามากินไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น สร้างความสบายใจและผ่อนคลายให้กับซิ่วอิงอยู่ไม่น้อย ลูกค้าต่างพูดไม่ขาดปากถึงความอร่อย ซิ่วอิงคิดว่าต่อไปจะทำอาหาร อย่างอื่นขายด้วยเช่น หมูกรอบ กระดูกอบซอส ข้าวผัด ต้มยำ พะโล้ ต้มจืด และอีกมากมาย ที่จะทำให้ลูกค้าได้ลิ้มลอง
และนางอยากขยับขยาย ทำร้านอาหารข้างทาง ที่ใคร ๆ ก็สามารถแวะซื้อได้ อย่างเช่นพิซซ่า เบอเกอร์ ไก่ทอด มันฝรั่งทอด ซิ่วอิงมีความคิดมากมายอยู่ในหัวเต็มไปหมด ก่อนความคิดของนางจะสะดุดลง เมื่อทหารของทางการกรูกันเข้ามา และมีบุรุษท่าท่างองอาจ น่าจะเป็นผู้บัญชาการ เดินเข้ามาด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ใครคือเจ้าของโรงเตี๊ยมที่นี่ มีคนไปแจ้งกับทางการว่า มากินอาหารที่นี่พอกลับไป ก็หมดสติและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ข้าต้องไต่สวนหาข้อเท็จจริง” ลูกค้าที่กำลังนั่งกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ถึงกับชะงักวางตะเกียบลงทันที กินอาหารที่นี่ แล้วตายอย่างนั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร อาหารอร่อยมากเช่นนี้ เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันหรือไม่ แต่ว่าเพื่อความปลอดภัย หยุดกินก่อนดีกว่า แต่แล้วก็ดูเหมือนว่า จะมีเสียงเอะอะดังขึ้น ที่ชั้นสองของห้องอาหาร สตรีนางหนึ่งกรีดร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อจู่ ๆ สามีของนางก็หมดสติ อย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ยามนี้ลูกค้าปักใจเชื่อไปเกินกว่าครึ่ง ว่าอาหารต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน ลี่อินที่อยู่บนชั้นสอง เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็รีบตรงเข้าไปตรวจอาการ แต่สตรีนางนั้นก็โวยวาย และพลักลี่อินออกไป นางตะคอกออกมาว่า ให้ตามหมอมา นางเป็นเด็กไม่สามารถตรวจและรักษาได้ สตรีนางนั้นยังคงโวยวายตำหนิ ว่าต้องเป็นอาหารที่กินเข้าไป ถึงทำให้เขาหมดสติไปเช่นนี้ พอหมอประจำโรงเตี๊ยมมาถึง สตรีนางนั้นก็หลีกทางให้เขา หลังจากหมอตรวจอาการ ก็หันมาหาซิ่วอิงด้วยสีหน้าวิตกกังวล “นายหญิงน้อยลี่อิน เหมือนชายผู้นี้จะเป็นโรคหอบหืด หายใจไม่สะดวกจึงหมดสติไปขอรับ เราต้องช่วยทำให้เขาฟื้น แล้วถึงจะให้ยาได้ขอรับ” สตรีผู้นั้นพอได้ยินถึงกับหน้าซีดเผือด เหตุใดเป็นเช่นนี้ ตามที่ตกลงกันไว้ให้เขาแกล้งหมดสติ แต่กลายเป็นว่าเขาป่วยขึ้นมาจริง ๆ หรือนี่ คราวนี้จะทำอย่างไรดี “เดี๋ยวข้าช่วยเขาเองเจ้าค่ะ” ลี่อินเอ่ยขึ้นมาอย่างมั่นใจ หานเกอก็รีบเขามาช่วยอีกแรง แต่ว่าสตรีผู้นั้นกลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “ท่านหมอจะปล่อยให้เด็กพวกนี้ รักษาคนป่วยได้เช่นไรเจ้าคะ หากสามีข้าเป็นอะไรขึ้นมา ท่านรับผิดชอบไหวรึเจ้าคะ?” สตรีผู้นั้นโวยวายขึ้นอีกครั้ง และเดินมาจะกระชากแขนลี่อิน แต่เป็นเจียวจูและตงฮวน ที่มาจับแขนสองข้างของนางเอาไว้ ถึงแม้จะเป็นเพียงเด็กสิบขวบ แต่พลังในร่างกายนั้นแข็งแกร่งมาก ทำให้ร่างของสตรีนางนั้น หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่แล้วตงฮวนก็ต้องตกตะลึง กับสิ่งที่เห็นในนิมิต เมื่อมือของเขาได้สัมผัสกับแขนของนาง สตรีนางนี้และบุรุษที่นอนไม่ได้สติ ได้รับเงินจากคนผู้หนึ่ง ชายผู้นั้นบอกว่า ให้มากลั่นแกล้งโรงเตี๊ยมฟู่จิน อีกทั้งสตรีนางนี้ และชายที่หมดสติ ตกลงกันเรื่อง การเสแสร้งแกล้งหมดสติ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาป่วยขึ้นมาจริง ๆ ตงฮวนถอนใจออกมาเมื่อรู้ความจริง แต่ก็ยังจับแขนนางเอาไว้แน่น “ให้นายหญิงน้อยรักษาเถอะขอรับ นางช่วยได้แน่” ท่านหมอกล่าวจบ ก็มาช่วยจัด ท่าทางของชายผู้นั้น หานเกอจับข้อมือด้านซ้าย ลี่อินจับข้อมือด้านขวา ส่งพลังปราณรักษาเข้าไป ขยายลอดลมของเขาให้ขยาย ไม่ช้าชายผู้นั้นก็เริ่มหายใจได้ปกติ ลูกค้าที่อยู่ชั้นสองที่ต่างมายืนมุงดู ด้วยความอยากรู้ แต่พอเห็นเขากลับมาเป็นปกติ ก็ถอนใจอย่างโล่งอก เด็กสองคนนี้มีวิชาแพทย์รักษาคนได้ เป็นเพียงเด็กแต่ความสามารถไม่ธรรมดาเลย จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้น ชายผู้นั้นเมื่อกลับมามีสติอีกครั้ง ก็ดีใจเป็นอย่างมาก เขานึกว่าเขาต้องตายไปแล้วเสียอีก จู่ ๆ ก็หายใจไม่ออก แน่นหน้าอกอย่างรุนแรง สุดท้ายก็หมดสติไป โชคดีที่มีหมอช่วยชีวิตเขาเอาไว้ “ท่านหมอท่านช่วยข้าหรือขอรับ ขอบคุณมากขอรับ ขอบคุณจริง ๆ” ชายผู้นั้นทำท่าจะคุกเข่าและคำนับให้ แต่ท่านหมอยกมือขึ้นเสียก่อน “ไม่ใช่ข้า เป็นนายน้อย และนายหญิงน้อยท่านนี้ที่ช่วย” พอเข้าได้ยินเช่นนั้น ก็หันมามองหานเกอและลี่อินอย่างพิจารณา ก่อนพูดออกมา “จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ เด็กตัวเท่านี้จะมีวิชาแพทย์ได้อย่างไร” พอเขาพูดออกมาเช่นนั้น ลูกค้าที่ยืนดูอยู่ ก็เอ่ยขึ้นอย่างโมโห “เจ้าคนเนรคุณคน พูดจากับคนมีพระคุณเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าสมควรตาย เด็กสองคนนี้ไม่น่าช่วยเจ้าเลยจริง ๆ” ตงฮวนที่ยืนจับแขนของสตรีนางนั้นอยู่ ก็ปล่อยแขน แล้วก้าวเข้ามาอย่างสงบนิ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ในคราแรกข้าก็ไม่คิดจะเอาเรื่อง แต่พอท่านได้สติฟื้นขึ้นมา ก็พูดจาโอหังเช่นนี้ ข้าก็เลยคิดว่า ควรให้ทุกคนได้รู้ว่า พวกท่านมีแผนชั่วอะไร ทุกคนขอรับ สตรีและชายผู้นี้ เดิมทีรับเงินค่าจ้าง เพื่อมากินอาหารแล้วใส่ร้าย ด้วยการทำทีว่าหมดสติ เพราะมากินอาหารที่นี่ พวกเขาอยากทำลายชื่อเสียง ของโรงเตี๊ยมฟู่จินขอรับ แต่ว่าเขาดันป่วยขึ้นมาจริง ๆ ขอรับ” พอตงฮวนกล่าวจบ เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นมา สตรีแพศยากับชายชั่ว กล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน สารเลวเกินไปแล้ว ใครกันที่จ้างพวกเขาให้มาทำเรื่องชั่วเช่นนี้ “ไม่จริงเจ้าใส่ร้ายข้า เด็กน้อยเช่นเจ้าก็พูดจาเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย” สตรีผู้นั้นรีบปฎิเสธขึ้นมาทันที ตงฮวนยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ยขึ้น “หากข้าจะบอกว่า เพียงข้าเพียงสัมผัสผู้ใด ข้าก็จะรู้ว่าว่าคนผู้นั้น เคยทำอะไรมาก่อนหน้านี้ ท่านจะว่าอย่างไร?” “เจ้าเด็กจอมโกหกหลอกลวง ใครจะไปเชื่อคนเช่นเจ้ากัน” หานเกอ ลี่อิน เจียวจู เดินมายืนข้างตงฮวน ก่อนมองสตรีผู้นั้นอย่างเย้ยหยัน “มันก็พิสูจน์ได้ไม่ยาก ว่าเขาเป็นเด็กที่ชอบโกหกหรือไม่?” เจียวจูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ก็พิสูจน์มาสิ” สตรีนางนั้นยังคงเชิดหน้าตอบออกมา อย่างไม่สำนึกเพราะคิดว่า เรื่องนี้ไม่มีทางพิสูจน์ได้แน่นอน “มีใครอยากรู้ว่าข้าโกหกหรือไม่ขอรับ? หากว่าอยากรู้ ก้าวออกมาขอรับ” เมื่อตงฮวนกวาดตามอง ลูกค้าที่มายืนรายล้อมก็รีบเสนอตัว คนแรกเป็นชายชราท่าทางภูมิฐาน แต่พอตงฮวนสัมผัสที่แขนของเขา ก็มีสีหน้าตกใจและลำบากใจขึ้นมา ชายชราผู้นี้ เลี้ยงสตรีไว้ในจวนมากมาย เขาเสพสมกับสตรีคนแล้วคนเล่า อีกทั้งล่าสุดมีคนนำสตรีวัยเยาว์มาขายให้เขา เพื่อแลกกับเงินก้อนโต นี่เขาจะพูดออกไปดีหรือไม่นะ “มีอะไรหรือตงฮวน?” เจียวจูรีบเข้ามาเอ่ยถามสหาย เพราะเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ และลำบากใจที่เอ่ยออกมา “เอ่อ…คือ” เขารีบกระซิบบอกเจียวจู นางถึงกับทำตาโตด้วยความตกใจ ชายชราบ้ากามหรือนี่ ก่อนนางจะกระซิบบอกเขาออกไป ตงฮวนก็พยักหน้ารับ ก่อนเขาจะหันไปกระซิบกับชายชรา “ท่านเลี้ยงสตรีไว้ที่จวนมากมาย อีกทั้งเที่ยวหอนางโลม ล่าสุดมีคนมาขายสตรีเยาว์วัยให้กับท่าน ในราคา20ตำลึง” พอตงฮวนกระซิบบอกชายชรา เขาก็ถึงกับตกตะลึงตัวแข็งค้าง เด็กคนนี้รู้เรื่องราวของเขาได้อย่างไรกัน โชคดีที่เขาไม่ได้ป่าวประกาศออกไป ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องอับอาย ขายขี้หน้าคนไปทั่ว ก่อนตงฮวนจะเอ่ยขึ้นมา “ท่านผู้นี้ใจบุญสุนทาน ล่าสุดได้ทำบุญช่วยเหลือผู้คนที่ยากไร้ เป็นจำนวนเงินถึง20ตำลึง” พอเขากล่าวจบ ชายชราก็หันมามองเขาอย่างไม่เชื่อหูตนเอง เขากลายเป็นชายผู้ใจบุญไปเสียแล้ว แต่แบบนี้ก็ดี ชายชรายกยิ้มอย่างพอใจ “ใช่แล้วเด็กคนนี้กล่าวได้ถูกต้องและแม่นยำน่าเชื่อถือยิ่งนัก น่าชื่นชม ๆ” ชายชราปรบมือให้แปะ ๆ “ข้าขอลองบ้าง” สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น พร้อมก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าตงฮวน เขาจึงยื่นมือไปสัมผัสแขนของนาง ก่อนเขาจะตกตะลึงอีกครั้ง นี่มันอะไรกัน!ซิ่วอิง ลี่อินและเจียวจู กลับมาที่จวนอีกครั้ง แล้วตรงไปยังโรงครัวเพื่อทำอาหาร อยู่ในมิติแปลกมากเลย ร่างกายเหมือนอิ่มทิพย์ ไม่รู้สึกหิวอะไรเลย อาจเพราะเป็นมิติเทพ ร่างกายจึงไม่ต้องการอาหาร แต่พอกลับออกมาเช่นนี้ นางก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที“ซิ่วอิงข้ารู้สึกหิวมากเลย”“ข้าก็เหมือนกัน”“งั้นวันนี้พวกเราจัดเต็มไปเลย ฉลองวันเกิดอายุครบ15ปี และฉลองที่พวกเราสำเร็จพลังปราณ ขั้นสูงสุด เพราะฉะนั้นข้าจะทำเนื้อย่าง และจะทำเค้กด้วย” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง พอพูดถึงเนื้อย่างตงฮวนและหานเกอก็รีบเข้ามาร่วมวง “สตรีคนงามข้าขอหมูสามชั้นได้หรือไม่?” ตงฮวนรีบหยอดคำหวานทันที“สตรีผู้งามล้ำเหนือผู้ใดในใต้หล้า ข้าขอกุ้งตัวโต ๆ และเนื้อย่างแบบไม่สุกมาก”“เชอะ! พวกเจ้าเป็นบุรุษที่อยู่เป็นจริง ๆ” เจียวจูส่ายหน้าอย่างรู้เท่าทันพวกเขา“ข้าไม่ได้บอกสตรีไร้ยางอายเช่นเจ้า ข้าบอกซิ่วอิงผู้เลอโลมต่างหากเล่า?” ตงฮวนตอบกลับไปอย่างยียวนกวนประสาท“นี่เจ้าเต่าโบราณล้านปี!”“หยุด! หยุดเถิดข้าขอร้อง ข้าเหนื่อยจะฟังแล้ว” ซิ่วอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าและเริ่มรำคาญ เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิงและเฉินจางหย่ง ก็ต่างพากันหัวเราะออ
พวกเขาเฝ้ามองแสงที่ครอบร่างของพวกเขาทุกวัน เวลาผ่านไปห้าวันแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่ออกมา ยามนี้ทุกคนนั่งไม่ติด เพราะรู้สึกเป็นห่วงว่าเหตุใดพวกเขาถึงยังไม่ออกมา พวกเขาจะฝึกพลังนานเพียงใดกันนะ“ท่านปู่ข้าเป็นห่วงพวกเขามากเลยขอรับ” เฉินซีฮันเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อก่อนเขาก็อยู่ได้โดยที่ไม่มีนาง แต่มายามนี้ ชีวิตกระวนกระวาย เหมือนขาดอะไรไป “นั่นสิห้าวันแล้วที่พวกเขาเข้าไปฝึก หากใช้เวลาเป็นเดือนจะทำอย่างไร?” เฉินเจียวหมิงเอ่ยอย่างวิตกกังวลไม่ต่างกัน “ข้าว่าไม่นานก็คงออกมาแล้วละ พวกเจ้าดูแสงพวกนั้นสิ ค่อย ๆ จางลงแล้ว” เฉินจางหย่งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น พร้อมชี้ให้ทุกคนดู เมื่อทุกคนมองไปดู ก็เห็นว่าแสงเริ่มลดลงจริง ๆ พวกเขาต่างมายืนจ้องมองตาไม่กะพริบ ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขารู้สึกว่ายาวนานเหมือนห้าปี ก่อนที่การรอคอยจะสิ้นสุดลง เมื่อแสงที่เปล่งประกายได้จางหายไป ก่อนพวกเขาทั้งห้าคนจะลุกขึ้น และก้าวเดินมาที่พวกเขานี่มันอะไรกัน! ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขาเติบโตขึ้นถึงเพียงนี้ น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ซิ่วอิง ลี่อิน เจียวจู สวยสดงดงามดั่งเซียนน้อยมาจุติยังโลกมนุษย์ ตงฮวนหล่อเหล่าสง่างาม ดั่
เด็กทั้งห้าคนกลับถึงจวน ด้วยความสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าวสารอาหารแห้ง ทางร้านจะมาส่งทีหลัง เพราะเถ้าแก่เจ้าของร้านยุ่งจนหัวหมุน พวกเขาทั้งห้าคนเห็นทุกคนเริ่ม ตุนเสบียงและอาหารเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยพวกเขา ก็ซื้อได้ในราคาปกติ หากรอไปซื้อในช่วงฤดูหนาว พ่อค้าคงขึ้นราคาเป็นแน่ “ป้าหวังที่จวนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” “ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ “ช่วงนี้ข้าฝากท่านป้าและลุงฮุ่ยช่วยดูแลจวนด้วยเจ้าค่ะ พี่อู่ถง พี่อู่จิ้ง พี่อู่หย่ง ต่อไปท่านทั้งสามคนช่วยดูแลเรื่องทั่วไปในจวน หากต้องการซื้ออะไรเพิ่ม หากจำเป็นก็ซื้อได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะฝากเงินไว้กับป้าหวัง พี่ซูผิงว่าง ๆ ก็ช่วยสอนเด็กๆ หัดคัดอักษรทีเจ้าค่ะ กระดาษและหมึก มีพร้อมไม่ต้องกังวล ช่วงนี้พวกข้ามีเรื่องให้ทำมากมาย หากวันไหนข้าไม่ได้ทำอาหาร ป้าหวังพาทุกคนทำเลยนะเจ้าคะ ให้ทุกคนได้กินอย่าปล่อยให้หิว เพื่อรอพวกข้าเจ้าค่ะ” “ขอรับ/เจ้าค่ะ ซิ่วอิงสั่งงานทุกคน เพราะตอนนี้นางและสหายมีเรื่องให้ทำมากมาย จึงไม่สามารถทำได้เหมือนแต่ก่อน “ท่านลุงช่วงนี้ยังไม่เป็ดให้ย่าง ท่านสามคนไปขนฟืนที่ช่างตัดต้นไม้มาไว้ที่จวนเจ้า
ไม่นานข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเหยียนฟางว่า หมู่บ้านเหยียนฟางมีผีร้าย ข่าวลือเรื่องนี้ทำเอาผู้คนขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่ใช่เพียงทหารคนเดียวที่พบ แต่เป็นทหารหลายสิบคน รวมทั้งท่านเจ้าเมืองและนายอำเภอ ซิ่วอิงและสหาย ที่ออกมาสั่งของที่ตลาด พอได้ยินข่าวนี้ ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ด้วยความสะใจ สมน้ำหน้า! “ฮ่า ๆ ข้าละสะใจจริง ๆ” หานเกอเอ่ยขึ้น “ใช่สมน้ำหน้า ไปรบกวนวิญญาณคนตาย ก็ต้องเจอดีแบบนี้” เจียวจูเสริมขึ้น “ซิ่วอิงวิญญาณพวกเขา ยังไม่ไปเกิดใหม่อีกเหรอ?” ลี่อินเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าคิดว่าพวกเขา คงยังเป็นห่วงสมบัติอยู่ เลยยังไม่จากไปไหน” “ซิ่วอิงข้าคิดแผนออกมาได้แล้ว” ตงฮวนเอ่ยขึ้นด้วย ท่าทางเจ้าเล่ห์ “แผนอะไรรึ?” ซิ่วอิงหันมาถามอย่างสนใจ “ก็แผนไปสำรวจพื้นที่แถบนั้นนะสิ” “แต่ว่าตงฮวนเจ้าไม่กลัวผีรึ?” เจียวจูถามขึ้น “จะกลัวทำไมวิญญาณเหล่านั้น เป็นคนในครอบครัวของเราที่ถูกฆ่า ข้าดีใจเสียอีกหากว่าจะได้พบพวกเขาอีก” ซิ่วอิงฟังจากที่ตงฮวนพูดก็ครุ่นคิด แผนของเขาดีมากเลยทีเดียว ตงฮวนเป็นเด็กฉลาด เขาสามารถฟังและวิเคราะห์ ได้อย่างดีเยี่ยม“แล้วจะไปสำรวจยังไง ไม่ใช่ว่าพวกเ
เช้าวันนี้มีประกาศจากทางการว่า มีแจ้งเบาะแสว่าพบเจออดีตฮ่องเต้ หลบหนีอยู่ที่หมู่บ้านไฉ่หลิน ทางการจึงจำเป็นต้อง ส่งคนไปตรวจสอบ อู่ถงรีบเข้ามารายงานอีกเช่นเคย เพราะเขามีหน้าไปจ่ายของที่ตลาด จึงพบเห็นทางการออกมาปิดประกาศข่าวสาร ให้ผู้คนได้รับรู้ “นายหญิงน้อย ดูเหมือนทางการจะออกมาติดประกาศแจ้งข่าวขอรับ” “แจ้งว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” “แจ้งว่าพบเจอ อดีตฮ่องเต้หลบหนีไปอยู่แถว ๆ หมู่บ้านไฉ่หลินขอรับ” ซิ่วอิงจากที่กำลังผัดผัก ก็ต้องหยุดชะงักลงทันที ทางการคงอ้างเหตุผลนี้ เพื่อเข้าไปตรวจค้นสมบัติ ที่หมู่บ้านไฉ่หลินเป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ และดูเหมือนท่านเจ้าเมือง จะทำการปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ “แล้วยังมีข่าวอย่างอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ?” “ไม่มีแล้วขอรับ” เขาตอบเสร็จก็เดินไปยกของลงจากรถวัวเทียมเกวียน ซิ่วอิงจึงหันมาหาสหาย ที่ช่วยงานกันอยู่ในครัว “ท่านเจ้าเมืองคงเริ่มให้ทหารไปสำรวจพื้นที่แล้ว ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป ก่อนหน้านี้ข้าได้ฝันเห็น วิญญาณของทุกคนที่จากไป บิดาของข้ายังบอกอีกว่า พื้นที่แถบนั้นมีสมบัติซ่อนอยู่” “จริงเหรอซิ่วอิง” หานเกอถามขึ
เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิง เฉินจางหย่ง ยังคงปูที่นอนบนพื้นข้างเตียงของพวกนาง ซิ่วอิง ลี่อินและเจียวจู หลังจากชำระร่างกายเสร็จ ก็ให้พี่อู่ถงและพี่อู่จิ้งมาเปลี่ยนน้ำให้ และให้พวกเขาเข้าไปชำระร่างกาย นางนึกเห็นใจสามพี่น้องสกุลอู่ ที่ทำงานกันอย่างขยันขันแข็งและไม่ปริปากบ่น คงเพราะนางรับทุกคนมาอยู่ด้วย พวกเขาเลยรู้สึกเกรงใจ จึงพยายามทำงานทุกอย่างที่สามารถทำได้ แต่ตอนนี้มีคนมาเพิ่มแล้ว นางจะให้คนมาช่วยงานพวกเขา จะได้ไม่ไปหนักที่พวกเขาสามคนจนเกินไป ขนาดยามนี้ดึกมากแล้ว พวกเขายังทนรอรับใช้ นางรู้สึกซาบซึ้ง น้ำใจพวกเขาจริง ๆ อีกไม่นานเรือนพักก็จะสร้างเสร็จ ทุกคนจะไม่ต้องอยู่กันอย่างแออัดอีกต่อไป จวนที่ท่านปู่ให้คนมาสร้าง นางก็บอกช่างให้ทำใหญ่ไปเลย และมีเรือนแยกอีกหลายหลัง เพราะที่ดินกว้างมากจึงสามารถทำได้ ซิ่วอิงนอนคิดเรื่องราวจนผล็อยหลับไป พร้อมลี่อินและเจียวจู พวกเขาเมื่อออกมาจากห้องอาบน้ำ ก็มอง เด็กน้อยทั้งสามคนอย่างเอ็นดู เป็นเพียงเด็กแค่10ขวบ แต่ต้องมาทำอะไรมากมายเช่นนี้ โชคชะตาช่างเล่นตลกกับชีวิตคนเสียจริง พวกเขาล้มตัวลงนอนก่อนจะพากันหลับไป วันต่อมาที่โรงเตี๊ยมฟู่จิน วันนี้ทุกอย่างด







