ลี่อินเลิกถามบุตรสาวแล้วว่านางรู้วิธีทำได้อย่างไร แต่หันมาช่วยเหลือนางแทน เมื่อเห็นว่ากระทะใบใหญ่ที่นางหาได้ร้อนกำลังดี จือหลินจึงให้มารดาเทน้ำที่กรองเรียบร้อยแล้วลงในกระทะเพื่อต้ม
นางไม่ได้อยู่เฝ้าตลอดเวลา แต่หันไปเก็บเรือนต่อแทน เพราะเกลือต้องต้มจนกว่าน้ำทั้งหมดจะระเหยไปจนเหลือเพียงเกล็ดเกลือสีขาวเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลานั่งเฝ้า
จือหลินลงมือถางหญ้ารอบเรือน โดยมีลี่อินที่ร่างกายเริ่มใช้แรงได้แล้วแต่ก็ยังไม่มาก เก็บกวาดภายในเรือน
เพียงครึ่งวันก็ทำได้ไม่ถึงครึ่ง ทั้งสองจึงหยุดมือแล้วรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มพลังเสียก่อน
“ท่านแม่ท่านดูฟืนด้วยนะเจ้าค่ะ” จือหลินร้องบอกมารดาให้ดูฟืนอย่าให้มอด ก่อนที่นางจะออกจากเรือนไปเก็บฟืนที่ตีนเขาไม่ไกลจากหลังบ้าน
“ยังไม่ตายอีกรึ” เสียงด้านหลังดังขึ้น
ทำให้จือหลินที่กำลังก้มเก็บฟืนอยู่ต้องหันกลับไปมองอย่างสงสัย ตะวันตรงหัวเช่นนี้ยังมีผู้ใดออกมาหาฟืนเช่นนางอีก
“แล้วเห็นหรือไม่เล่าว่าข้าตายหรือไม่” เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดจือหลินจึงสวนกลับไปอย่างไม่ยอม
“หึ ปากดีเช่นนี้สมควรตายไปเสีย” อี้เฉินจ้องมองจือหลินด้วยแววตาที่ดุดัน
“เช่นนั้นหรือ หากผู้อื่นรู้ว่า เด็กน้อยเช่นเจ้าคิดจะฆ่าคนจะเกิดสิ่งใดขึ้น” จือหลินกอดอกพูดอย่างท้าทาย
“เจ้ากล้ารึ” อี้เฉินตวาดกลับเสียงดัง
“จะลองดูหรือไม่เล่า ชื่อเสียงของเจ้าคงมีแต่คนไม่กล้ามาสู่ขอ” จือหลินรู้ดีว่าชื่อเสียงของสตรียุคนี้สำคัญมากเพียงใดจึงนำมาใช้ขู่อี้เฉิน
แล้วก็ได้ผลเมื่ออี้เฉินทำหน้าประหลาดออกมาจากไม่เชื่อว่าจือหลินจะกล้าข่มขู่นาง
“ผู้ใดจะเชื่อเจ้า มารดาของเจ้ากล้าอ้าขาให้บุรุษที่ใดก็ไม่รู้กระทำจนตั้งท้อง คลอดเด็กเช่นเจ้าออกมา” อี้เฉินตอบโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน ยิ่งเห็นใบหน้าของจือหลินที่สลดลงนางก็เริ่มพ่นคำหยาบคายออกมาไม่ยั้ง
“โอวโยว แม่หนูเฉิน ผู้ใดสอนเจ้าให้พูดเช่นนี้ออกมาได้”
“เป็นเพียงแม่นางน้อยพูดเรื่องเช่นนี้ไม่อายปากเลยหรือ”
เพราะจือหลินเห็นชาวบ้านที่กลับเรือนไปพักผ่อนกำลังกลับไปที่นาของตนนางจึงยอมปล่อยให้อี้เฉินพ่นคำพูดน่ารังเกียจออกมาได้อย่างเต็มที่
"ไม่ใช่นะเจ้าค่ะ ข้ามิได้พูด" อี้เฉินรีบส่ายหน้าอย่างลนลาน
นางเป็นหลานสาวของผู้นำหมู่บ้านต่อไปบิดาของนางก็จะเป็นผู้นำหมู่บ้าน หากชาวบ้านเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านปู่และบิดา นางต้องโดนลงโทษเป็นแน่
บิดาของนางยิ่งไม่ได้รักใคร่มารดาของนางอยู่ด้วย ที่ต้องแต่งกลับมารดาของนางเพราะผิดหวังจากมารดาของจือหลิน ผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลจึงเปลี่ยนตัวเจ้าสาว
“ข้าได้ยินกับหู คงต้องบอกบิดาเจ้าให้สั่งสอนเสียแล้ว” อี้เฉินตื่นตระหนกจนทำสิ่งใดไม่ถูก นางที่กำลังร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วเพราะชาวบ้านเดินจากไปไกลแล้ว
ก่อนที่ชาวบ้านจะเดินจากไปยังส่งสายตาเห็นใจมาทางจือหลินอีกด้วย
“เจ้า เจ้า เหตุใดถึงไม่บอกข้าว่ามีผู้อื่นเดินมาทางนี้” อี้เฉินหันมาโทษจือหลินแทน
“แล้วเหตุใดข้าต้องเตือนเจ้าด้วยเล่า” จือหลินยกยิ้มเยาะเย้ยนาง
อี้เฉินที่ทำอันใดไม่ได้ ก็กระทืบเท้าอย่างอารมณ์เสียก่อนจะวิ่งกลับเรือนไป จือหลินนางหยิบก้อนหินเล็กๆ ขึ้นมาแล้วดีดออกไปที่ข้อเท้าของอี้เฉินอย่างแม่นยำ
“โอ๊ย” อี้เฉินล้มกระแทกลงพื้น นางส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ก่อนจะหันมาทางจือหลิน เพื่อกล่าวโทษนาง
แต่ตัวของจือหลินก็อยู่ไกลเกินกว่าที่จะยื่นขาไปสกัดให้นางล้มได้ และยิ่งเห็นท่าทางของจือหลินที่ยักไหล่อย่างไม่สนใจก็ยิ่งทำให้โทสะของอี้เฉินพุ่งขึ้นสูง
ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต่างเดินเข้ามาดูว่าอี้เฉินได้รับบาดเจ็บมากเพียงใดหรือไม่ แต่เมื่อเห็นเพียงหัวเข่าของนางแตกก็คิดจะเดินจากไป แต่อี้เฉินกลับลุกขึ้นยืนไม่ได้ ข้อเท้าของนางที่ถูกก้อนหินของจือหลินดีดใส่บวมเป่งอย่างน่ากลัว
“นางทำข้าเจ้าค่ะ” อี้เฉินฟ้องชาวบ้านที่เขามาช่วยเหลือนางทันที
“แม่หนูเฉิน หลินเออร์จะทำเจ้าได้อย่างไร นางยืนอยู่ไกลเสียขนาดนั้น” ชาวบ้านต่างส่ายหัวให้อี้เฉินที่ล้มเองแล้วยังโทษผู้อื่น
อี้เฉินที่ยังเป็นเด็กไม่ต่างจากจือหลินก็ไม่รู้จะทำเช่นใดได้แต่ร้องออกมาอย่างคับแค้นใจ
ชาวบ้านที่พาอี้เฉินไปส่งเรือนก็เล่าตามเหตุการณ์ที่พวกตนได้เห็น จางอู๋จ้องหน้าบุตรสาวอย่างไม่สบอารมณ์ยิ่งรู้คำพูดนางที่ต่อว่าจือหลินเขาก็ยิ่งโมโห
“อยู่แต่ในเรือนเสีย หากออกไปแล้วก่อแต่เรื่อง” จางอู๋เดินสะบัดแขนเสื้อออกจากเรือนไปทันที
จางอู๋เขาเป็นคนรักเก่าของลี่อิน และไม่เคยเชื่อเรื่องที่นางยินยอมไปหลับนอนกับผู้อื่น วันที่เกิดเรื่องเขายังไปถามจากปากของนางด้วยตนเอง
ยิ่งรู้ว่าเป็นจินฮวาที่หลอกนางไปก็โกรธแค้นถึงขั้นจะไปเอาเรื่อง แต่เรื่องนี้ก็ถูกผู้อาวุโสคัดค้าน เพราะไม่มีหลักฐานที่จะไปเอาความผิดกับจินฮวาได้ อีกอย่างทั้งสองตระกูลมีสัญญาหมั้นหมายกันผู้อาวุโสต้องทำตามบรรพชนก่อนที่ให้สัญญาไว้ เขาจึงต้องแต่งกับจินฮวาอย่างเลี่ยงไม่ได้
แม้จะแต่งนางเข้ามาแล้ว เขาที่รังเกียจนางก็ไม่อาจร่วมหอกับนางได้ แต่จินฮวาก็ใช้เล่ห์ของนางวางยากำหนัดเขาจนตั้งครรภ์เป็นจางอี้เฉินขึ้นมา
จางอู๋ที่เดินออกมาจากเรือนอย่างหัวเสียก็คิดอยากจะไปดูสองแม่ลูกที่ท้ายหมู่บ้าน แต่ก็ถูกจินฮวาที่รู้ทันขัดขวางไว้ โดยนางขู่ว่าถ้าหากเขาไปหาสองแม่ลูกที่เรือน นางจะบอกชาวบ้านว่าทั้งคู่คบชู้กัน เพื่อให้สองแม่ลูกอยู่ที่หมู่บ้านต่อไปอีกไม่ได้
จางอู๋จ้องมองใบหน้าของจินฮวาเหมือนอยากจะฆ่านางเสียให้ตายก่อนจะเดินกลับเข้าเรือนไป
จินฮวานางร่ำไห้ออกมาอย่างปวดใจ ไม่รู้ว่าการที่นางแย่งคนรักมาจากญาติผู้น้องคือสิ่งที่นางคิดถูกหรือไม่ แต่เมื่อนึกถึงความชอกช้ำที่ลี่อินได้รับนางก็เช็ดน้ำตาอย่างนึกสะใจ แล้วกลับเข้าไปดูบุตรสาวแทน
จือหลินนางพาชิงชางเข้าไปภายในมิติ ชิงชางเมื่อรู้ตอนนี้ตนอยู่ที่ใดเขาก็อุ้มจือหลินเข้าไปในห้องของนางนางรู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใดกับนางก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้“ท่านอยู่ในขั้นใด”“ข้าเร่งเดินลมปราณ เพื่อวันนี้หลินหลิน”ชิงชางไม่ยอมบอกนางแต่เขากับจุมพิตนางอย่างดูดดื่มแทน จือหลินราวกับต้องมนต์เมื่อได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนของเขาชิงชางไล้นิ้วไปตามเรือนร่างของนาง พร้อมทั้งปลดชุดของนางอย่างรวดเร็ว“เจ้างามยิ่งนักหลินหลิน” เมื่อได้เห็นเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าของนาง เขาก็อดที่จะจ้องมองอย่างตกตะลึงมิได้จือหลินนางก็ไม่ได้มีท่าทีที่เขินอายเช่นหญิงสาวทั่วไป กลับใจกล้ากว่าที่เขาคิด เพียงนางช้อนสายตายั่วยวนเขา ชิงชางก็รีบปลดชุดออกด้วยมือที่สั่นเทาก่อนจะขึ้นคร่อมตัวนางพร้อมกับมอบจุมพิตที่ร้อนแรงเต็มไปด้วยไฟปรารถนา จือหลินโอบรอบคอของเขาไว้ พร้อมทั้งใช้มือที่ซุกซนของนางสัมผัสไปที่เครื่องเพศของเขาโดยตรง“หลินหลิน เจ้าช่าง ซุก ซนนัก” ชิงชางเอ่ยแสงสั่นเทาออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้จือหลินนางเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าที่อดกลั้นของเขา แต่ต่อมานางก็รู้ตัวว่านางนั้นคิดผ
ภายในมิติผ่านมาได้สองปี แต่ด้านนอกเพียงผ่านไปแล้วสี่เดือนเท่านั้น ชิงชางก็คิดจะออกไปจัดการเรื่องของตนในวังหลวง แม้แต่ขั้นระดับเขาก็ไม่ให้จือหลินตรวจสอบนางก็ไม่ว่าอันใด พาเขาออกไปส่งด้านนอกอย่างที่เขาต้องการ ชิงชางมองจือหลินอย่างลึกซึ้งก่อนจะเดินจากไปโดยที่เขาไม่เอ่ยอันใดสักคำจือหลินยืนมองแผ่นหลังของเขาอย่างสะท้านในอก นางคิดว่าตัวนางไม่อยากยึดติดหรือหวังในตัวของชิงชางแล้วแต่ก็ยังอดเศร้าใจไม่ได้“ชางเออร์เจ้ากลับมาเสียที” หลีจิ้งมองบุตรชายที่รูปร่างและกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแปลกใจ“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน”“หากเป็นเรื่องของหลินเออร์ พ่อเข้าใจ แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าต่อไปเจ้ามิอาจมีนางเพียงผู้เดียวได้”หลีจิ้งมองบุตรชายอย่างจริงจัง เพราะตัวเขาที่คิดจะมีเพียงอี้หนิงในวังหลังเพียงหนึ่งเดียวยังไม่อาจทำได้เขาจำต้องรับบุตรสาวของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ทั้งผู้ที่เคยช่วยเหลือจนเขาได้นั่งในบัลลังก์ครั้งนี้ไว้อย่างเสียไม่ได้เพียงปีเดียวก็มีพระสนมมากถึงนับสิบคนแล้วชิงชางฟังคำพูดของบิดาหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด“ลูกไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้เช่นเสด็จพ่อ ลูกต้องการออกเดิ
ชิงชางอับอายจนใบหูของเขาแดงก่ำ ตัวเขาจะเคยทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ที่ทำกับนางก็เป็นครั้งแรกของเขาเช่นกันแล้วสตรีเช่นนางกับพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไม่อายบอก หรือว่านางเคยถูกผู้ใดจุมพิตมาแล้วชิงชางยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดอาการหึงหวง เขาเดินเข้าไปจับใบหน้าของนางไว้แล้วจุมพิตนางอีกครั้งอย่างรุนแรงแต่ครั้งนี้จือหลินนางตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะไม่คิดว่าชิงชางจะจุมพิตนางอีกครั้ง นางคิดว่าคำพูดของนางจะทำให้เขาเกิดอยากเปลี่ยนใจจือหลินกลับเป็นฝ่ายดึงรั้งคอของชิงชางไว้ แล้วเริ่มใช้เรียวลิ้นของนางหยอกล้อกับเรียวลิ้นของชิงชางแทนในตอนแรกชิงชางก็นิ่งชะงักอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่านางจะจุมพิตได้ช่ำชองเช่นนี้ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความรัญจวนที่นางมอบให้ทั้งสองไม่รู้ว่าตนจุมพิตกันนานเพียงใด แต่เมื่อจือหลินนางถอนริมฝีปากออก ชิงชางกลับอาลัยอาวรณ์อย่างไม่สิ้นสุด“หลินเออร์ เหตุใดเจ้า”“ท่านอยากจะรู้ว่าเหตุใดข้าถึงจุมพิตเป็นใช่หรือไม่”จือหลินนางจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างหยอกล้อ ก่อนจะเล่าเรื่องที่นางไม่ใช่คนในภพนี้ให้ชิงชางได้ฟังทั้งคู่เข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นที่โซฟาแทนห้องทดลองของจือหลินนางบอกเล่า
บ่าวไพร่ในจวนตระกูลถานรวมทั้งองครักษ์ของชิงชางต่างแตกตื่นกันให้วุ่น เพราะเรื่องที่จือหลินและชิงชางหายตัวไปจากห้องนอนในเรือนของป๋อฉิวอย่างไร้ร่องรอยลี่อินที่ยังไม่หายดีก็ให้ตงฟางประคองตนมาที่ห้องของจือหลินอย่างร้อนใจจือหลินนางออกทันเห็นคนกำลังเข้าช่วยมารดาที่หมดสติอยู่ในห้องของนางพอดี“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เสียงของนางทำให้ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ คนที่มีสติที่สุดเห็นจะเป็นตงฟางที่วิ่งเข้ามากอดเอวพี่สาวไว้แน่น แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครจือหลินต้องลูบหลังปลอบประโลมเขาอยู่พักใหญ่กว่าจะเงียบเสียงลง คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตงฟางต้องแสร้งเข้มแข็งมากเพียงใด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับพี่สาวของตน เพราะเขาต้องดูแลมารดาที่ล้มป่วยทั้งยังน้องชายคนเล็กที่เสียขวัญอีกด้วย“หลินเออร์ เจ้ากลับมาหาแม่แล้ว” ลี่อินเมื่อได้สติก็ลุกขึ้นดึงตัวบุตรสาวเข้ามาสวมกอดอย่างหวงแหนท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อบ่าวไปแจ้งว่าพบตัวจือหลินแล้วก็รีบร้อนเดินมาทันที“หลินเออร์” ผู้เฒ่าถานมองหลานสาวด้วยดวงตาที่เออคลอไปด้วยน้ำตาส่วนฮูหยินผู้เฒ่าถานเดินเข้ามาสวมดอกนางไม่ต่างจากที่ลี่อินทำเลย“พวกท่านใจเย็นก่
ภายนอกมิติต่างวิ่งวุ่นตามหมอกันไปทั่ว เพราะหลายวันแล้วที่จือหลินนางนอนอย่างไม่ได้สติ พวกเขาที่รอเวลาให้นางตื่นก็ไม่อาจทนรอได้อีกหมอที่มาตรวจก็ไม่อาจหาสาเหตุที่ทำให้จือหลินนางหมดสติเช่นนี้ได้ เพราะร่างกายของนางเหมือนกับคนที่หลับสนิทเท่านั้นหลีจิ้งเมื่อจัดการเรื่องภายในวังหลวงเสร็จสิ้นก็มารับอี้หนิงกับอวี่ซีกลับเข้าวังหลวง เพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาพระองค์ใหม่ป๋อฉิวถูกราชโองการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมทันทีที่หลีจิ้งขึ้นนั่งบัลลังก์ เขาไม่ได้รู้สึกยินดีกับตำแหน่งที่ได้จวนตระกูลถานยังไม่เปิดรับผู้คนที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี เพราะบุตรสาวที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ในเรือนของเขาชิงชางเมื่อช่วยบิดาจัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จสิ้น ตัวเขาก็แทบจะอยู่ที่จวนตระกูลถานไม่ยอมขยับไปที่ใด ได้แต่นั่งเฝ้าจือหลินที่นอนหลับอยู่บนเตียงเขามักจะนำตำรา หรือเรื่องที่พบเจอมาตลอดที่ไม่ได้อยู่กับนางมาเล่าให้นางฟัง จนคนที่เข้ามาพบเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้ป๋อฉิวก็ไม่ทำใจไล่เข้ากลับวังไม่ลง จึงปล่อยให้เขานั่งพูดอยู่เช่นนั้น เรื่องร้านค้าของจือหลินก็ไม่มีปัญหา เพราะของที่นางทำไว้ยังมีอีกมาก ลี่อินที่
ป๋อฉิวไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ของนาง เขาอดที่จะจุกในอกไม่ได้ สุดท้ายแล้วอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวที่ต้องการคนปลอบประโลมชิงชางกับหลีจิ้งทรุดตัวลงอย่างสิ้นแรง ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการระเบิดพลังครั้งนี้ของจือหลินแต่เพียงไม่นาน ร่างกายที่ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แม้แต่โรคที่รักษาไม่หายเมื่อถูกแสงสีขาวของจือหลินต่างก็หายราวปาฏิหาริย์ เรื่องนี้ชาวเมืองที่หนีไม่ทันจากแสงก็รับรู้ได้เช่นกันชาวชราที่เดินกลับเรือนเขาไม่อาจวิ่งหนีได้เช่นคนหนุ่มสาว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งร่างกายที่ทรุดโทรมก็กลับแข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจคนขอทานที่ขาหัก ล้มอยู่ที่พื้น เพราะโดนชนจนหนีไม่ทันก็กลับมาลุกขึ้นเดินได้เมื่อแสงสีขาวหายไปกลายเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ชาวเมืองทั้งหมดต่างออกจากเรือนเพื่อมารอแสงสีขาวอีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลยป๋อฉิวประคองบุตรสาวขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะร่ำลาสองพ่อลูกกับจวนของตนไป“หลินเออร์” ชิงชางร้องเรียกนาง“ท่านจัดการเรื่องของท่านเถิด ข้าจะกลับจวนเพื่อไปดูมารดาและน้องชาย” จือหลินนางไม่ได้หันไปมองชิงชางเลยสักนิดจือหลินพูดจบนางก็หมดสติไปทันที เพราะการระเบิดพลังและการเลื่อนขั้นที่เกิดข