จือหลินไม่ได้รับรู้เรื่องราวหลังจากนั้น เมื่ออี้เฉินถูกชาวบ้านพากลับไป นางก็รีบเร่งมือเก็บฟืนกลับเรือน เพื่อไปดูเกลือที่นางต้มไว้
แต่กว่าที่เกลือจะเสร็จก็เกือบฟ้ามืดเสียแล้ว ลี่อินเข้ามาช่วยบุตรสาวขนฟืนเข้าไปห้องครัว
จือหลินเติมฟืนเข้าเตาเพื่อเร่งฟืนในช่วงสุดท้าย น้ำในกระทะเริ่มเป็นเกลือขาวโผล่มาให้เห็นแล้ว จือหลินใช้ทัพพีช้อนเกลือที่เป็นเม็ดขึ้นมาใส่กระด้งที่มารดาหามาให้นาง
น้ำที่ยังไม่ระเหยในกระทะนางก็ปล่อยไว้เช่นนั้น ก่อนที่จะหันมาเกลี่ยเกลือเพื่อให้คายความร้อนไว้ขึ้นนางจะได้เก็บเข้าไห ป้องกันคนที่มาหาที่เรือนพบเห็นเขา
แต่ส่วนน้อยที่จะมีผู้ใดมาหานางทั้งสองคนแม่ลูก แต่กันไว้ก่อนย่อมดีกว่า เพราะเกลือเป็นสินค้าต้องห้าม หากมีคนล่วงรู้ว่านางสามารถทำเกลือขึ้นมาได้ต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่
ลี่อินมองเกลือที่เสร็จแล้วในกระด้งอย่างตกตะลึง นางไม่คิดว่าเพียงดินที่บุตรสาวนำกลับมาจะได้เกลือออกมาเช่นนี้ ถึงแม้น้ำที่เกือบเต็มกระทะจะต้มออกมาได้ไม่มากอย่างที่คิด แต่เท่านี้ก็มากพอกับทั้งชีวิตที่นางได้กินมาเสียอีก
“หลินเออร์ หากมีผู้ใดรู้เข้าเจ้าต้องเป็นอันตรายแน่” ลี่อินพูดขึ้นอย่างกังวล
“ข้าไม่พูด ท่านไม่พูด ผู้ใดจะเล่าเจ้าค่ะ” ลี่อินคิดตามสิ่งที่บุตรสาวพูดก็เห็นว่าเป็นจริง จึงได้คลายความกังวลลง
เมื่อเกลือในกระด้งเย็นลงแล้วลี่อินก็รีบนำไหที่ใช้ใส่เกลือมาเก็บเข้าไปทันที แล้วรีบอุ้มไปซ่อนไว้ภายในห้องของนางอย่างรวดเร็ว จือหลินได้แต่ส่ายหัวให้กับความขี้ขลาดของมารดา
แต่นางไม่คิดจะเอ่ยห้าม หากสิ่งที่นางทำนั้นทำให้นางสบายใจก็ปล่อยให้นางได้ทำไป
กว่าเกลือในกระทะจะระเหยจนแห้งหมดก็กินเวลาไปทั้งค่อนคืน สองแม่ลูกจัดการเก็บข้าวของทุกอย่างเข้าที่จนเรียบร้อยก็ลากสังขารกลับเข้าไปนอนในห้องอย่างรวดเร็ว
วันต่อมาจือหลินนางจัดได้จัดการหมักเกลือกับเนื้อที่เหลือของนางเสียที เนื้อแห้งถูกแขวนตากแดดอยู่ชานเรือน จือหลินนั่งมองท้องฟ้า สภาพแวดล้อมในเรือนอย่างปลงตก เมื่อไหร่ร่างกายของนางจะเติบโตเสียที จะได้คิดหาทางหาเงินเพื่อซ่อมแซมเรือน
ถึงจะขึ้นเขามาหลายหนหลังจากที่เก็บดินกลับมาทำเกลือ สวรรค์ก็ยังไม่ส่งโชคมาให้นางได้พบโสมหรือเห็ดหลินจืออย่างในนิยายที่เจ้าหน้าที่ชอบนำมาพูดอวดกันเสียที
หากอยู่ในโลกก่อนนางคงไม่ต้องมากังวลเรื่องความเป็นอยู่เช่นนี้ เพราะมัวแต่กังวลเรื่องการทดลองยาในแต่ละรอบของนางจะมีชีวิตรอดหรือไม่
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าความเป็นอยู่ในตอนนี้ดีกว่าเมื่อก่อนที่ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับการทรมานจากยาทดลองหรือไม่
“ท่านแม่ เมืองไกลจากหมู่บ้านมากหรือไม่เจ้าคะ” จือหลินที่ค้นหาความทรงจำจากร่างเดิมเรื่องเดินทางเข้าเมืองไม่พบจึงเอ่ยถามขึ้น
“เจ้าจะไปทำอันใดที่เมือง” ลี่อินเอ่ยถามเสียงแข็งทันที
จือหลินหันไปเลิกคิ้วมองมารดาที่นับตั้งแต่มาภพนี้นางยังไม่เคยเห็นมารดามีน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อน
“ข้าแค่อยากรู้ เผื่อวันใดต้องเดินทางเข้าเมือง”
“ไม่ต้องรู้ ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องเข้าเมือง” เมื่อดูจากสีหน้าของลี่อิน จือหลินก็รู้ได้ทันทีว่านางยังฝังใจกับการเข้าเมืองในครั้งนั้น
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วท่านจะนึกถึงเพื่ออันใด มีแต่จะทำให้ท่านเจ็บปวดเท่านั้น หรือท่านไม่ดีใจที่มีข้าเป็นบุตรเจ้าคะ” จือหลินจ้องมองไปที่ลี่อินอย่างหาคำตอบ
“เจ้าเป็นสิ่งเดียวที่แม่ดีใจที่สุดในชีวิต แต่ แต่แม่” ลี่อินปิดหน้าร้องไห้อีกครั้ง
“ข้าขอโทษ ข้าจะไม่พูดเช่นนี้อีก แต่ข้าไม่อยากให้ท่านฝังใจเรื่องในอดีตเจ้าคะ” จือหลินลุกไปลูบหลังปลอบโยนมารดา
“มิใช่ความผิดของเจ้า เป็นแม่ที่ไม่ดีเอง แม่ไม่ควรห้ามเจ้าเช่นนี้ แต่แม่ แม่กลัวจะเกิดเรื่องกับเจ้าอย่างที่แม่เคยโดน”
“ท่านแม่ ท่านคิดว่าจะมีผู้ใดทำอันใดข้าได้อย่างนั้นหรือ”
“แม่รู้ว่าเจ้ามิกลัวสิ่งใด แต่อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้าเพียงสิบหนาวเท่านั้น” ลี่อินมองค้อนบุตรสาวทั้งน้ำตา
จือหลินที่เห็นสายตาของมารดาก็ได้แต่ลูบจมูกแก้เก้อ อย่างที่มารดาว่าไม่ผิด นางในตอนนี้มีรูปร่างเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น
จือหลินที่ไม่รู้จะทำอันใดในทุกวันของนางก็ยังคงเสี่ยงโชคขึ้นเขาอยู่ทุกวัน จนชาวบ้านที่มาหาของป่า ต่างพบเห็นนางขึ้นเขาเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่รู้เวลากลับของนางเท่านั้น เพราะพวกเขากลับเรือนหมดแล้วนางยังไม่ลงมาจากบนเขาเลย
เมื่อได้รับสารอาหารที่มากขึ้นในแต่ละวัน จือหลินนางก็มีพละกำลังที่จะออกเดินขึ้นเขาที่รกชัฏได้ไกลขึ้น ครั้งนี้นางขึ้นมาจนพบน้ำตกด้านบนเขาและยังมีถ้ำอยู่ด้านในอีกด้วย
สัตว์ใหญ่ที่สุดที่นางพบเห็นก็คงเป็นเพียงหมูป่าและกวางเท่านั้น แต่หากไม่มีตัวใดที่คิดจะเข้ามาทำร้ายนาง นางก็ไม่คิดจะฆ่าพวกมัน เพราะนางไม่รู้จะแบกลงเขาไปอย่างไรต่างหาก
ยังดีที่ในการขึ้นเขาแต่ละครั้งของจือหลินนางมักจะเตรียมพร้อมเสมอ เผื่อจะเกิดเรื่องฉุกเฉินอะไรขึ้น ครั้งนี้นางก็นำตะบันไฟติดตัวมาด้วย เมื่อหายางไม้มาทาตรงด้านบนของกิ่งไม้แล้วนางก็จุดไฟเพื่อเดินเข้าไปดูด้านในของถ้ำ
ภายในถ้ำมืดจนแสงจากด้านนอกไม่อาจส่องเข้ามาได้ จือหลินนางไม่หวาดกลัวความมืด เพราะถูกฝึกมาจนไม่รู้ว่าในชีวิตนี้นางจะต้องหวาดกลัวสิ่งใดได้ แม้แต่ซอมบี้ที่คิดว่ามีเพียงในนิยายนางยังเป็นผู้ที่ทำการทดลองผิดพลาดจนเกิดขึ้น
จือหลินชูคบไฟที่นางทำขึ้นเหนือศีรษะของนาง เมื่อสำรวจภายในถ้ำแล้วไม่พบเจอสิ่งใด แสงไฟที่สาดส่องไปทั่วทั้งถ้ำทำให้นางเห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่ตามผนังถ้ำได้ดีขึ้น
“พระเจ้า” จือหลินร้องขึ้นเบาๆ
จือหลินนางพาชิงชางเข้าไปภายในมิติ ชิงชางเมื่อรู้ตอนนี้ตนอยู่ที่ใดเขาก็อุ้มจือหลินเข้าไปในห้องของนางนางรู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใดกับนางก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้“ท่านอยู่ในขั้นใด”“ข้าเร่งเดินลมปราณ เพื่อวันนี้หลินหลิน”ชิงชางไม่ยอมบอกนางแต่เขากับจุมพิตนางอย่างดูดดื่มแทน จือหลินราวกับต้องมนต์เมื่อได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนของเขาชิงชางไล้นิ้วไปตามเรือนร่างของนาง พร้อมทั้งปลดชุดของนางอย่างรวดเร็ว“เจ้างามยิ่งนักหลินหลิน” เมื่อได้เห็นเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าของนาง เขาก็อดที่จะจ้องมองอย่างตกตะลึงมิได้จือหลินนางก็ไม่ได้มีท่าทีที่เขินอายเช่นหญิงสาวทั่วไป กลับใจกล้ากว่าที่เขาคิด เพียงนางช้อนสายตายั่วยวนเขา ชิงชางก็รีบปลดชุดออกด้วยมือที่สั่นเทาก่อนจะขึ้นคร่อมตัวนางพร้อมกับมอบจุมพิตที่ร้อนแรงเต็มไปด้วยไฟปรารถนา จือหลินโอบรอบคอของเขาไว้ พร้อมทั้งใช้มือที่ซุกซนของนางสัมผัสไปที่เครื่องเพศของเขาโดยตรง“หลินหลิน เจ้าช่าง ซุก ซนนัก” ชิงชางเอ่ยแสงสั่นเทาออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้จือหลินนางเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าที่อดกลั้นของเขา แต่ต่อมานางก็รู้ตัวว่านางนั้นคิดผ
ภายในมิติผ่านมาได้สองปี แต่ด้านนอกเพียงผ่านไปแล้วสี่เดือนเท่านั้น ชิงชางก็คิดจะออกไปจัดการเรื่องของตนในวังหลวง แม้แต่ขั้นระดับเขาก็ไม่ให้จือหลินตรวจสอบนางก็ไม่ว่าอันใด พาเขาออกไปส่งด้านนอกอย่างที่เขาต้องการ ชิงชางมองจือหลินอย่างลึกซึ้งก่อนจะเดินจากไปโดยที่เขาไม่เอ่ยอันใดสักคำจือหลินยืนมองแผ่นหลังของเขาอย่างสะท้านในอก นางคิดว่าตัวนางไม่อยากยึดติดหรือหวังในตัวของชิงชางแล้วแต่ก็ยังอดเศร้าใจไม่ได้“ชางเออร์เจ้ากลับมาเสียที” หลีจิ้งมองบุตรชายที่รูปร่างและกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแปลกใจ“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน”“หากเป็นเรื่องของหลินเออร์ พ่อเข้าใจ แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าต่อไปเจ้ามิอาจมีนางเพียงผู้เดียวได้”หลีจิ้งมองบุตรชายอย่างจริงจัง เพราะตัวเขาที่คิดจะมีเพียงอี้หนิงในวังหลังเพียงหนึ่งเดียวยังไม่อาจทำได้เขาจำต้องรับบุตรสาวของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ทั้งผู้ที่เคยช่วยเหลือจนเขาได้นั่งในบัลลังก์ครั้งนี้ไว้อย่างเสียไม่ได้เพียงปีเดียวก็มีพระสนมมากถึงนับสิบคนแล้วชิงชางฟังคำพูดของบิดาหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด“ลูกไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้เช่นเสด็จพ่อ ลูกต้องการออกเดิ
ชิงชางอับอายจนใบหูของเขาแดงก่ำ ตัวเขาจะเคยทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ที่ทำกับนางก็เป็นครั้งแรกของเขาเช่นกันแล้วสตรีเช่นนางกับพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไม่อายบอก หรือว่านางเคยถูกผู้ใดจุมพิตมาแล้วชิงชางยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดอาการหึงหวง เขาเดินเข้าไปจับใบหน้าของนางไว้แล้วจุมพิตนางอีกครั้งอย่างรุนแรงแต่ครั้งนี้จือหลินนางตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะไม่คิดว่าชิงชางจะจุมพิตนางอีกครั้ง นางคิดว่าคำพูดของนางจะทำให้เขาเกิดอยากเปลี่ยนใจจือหลินกลับเป็นฝ่ายดึงรั้งคอของชิงชางไว้ แล้วเริ่มใช้เรียวลิ้นของนางหยอกล้อกับเรียวลิ้นของชิงชางแทนในตอนแรกชิงชางก็นิ่งชะงักอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่านางจะจุมพิตได้ช่ำชองเช่นนี้ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความรัญจวนที่นางมอบให้ทั้งสองไม่รู้ว่าตนจุมพิตกันนานเพียงใด แต่เมื่อจือหลินนางถอนริมฝีปากออก ชิงชางกลับอาลัยอาวรณ์อย่างไม่สิ้นสุด“หลินเออร์ เหตุใดเจ้า”“ท่านอยากจะรู้ว่าเหตุใดข้าถึงจุมพิตเป็นใช่หรือไม่”จือหลินนางจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างหยอกล้อ ก่อนจะเล่าเรื่องที่นางไม่ใช่คนในภพนี้ให้ชิงชางได้ฟังทั้งคู่เข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นที่โซฟาแทนห้องทดลองของจือหลินนางบอกเล่า
บ่าวไพร่ในจวนตระกูลถานรวมทั้งองครักษ์ของชิงชางต่างแตกตื่นกันให้วุ่น เพราะเรื่องที่จือหลินและชิงชางหายตัวไปจากห้องนอนในเรือนของป๋อฉิวอย่างไร้ร่องรอยลี่อินที่ยังไม่หายดีก็ให้ตงฟางประคองตนมาที่ห้องของจือหลินอย่างร้อนใจจือหลินนางออกทันเห็นคนกำลังเข้าช่วยมารดาที่หมดสติอยู่ในห้องของนางพอดี“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เสียงของนางทำให้ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ คนที่มีสติที่สุดเห็นจะเป็นตงฟางที่วิ่งเข้ามากอดเอวพี่สาวไว้แน่น แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครจือหลินต้องลูบหลังปลอบประโลมเขาอยู่พักใหญ่กว่าจะเงียบเสียงลง คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตงฟางต้องแสร้งเข้มแข็งมากเพียงใด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับพี่สาวของตน เพราะเขาต้องดูแลมารดาที่ล้มป่วยทั้งยังน้องชายคนเล็กที่เสียขวัญอีกด้วย“หลินเออร์ เจ้ากลับมาหาแม่แล้ว” ลี่อินเมื่อได้สติก็ลุกขึ้นดึงตัวบุตรสาวเข้ามาสวมกอดอย่างหวงแหนท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อบ่าวไปแจ้งว่าพบตัวจือหลินแล้วก็รีบร้อนเดินมาทันที“หลินเออร์” ผู้เฒ่าถานมองหลานสาวด้วยดวงตาที่เออคลอไปด้วยน้ำตาส่วนฮูหยินผู้เฒ่าถานเดินเข้ามาสวมดอกนางไม่ต่างจากที่ลี่อินทำเลย“พวกท่านใจเย็นก่
ภายนอกมิติต่างวิ่งวุ่นตามหมอกันไปทั่ว เพราะหลายวันแล้วที่จือหลินนางนอนอย่างไม่ได้สติ พวกเขาที่รอเวลาให้นางตื่นก็ไม่อาจทนรอได้อีกหมอที่มาตรวจก็ไม่อาจหาสาเหตุที่ทำให้จือหลินนางหมดสติเช่นนี้ได้ เพราะร่างกายของนางเหมือนกับคนที่หลับสนิทเท่านั้นหลีจิ้งเมื่อจัดการเรื่องภายในวังหลวงเสร็จสิ้นก็มารับอี้หนิงกับอวี่ซีกลับเข้าวังหลวง เพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาพระองค์ใหม่ป๋อฉิวถูกราชโองการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมทันทีที่หลีจิ้งขึ้นนั่งบัลลังก์ เขาไม่ได้รู้สึกยินดีกับตำแหน่งที่ได้จวนตระกูลถานยังไม่เปิดรับผู้คนที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี เพราะบุตรสาวที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ในเรือนของเขาชิงชางเมื่อช่วยบิดาจัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จสิ้น ตัวเขาก็แทบจะอยู่ที่จวนตระกูลถานไม่ยอมขยับไปที่ใด ได้แต่นั่งเฝ้าจือหลินที่นอนหลับอยู่บนเตียงเขามักจะนำตำรา หรือเรื่องที่พบเจอมาตลอดที่ไม่ได้อยู่กับนางมาเล่าให้นางฟัง จนคนที่เข้ามาพบเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้ป๋อฉิวก็ไม่ทำใจไล่เข้ากลับวังไม่ลง จึงปล่อยให้เขานั่งพูดอยู่เช่นนั้น เรื่องร้านค้าของจือหลินก็ไม่มีปัญหา เพราะของที่นางทำไว้ยังมีอีกมาก ลี่อินที่
ป๋อฉิวไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ของนาง เขาอดที่จะจุกในอกไม่ได้ สุดท้ายแล้วอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวที่ต้องการคนปลอบประโลมชิงชางกับหลีจิ้งทรุดตัวลงอย่างสิ้นแรง ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการระเบิดพลังครั้งนี้ของจือหลินแต่เพียงไม่นาน ร่างกายที่ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แม้แต่โรคที่รักษาไม่หายเมื่อถูกแสงสีขาวของจือหลินต่างก็หายราวปาฏิหาริย์ เรื่องนี้ชาวเมืองที่หนีไม่ทันจากแสงก็รับรู้ได้เช่นกันชาวชราที่เดินกลับเรือนเขาไม่อาจวิ่งหนีได้เช่นคนหนุ่มสาว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งร่างกายที่ทรุดโทรมก็กลับแข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจคนขอทานที่ขาหัก ล้มอยู่ที่พื้น เพราะโดนชนจนหนีไม่ทันก็กลับมาลุกขึ้นเดินได้เมื่อแสงสีขาวหายไปกลายเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ชาวเมืองทั้งหมดต่างออกจากเรือนเพื่อมารอแสงสีขาวอีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลยป๋อฉิวประคองบุตรสาวขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะร่ำลาสองพ่อลูกกับจวนของตนไป“หลินเออร์” ชิงชางร้องเรียกนาง“ท่านจัดการเรื่องของท่านเถิด ข้าจะกลับจวนเพื่อไปดูมารดาและน้องชาย” จือหลินนางไม่ได้หันไปมองชิงชางเลยสักนิดจือหลินพูดจบนางก็หมดสติไปทันที เพราะการระเบิดพลังและการเลื่อนขั้นที่เกิดข