จือหลินดวงตาของนางเปล่งประกายเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนผนังของถ้ำ ก่อนนางจะเงยหน้าหัวเราะเสียงก้องสะท้านไปทั่วถ้ำอย่างบ้าคลั่ง
หากมีผู้ใดผ่านมาบริเวณถ้ำที่นางอยู่คงได้ตกใจเสียงนางจนวิ่งหนีไปแน่ แม้แต่นกที่เกาะอยู่ตามต้นไม้ใกล้ๆ ถ้ำ ยังต้องบินหนีด้วยความตกใจ
จือหลินหาที่เหมาะๆ ปักคบไฟของนาง ก่อนจะนำมืดที่อยู่ด้านหลังตะกร้าออกมาเพื่อจัดการกับสิ่งที่นางพบเจอ
อย่างน้อยสวรรค์ก็ไม่ได้กลั่นแกล้งนางมากเกินไป ยังพาให้นางมาพบ ‘เห็ดหลินจือ’ มากมายหลายดอก
“ฮ่า ฮ่า ชื่อข้าจือหลิน ข้าถึงได้มาเจอเห็ดหลินจือ” จือหลินนางพูดกับตนเองราวกับคนเสียสติ
นางเก็บเห็ดลงมาจากผนังอย่างเบามือ พร้อมกับฮัมเพลงอย่างสบายใจ แม้นางจะเรียนแพทย์แผนปัจจุบันไม่ใช่แพทย์แผนจีน แต่ความรู้เรื่องสมุนไพรนางก็พอมีติดตัว
หลินหลินจือที่นางพบบางดอกมีอายุหลายร้อยปี บางดอกนับพันปีก็มี หากมองไปตามผนังถ้ำดีๆ จะพบรากของต้นไม้ที่แห้งตายมาเป็นเวลานานจึงทำให้เกิดเห็ดหลินจือขึ้นมาได้
จือหลินมิได้เก็บไปทั้งหมดในทันที ถ้ำแห่งนี้ไม่มีผู้ใดรู้ถึงการมีอยู่ของมัน นางค่อยขึ้นมาเก็บในภายหลังก็ยังได้ นางเลือกเก็บไปสีละสองดอก เพื่อดูว่าในยุคนี้สีใดขายได้เงินมากที่สุด
เห็ดหลินจือที่พบมีสี แดงที่เห็นได้มากที่สุด สีดำและสีม่วงที่จัดว่าหายาก แต่ไม่ใช่ในยุคของนางไม่ว่าจะสีอะไรล้วนแต่ถูกเพาะเลี้ยงออกมาได้ทั้งสิ้น
นางเก็บดอกสีแดงไปมากหน่อยเพื่อใช้บำรุงร่างกายให้มารดานาง เห็ดหลินจือแดงช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นและยังช่วยเรื่องนอนไม่หลับของมารดาด้วย
จือหลินนำใบไม้มาห่อเห็ดแต่ละดอกอย่างเบามือ ขนาดของแต่ละดอกเมื่อวางลงไปในตะกร้าของนางก็มีขนาดใหญ่เท่าตะกร้าเสียแล้ว เมื่อวางซ้อนๆ กัน ก็แทบจะล้นออกมาจากตะกร้า
จือหลินจึงใช้ผักป่าปิดคลุมด้านบนอีกชั้น หากพบเจอชาวบ้านจะได้คิดว่านางขึ้นเขามาเก็บผักป่า นางยังเก็บดอกเล็กๆ เท่ากำมือไปอีกหลายดอกเพื่อไปฝากชาวบ้านที่มักจะนำอาหารมาให้พวกนางสองแม่สองตั้งแต่นางเกิดอีกด้วย
เพราะระยะทางขึ้นเขาที่ไกลกว่าทุกครั้ง เมื่อลงมาจากเขาได้ เรือนผู้อื่นก็เกือบจะดับไฟนอนเสียแล้ว
จือหลินเข้าไปในเรือนก็พบมารดาที่นั่งรออยู่ที่ข้างประตูห้องโถงเช่นทุกครั้ง นางเดินเอาตะกร้าไปไว้ด้านหน้าของมารดา พร้อมทั้งเปิดออกเพื่ออวดสิ่งที่นางได้มาในวันนี้
“สวรรค์ หลินเออร์ เจ้าไปพบมาจากที่ใด” ลี่อินยกมือขึ้นปิดปากเพราะกลัวเสียงร้องของนางจะไปถึงเรือนของผู้อื่น
ก่อนจะเดินออกไปมองรอบเรือนว่ามีผู้ใดมองมาที่เรือนของนางหรือไม่ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจ นางก็รีบดึงตัวจือหลินและตะกร้าเข้ามาในห้องโถงอย่างรวดเร็ว
“ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าคือเห็ดอันใด” จือหลินมองมารดาอย่างแปลกใจ เพราะคิดไม่ถึงว่าสตรีชาวบ้านจะมีความรู้เช่นกัน
“เมื่อก่อนท่านตาของเจ้าเคยพบครั้งหนึ่งในป่าลึก แต่ก็เล็กเพียงฝ่ามือเท่านั้น ไม่ได้ใหญ่เช่นนี้ อีกอย่างเห็ดของเจ้าใยมีถึงสามสีได้เล่า” ลี่อินลูบไปตามดอกเห็ดอย่างตกตะลึง
จือหลินจึงอธิบายสรรพคุณของแต่ละชนิดให้มารดาฟังอย่างใจเย็น ทั้งยังบอกนางอีกด้วยว่าเห็ดหลินจือสีแดง นางจะเก็บไว้ใช้บำรุงร่างกายของมารดา
“ไม่ต้องๆ แม่กินไม่ลงหรอก” ลี่อินรีบโบกมืออย่างรวดเร็ว เห็ดหลินจือที่บิดานางมาได้ก็มีราคาถึงห้าสิบตำลึงทองแล้ว แต่เพราะตอนนั้นยังไม่ได้แยกเรือนจึงต้องแบ่งให้บ้านใหญ่ ต่อมาเงินที่เหลือก็แทบจะหมดไปกับการรักษาตัวของบิดามารดาที่ล้มป่วยเพราะตรอมใจเรื่องของนาง
“ท่านแม่ข้าบอกท่านแล้วใช่หรือไม่ เรื่องในอดีตอย่าได้นึกถึง ต่อให้มีราคาแพงแล้วอย่างไร ชีวิตท่านไม่สำคัญกว่าเงินหรือ” จือหลินจ้องมองใบหน้าของลี่อินอย่างจริงจัง เมื่อเห็นมารดามีดวงตาที่เศร้าลงเมื่อเอ่ยเรื่องที่ท่านตาพบเห็ดหลินจือในครั้งนั้นให้ฟัง
“ได้ๆ แม่จะกินให้หมดเลย หลินเออร์จะได้ไม่เสียใจที่อุตส่าห์ขึ้นเขาไปทั้งวัน” ลี่อินลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่
จือหลินนางเริ่มจะชินกับการสัมผัสของลี่อินแล้วจึงไม่ได้หลบเลี่ยงเหมือนครั้งแรกๆ สองแม่ลูกช่วยกันล้างทำความสะอาดเห็ดอย่างเบามือ ก่อนจะนำไปวางผึ่งลมให้แห้ง
จือหลินไม่รู้ว่าในยุคนี้นิยมขายแบบสดหรือต้องนำไปตากแดดเสียก่อนนางจึงไม่คิดที่จะทำอะไรกับเห็ดที่ได้มาทั้งนั้น เมื่อแยกส่วนที่จะเก็บไว้บำรุงมารดาและของที่จะไปมอบให้ชาวบ้านออกมาแล้ว
จือหลินนำเห็ดหลินจือแดงที่เป็นส่วนของมารดาเข้าครัวไป นางหั่นให้เป็นชิ้นบางๆ เพื่อจะนำไปตากแดดแล้วบดให้เป็นผงเพื่อไว้ให้มารดาชงดื่มกินเป็นชาก่อนนอน แต่ในตอนนี้นางต้มให้กินทั้งที่ยังไม่ได้ตากแดดก่อน แม้จะมีรสขมกว่าก็ตาม อย่างไรสรรพคุณทางยาก็ไม่ต่างกัน
ไม่ใช่แค่ร่างกายของลี่อินที่ต้องบำรุง จือหลินนางก็ดื่มก่อนนอนเช่นกัน เมื่อได้ลองกินแบบชิ้นสดหั่นบางต้มในน้ำ จือหลินก็รู้ได้ทันทีว่าหลังจากนี้นางควรดื่มแบบที่ตากแห้งแล้ว เพราะขมจนกินไม่ไหวทีเดียว
แต่หากมีน้ำผึ้งก็คงจะดี แต่อย่าได้คิดเชี่ยว ไม่เช่นนั้นก็ต้องขึ้นเขาไปหาน้ำผึ้งอีก ไว้มีเงินค่อยหาซื้อติดเรือนไว้ก็แล้วกัน
สองแม่ลูกเมื่อดื่มชาเห็ดหลินจือแล้วก็เข้านอนทันที คืนนี้ลี่อินนอนหลับสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จือหลินก็เช่นกัน แต่น่าจะมาจากความเหน็ดเหนื่อยจากการขึ้นเขาเสียมากกว่า
จือหลินนางพาชิงชางเข้าไปภายในมิติ ชิงชางเมื่อรู้ตอนนี้ตนอยู่ที่ใดเขาก็อุ้มจือหลินเข้าไปในห้องของนางนางรู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใดกับนางก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้“ท่านอยู่ในขั้นใด”“ข้าเร่งเดินลมปราณ เพื่อวันนี้หลินหลิน”ชิงชางไม่ยอมบอกนางแต่เขากับจุมพิตนางอย่างดูดดื่มแทน จือหลินราวกับต้องมนต์เมื่อได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนของเขาชิงชางไล้นิ้วไปตามเรือนร่างของนาง พร้อมทั้งปลดชุดของนางอย่างรวดเร็ว“เจ้างามยิ่งนักหลินหลิน” เมื่อได้เห็นเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าของนาง เขาก็อดที่จะจ้องมองอย่างตกตะลึงมิได้จือหลินนางก็ไม่ได้มีท่าทีที่เขินอายเช่นหญิงสาวทั่วไป กลับใจกล้ากว่าที่เขาคิด เพียงนางช้อนสายตายั่วยวนเขา ชิงชางก็รีบปลดชุดออกด้วยมือที่สั่นเทาก่อนจะขึ้นคร่อมตัวนางพร้อมกับมอบจุมพิตที่ร้อนแรงเต็มไปด้วยไฟปรารถนา จือหลินโอบรอบคอของเขาไว้ พร้อมทั้งใช้มือที่ซุกซนของนางสัมผัสไปที่เครื่องเพศของเขาโดยตรง“หลินหลิน เจ้าช่าง ซุก ซนนัก” ชิงชางเอ่ยแสงสั่นเทาออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้จือหลินนางเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าที่อดกลั้นของเขา แต่ต่อมานางก็รู้ตัวว่านางนั้นคิดผ
ภายในมิติผ่านมาได้สองปี แต่ด้านนอกเพียงผ่านไปแล้วสี่เดือนเท่านั้น ชิงชางก็คิดจะออกไปจัดการเรื่องของตนในวังหลวง แม้แต่ขั้นระดับเขาก็ไม่ให้จือหลินตรวจสอบนางก็ไม่ว่าอันใด พาเขาออกไปส่งด้านนอกอย่างที่เขาต้องการ ชิงชางมองจือหลินอย่างลึกซึ้งก่อนจะเดินจากไปโดยที่เขาไม่เอ่ยอันใดสักคำจือหลินยืนมองแผ่นหลังของเขาอย่างสะท้านในอก นางคิดว่าตัวนางไม่อยากยึดติดหรือหวังในตัวของชิงชางแล้วแต่ก็ยังอดเศร้าใจไม่ได้“ชางเออร์เจ้ากลับมาเสียที” หลีจิ้งมองบุตรชายที่รูปร่างและกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแปลกใจ“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน”“หากเป็นเรื่องของหลินเออร์ พ่อเข้าใจ แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าต่อไปเจ้ามิอาจมีนางเพียงผู้เดียวได้”หลีจิ้งมองบุตรชายอย่างจริงจัง เพราะตัวเขาที่คิดจะมีเพียงอี้หนิงในวังหลังเพียงหนึ่งเดียวยังไม่อาจทำได้เขาจำต้องรับบุตรสาวของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ทั้งผู้ที่เคยช่วยเหลือจนเขาได้นั่งในบัลลังก์ครั้งนี้ไว้อย่างเสียไม่ได้เพียงปีเดียวก็มีพระสนมมากถึงนับสิบคนแล้วชิงชางฟังคำพูดของบิดาหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด“ลูกไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้เช่นเสด็จพ่อ ลูกต้องการออกเดิ
ชิงชางอับอายจนใบหูของเขาแดงก่ำ ตัวเขาจะเคยทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ที่ทำกับนางก็เป็นครั้งแรกของเขาเช่นกันแล้วสตรีเช่นนางกับพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไม่อายบอก หรือว่านางเคยถูกผู้ใดจุมพิตมาแล้วชิงชางยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดอาการหึงหวง เขาเดินเข้าไปจับใบหน้าของนางไว้แล้วจุมพิตนางอีกครั้งอย่างรุนแรงแต่ครั้งนี้จือหลินนางตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะไม่คิดว่าชิงชางจะจุมพิตนางอีกครั้ง นางคิดว่าคำพูดของนางจะทำให้เขาเกิดอยากเปลี่ยนใจจือหลินกลับเป็นฝ่ายดึงรั้งคอของชิงชางไว้ แล้วเริ่มใช้เรียวลิ้นของนางหยอกล้อกับเรียวลิ้นของชิงชางแทนในตอนแรกชิงชางก็นิ่งชะงักอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่านางจะจุมพิตได้ช่ำชองเช่นนี้ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความรัญจวนที่นางมอบให้ทั้งสองไม่รู้ว่าตนจุมพิตกันนานเพียงใด แต่เมื่อจือหลินนางถอนริมฝีปากออก ชิงชางกลับอาลัยอาวรณ์อย่างไม่สิ้นสุด“หลินเออร์ เหตุใดเจ้า”“ท่านอยากจะรู้ว่าเหตุใดข้าถึงจุมพิตเป็นใช่หรือไม่”จือหลินนางจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างหยอกล้อ ก่อนจะเล่าเรื่องที่นางไม่ใช่คนในภพนี้ให้ชิงชางได้ฟังทั้งคู่เข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นที่โซฟาแทนห้องทดลองของจือหลินนางบอกเล่า
บ่าวไพร่ในจวนตระกูลถานรวมทั้งองครักษ์ของชิงชางต่างแตกตื่นกันให้วุ่น เพราะเรื่องที่จือหลินและชิงชางหายตัวไปจากห้องนอนในเรือนของป๋อฉิวอย่างไร้ร่องรอยลี่อินที่ยังไม่หายดีก็ให้ตงฟางประคองตนมาที่ห้องของจือหลินอย่างร้อนใจจือหลินนางออกทันเห็นคนกำลังเข้าช่วยมารดาที่หมดสติอยู่ในห้องของนางพอดี“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เสียงของนางทำให้ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ คนที่มีสติที่สุดเห็นจะเป็นตงฟางที่วิ่งเข้ามากอดเอวพี่สาวไว้แน่น แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครจือหลินต้องลูบหลังปลอบประโลมเขาอยู่พักใหญ่กว่าจะเงียบเสียงลง คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตงฟางต้องแสร้งเข้มแข็งมากเพียงใด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับพี่สาวของตน เพราะเขาต้องดูแลมารดาที่ล้มป่วยทั้งยังน้องชายคนเล็กที่เสียขวัญอีกด้วย“หลินเออร์ เจ้ากลับมาหาแม่แล้ว” ลี่อินเมื่อได้สติก็ลุกขึ้นดึงตัวบุตรสาวเข้ามาสวมกอดอย่างหวงแหนท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อบ่าวไปแจ้งว่าพบตัวจือหลินแล้วก็รีบร้อนเดินมาทันที“หลินเออร์” ผู้เฒ่าถานมองหลานสาวด้วยดวงตาที่เออคลอไปด้วยน้ำตาส่วนฮูหยินผู้เฒ่าถานเดินเข้ามาสวมดอกนางไม่ต่างจากที่ลี่อินทำเลย“พวกท่านใจเย็นก่
ภายนอกมิติต่างวิ่งวุ่นตามหมอกันไปทั่ว เพราะหลายวันแล้วที่จือหลินนางนอนอย่างไม่ได้สติ พวกเขาที่รอเวลาให้นางตื่นก็ไม่อาจทนรอได้อีกหมอที่มาตรวจก็ไม่อาจหาสาเหตุที่ทำให้จือหลินนางหมดสติเช่นนี้ได้ เพราะร่างกายของนางเหมือนกับคนที่หลับสนิทเท่านั้นหลีจิ้งเมื่อจัดการเรื่องภายในวังหลวงเสร็จสิ้นก็มารับอี้หนิงกับอวี่ซีกลับเข้าวังหลวง เพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาพระองค์ใหม่ป๋อฉิวถูกราชโองการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมทันทีที่หลีจิ้งขึ้นนั่งบัลลังก์ เขาไม่ได้รู้สึกยินดีกับตำแหน่งที่ได้จวนตระกูลถานยังไม่เปิดรับผู้คนที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี เพราะบุตรสาวที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ในเรือนของเขาชิงชางเมื่อช่วยบิดาจัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จสิ้น ตัวเขาก็แทบจะอยู่ที่จวนตระกูลถานไม่ยอมขยับไปที่ใด ได้แต่นั่งเฝ้าจือหลินที่นอนหลับอยู่บนเตียงเขามักจะนำตำรา หรือเรื่องที่พบเจอมาตลอดที่ไม่ได้อยู่กับนางมาเล่าให้นางฟัง จนคนที่เข้ามาพบเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้ป๋อฉิวก็ไม่ทำใจไล่เข้ากลับวังไม่ลง จึงปล่อยให้เขานั่งพูดอยู่เช่นนั้น เรื่องร้านค้าของจือหลินก็ไม่มีปัญหา เพราะของที่นางทำไว้ยังมีอีกมาก ลี่อินที่
ป๋อฉิวไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ของนาง เขาอดที่จะจุกในอกไม่ได้ สุดท้ายแล้วอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวที่ต้องการคนปลอบประโลมชิงชางกับหลีจิ้งทรุดตัวลงอย่างสิ้นแรง ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการระเบิดพลังครั้งนี้ของจือหลินแต่เพียงไม่นาน ร่างกายที่ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แม้แต่โรคที่รักษาไม่หายเมื่อถูกแสงสีขาวของจือหลินต่างก็หายราวปาฏิหาริย์ เรื่องนี้ชาวเมืองที่หนีไม่ทันจากแสงก็รับรู้ได้เช่นกันชาวชราที่เดินกลับเรือนเขาไม่อาจวิ่งหนีได้เช่นคนหนุ่มสาว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งร่างกายที่ทรุดโทรมก็กลับแข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจคนขอทานที่ขาหัก ล้มอยู่ที่พื้น เพราะโดนชนจนหนีไม่ทันก็กลับมาลุกขึ้นเดินได้เมื่อแสงสีขาวหายไปกลายเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ชาวเมืองทั้งหมดต่างออกจากเรือนเพื่อมารอแสงสีขาวอีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลยป๋อฉิวประคองบุตรสาวขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะร่ำลาสองพ่อลูกกับจวนของตนไป“หลินเออร์” ชิงชางร้องเรียกนาง“ท่านจัดการเรื่องของท่านเถิด ข้าจะกลับจวนเพื่อไปดูมารดาและน้องชาย” จือหลินนางไม่ได้หันไปมองชิงชางเลยสักนิดจือหลินพูดจบนางก็หมดสติไปทันที เพราะการระเบิดพลังและการเลื่อนขั้นที่เกิดข