หลี่หยุนฟางกินขนมตรงหน้า พลางมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเจ้าบ่าวด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างอึดอัด
เขานั่งมองเธอกินไม่ขยับลุกไปไหน ความทรงจำเดิมคือเฉินเซียนหมั้นหมายกับตนตั้งแต่วัยเด็ก
ในตอนนั้นร้านค้าของชำของบ้านสกุลเฉินรุ่งเรืองและร่ำรวย ครอบครัวของตนจึงได้ตกลงที่จะหมั้นหมายเอาไว้ เฉินเซียนจึงปักใจให้แก่ตนตั้งแต่วัยเพียงเจ็ดขวบ ขณะที่เธอนั้นคิดกับเขาเป็นเพียงแค่เพื่อนเล่นในวัยเด็กไม่ได้จริงจังอะไร
แต่พอบิดาได้เสียชีวิตไป มารดาแต่งงานใหม่และมีพ่อเลี้ยงเข้ามาอยู่ในบ้าน พร้อมกับลูกชายที่เกิดมาเป็นโซ่ทองคล้องรัก หญิงสาวก็กลายเป็นลูกที่พวกเขาไม่ต้องการ
เมื่อการซื้อสินค้าด้วยคูปองเริ่มส่งผลกระทบต่อร้านขายของชำ สกุลเฉินเริ่มตกต่ำลงเพราะนโยบายที่ให้ใช้คูปองในการจับจ่าย
ร้านขายของชำหลายที่ที่ไม่เข้าร่วมระบบการขายของด้วยคูปองจึงเริ่มปิดตัวลง เพราะคนส่วนใหญ่ จะใช้จ่ายผ่านคูปองตามที่รัฐบาลจัดสรร ส่วนน้อยเท่านั้นที่จะใช้เงินจับจ่ายสินค้าประเภทอื่น
เมื่อบ้านสกุลเฉินเริ่มถึงคราววิกฤต พ่อเลี้ยงที่มีกิจการขายพะโล้หมูตุ๋นกับแม่ของเธอเองจึงเร่งให้เธอรีบแต่งงาน เพื่อที่พวกเขาจะย้ายไปอยู่ที่ต่างเมืองเพราะเกรงว่าสกุลเฉินจะมารบกวนหยิบยืมเงินทองของตน
วันที่แต่งงานพอสินสอดถึงบ้าน พวกเขาก็ย้ายของไปโดยไม่สนใจเธอด้วยซ้ำ ยิ่งความทรงจำเหล่านี้ฉายชัดขึ้นเท่าไร ก็เข้าใจความรู้สึกของร่างเดิมที่ซดยาพิษหวังปลิดชีพตัวเอง
“อาเซียน เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ นายจะใส่ชุดนี้ไปอีกนานเท่าไรเชียว ไม่ร้อนหรือ”
“ขอบใจที่เป็นห่วงนะอาฟาง เดี๋ยวฉันจะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้แหละ” เฉินเซียนเป็นคนที่ซื่อๆ ตรงและไร้พิษสง
แต่ใบหน้าหล่อเหล่าของเขากับความซื่อตรงนี้ไม่ได้ทำให้ร้านขายของชำเจริญรุ่งเรืองขึ้นแม้แต่น้อย บางทียังถูกเอาเปรียบเสียด้วยซ้ำ เพราะมีบางคนปลอมคูปองมาซื้อของ แล้วยังมีร้านขายของแบบครบวงจรมาเปิดในเมือง ทำให้คนแห่ไปซื้อที่อื่นมากกว่า
ไหนจะต้องเอาเงินเก็บมาจัดงานแต่งงานอีก ถึงจะเป็นพิธีเล็กๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่ก็น่าจะหมดไม่ต่ำกว่า หนึ่งร้อยหยวน
เฉินเซียนเปลี่ยนเป็นชุดที่เตรียมตัวเข้านอน เขายังคงจ้องมองเธอจนหลี่หยุนฟางตัดสินใจที่จะพูดกับเขาตรงๆ เพราะหากเป็นเจ้าของร่างเดิมก็คงไม่เต็มใจร่วมหอกับเขาแน่
“อาเซียน เรามีเรื่องที่จะต้องตกลงกัน” น้ำเสียงที่จริงจัง และขนมที่เธอวางลง ทำให้เจ้าบ่าวลดยิ้มลงเล็กน้อยแล้วจ้องมองอีกฝ่ายว่าตั้งใจจะพูดอะไรออกมา
“เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก นายก็น่าจะรู้ว่าฉันคิดกับนาย”
“ฉันรู้ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ยอมแต่งงานกับฉัน ฉันดีใจมากเลย” เขาพูดด้วยแววตาที่เป็นประกาย
หลี่หยุนฟางสูดลมหายใจ รวบรวมความกล้าที่จะพูดบางสิ่งที่สำคัญกับเขา และสำคัญต่อชีวิตของเธอที่ต้องติดอยู่ในยุคนี้
“ฉันขอบอกตามตรงนะ เดิมทีฉันนัดคุณชายซิ่วให้พาฉันหนีงานแต่งงานในวันนี้ แต่เขาไม่มาตามนัด ฉันจึงต้องแต่งงานกับนายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ประโยคนั้นราวกับเอามีดมากรีดแล้วจ้วงแทงกลางใจของเฉินเซียน เขามีใบหน้าที่เศร้าลง แววตา เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนหญิงสาวรู้สึกผิด
ด้วยความที่เธอเป็นคนตรงไปตรงมา จึงไม่อยากเสแสร้งหรือปิดบังอะไรออกไป ยกเว้นเรื่องที่ตนทะลุมิติมาอยู่ในร่างเจ้าสาวนี้
“แต่ในเมื่อเราได้แต่งงานกันแล้ว ฉันก็จะตัดใจจากเขา และจะซื่อสัตย์ต่อนายและสกุลเฉิน ให้เวลาฉันหน่อยได้หรือไม่” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและมั่นคง
เฉินเซียนยิ้มออกมาด้วยความดีใจอีกครั้ง ไม่อยากจะเชื่อหูว่าเธอจะเป็นฝ่ายขอโอกาสในการปรับตัวเข้าหาเขาด้วยตนเอง
“ดะ ได้สิอาฟาง ได้แน่นอนอยู่แล้ว” เขาพูดด้วยความดีใจ แล้วขยับเข้ามานั่งเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ใบหน้าแสดงความยินดีและรักใคร่อย่างเปิดเผย
“ดังนั้น จนกว่าฉันจะรักนาย เราจะยังไม่ได้ร่วมหอกัน นายเห็นว่าอย่างไร”
“ได้สิ ขอแค่มีเธออยู่ข้างๆ ฉันจะรอวันที่เธอรักฉันด้วยหัวใจ ถึงตอนนั้นหากเธอยินยอมพร้อมใจเราก็จะเป็นสามีภรรยากันโดยสมบูรณ์” เฉินเซียนคนซื่อพูดด้วยความยินดี
เขาเองก็ไม่อยากฝืนใจใคร และในเมื่อเธอขอร้องเขา ทำไมสามีคนนี้จะให้ไม่ได้ ในเมื่อเขาก็รักเธอมาเนิ่นนานแล้ว
“ขอบใจนะอาเซียน” หญิงสาวยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ และโล่งใจที่อีกฝ่ายตอบตกลงข้อเสนอง่ายได้กว่าที่คิด
อย่างน้อยเธอก็มีเวลาที่จะทำความคุ้นเคยกับเขาก่อน หากหาทางกลับไปไม่ได้จริงๆ ก็ต้องเป็นคุณนายเฉินอยู่ที่นี่ต่อไป และต้องหาทางปรับตัวอยู่ให้ได้
************************
ในตอนเช้า หลี่หยุนฟางลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วมองไปยังรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเศร้า เมื่อเธอยังอยู่ในห้องและข้างๆ มีเฉินเซียนกำลังนอนหลับอยู่
หญิงสาวมั่นใจแล้วว่าไม่ได้ฝันไป เธอทะลุมิติย้อนมาอยู่ในปี 1976 ตามความทรงจำเดิมของเจ้าของร่างนี้ที่ทยอยกลับคืนสู่สมองจนอัดแน่นไปด้วยข้อมูล
เฉินเซียนยังคงหลับใหลอยู่บนเตียงนอนไม้ที่เข้ากับยุคสมัย เธอลงจากเตียงอย่างระมัดระวังไม่ให้รบกวนการนอนของเขา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดที่สวมใส่สบายแล้วเดินออกไปสำรวจภายในบ้าน
บ้านสกุลเฉินนอกจากจะมีเฉินเซียนแล้ว ก็ยังมี โจวชิงหลิน มารดาของเขาอีกหนึ่งคน
เธอล้มป่วยจนทำให้เดินไม่ได้ และต้องนอนติดเตียงในห้อง ดังนั้นหน้าที่เปิดร้านขายของชำในยามเช้าจึงเป็นของเฉินเซียนแต่เพียงผู้เดียว
ในขณะที่เธอกำลังคิดอยู่ว่าจะทำอะไรเป็นอันดับแรกหลังจากที่แต่งงานเข้ามาอยู่บ้านสามี เฉินเซียนก็ตื่นนอนแล้วเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส
“เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่”
“อืม หลับสบายดี ว่าแต่มีอะไรให้ฉันช่วยทำหรือไม่ ฉันยังไม่รู้หน้าที่ของตัวเองเลย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เอาจริงเอาจัง ไม่ใช่แค่พูดให้ตัวเองดูดี
“ปกติแล้ว พอฉันตื่นมาก็จะมาพาแม่ไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็ให้ท่านเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยพาท่านไปนั่งอยู่ที่หน้าบ้าน หลังจากนั้นฉันก็จากมาเข้าครัวทำกับข้าว เสร็จแล้วฉันก็จะเปิดร้าน” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ลดยิ้มลงเล็กน้อย
บ้านสกุลเฉินกำลังตกต่ำลงเรื่อยๆ ตั้งแต่มีระบบคูปองบิดาของเขาก็ตรอมใจกับเรื่องนี้จนล้มป่วยและเสียชีวิตไป เงินเก็บที่มีก็ใช้ในการหมุนเวียนใช้จ่ายจนแทบจะไม่เหลือเก็บแล้ว
“เอาอย่างนี้ หน้าที่ดูแลแม่ เดี๋ยวฉันจะรับผิดชอบเอง ส่วนเรื่องทำกับข้าวก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน นายมีหน้าที่เปิดร้านเท่านั้นก็พอ”
“อืม ขอบใจนะอาฟาง” เฉินเซียนยิ้มด้วยความยินดี ชีวิตหลังแต่งงานกับเธอดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้
ภรรยาในนามไม่ได้มีท่าทีเศร้า หรือเอาแต่คิดถึงชายคนอื่น แต่เธอตัดสินใจที่จะปรับตัวเข้าหาเขา มันเป็นสิ่งที่ทำให้เฉินเซียนประทับใจเป็นอย่างมาก เชื่อว่าสักวันเธอจะต้องรักเขาในที่สุด
************************
ปี 1985 มินิมาร์ทต้าเฉินได้ย้ายไปขายชั่วคราวในที่ดินที่ซื้อใหม่ ในส่วนของร้านขายเฟอร์นิเจอร์ไม้ของเฉินเซียนที่ดินแปลงข้างๆ ยาวลงไปเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้าจะทำเป็นร้านขายเครื่องเรือน แต่ตอนนี้ย้ายของที่มินิมาร์ทมาขายชั่วคราวในระหว่างที่กำลังก่อสร้าง ‘ต้าเฉินซูเปอร์มาร์เก็ต’ด้านหลังของที่ดินเป็นส่วนของโรงงานและโกดังเก็บสินค้า ที่ตอนนี้มีช่างไม้จำนวนสิบคน ยังไม่เปิดขายหน้าร้านอย่างเป็นทางการ เพราะตลอดห้าปีที่ผ่านมารับทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ตามสั่งจนไม่มีเวลาผลิตขายการก่อสร้างต้าเฉินซูเปอร์มาร์เก็ตน่าจะใช้เวลาอีกสี่เดือนจึงจะแล้วเสร็จ ในระหว่างนี้หลี่หยุนฟางดูแลที่ร้านเต็มตัวและคอยอบรมความรู้ใหม่ๆ ให้พนักงานอยู่เสมอยิ่งร้านพัฒนามาเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ เธอก็อดภูมิใจในตัวเองไม่ได้ มองย้อนไปเมื่อเก้าปีที่แล้วเธอยังนั่งปัดฝุ่นสินค้าในร้านชำอยู่เลยสามปีก่อนพวกตนกลับไปที่หมู่บ้านเดิมในเมืองซีหยวนเขตฝั่งผู่ซี เพื่อร่วมงานแต่งงานของเจียงหมิง ที่นั่นยังไม่ได้รับการพัฒนาเทียบเท่าเขตที่ตนอยู่ด้วยซ้ำรถยี่ห้อหรูที่นั่งกลับไปพร้อมกับเสื้อผ้าที่ทันสมัยและเครื่องประดับราคาแพง ทำให้ชาวบ้านที
โรงงานไม้ของเฉินเซียนมีคนในเมืองนั้นมาสมัครงานช่างไม้ หยวนคังพอมีฝีมืออยู่บ้างเฉินเซียนจึงรับมาช่วยงานดูก่อนเฉินเซียนและลูกมือของเขาช่วยกันทำชุดโต๊ะและเก้าอี้เอาไว้เตรียมขาย ขณะที่หน้าร้านยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยใช้ไม้ของตนที่ตัดเอาไว้ตอนปรับปรุงพื้นที่ และขอซื้อต่อจากเจ้าของที่ดินที่กำลังปรับปรุงที่ดินบริเวณใกล้เคียงในราคาถูก เพราะดีกว่าขนเอาไปทิ้งที่อื่นโต๊ะไม้ที่หลี่หยุนฟางช่วยออกแบบดูแปลกตาและทันสมัย โต๊ะอาหารแบบมีแป้นหมุนตรงกลางแปลกใหม่สำหรับผู้คนแถบนี้มาก เพียงทำตัวอย่างออกมาชุดเดียวยังไม่ทันขัดไม้และลงเงาด้วยซ้ำ คนที่มาซื้อของที่มินิมาร์ทเดินผ่านไปเห็นก็ถึงกับสั่งจองทันทีเฉินเซียนจึงได้โอกาส เสนอลิ้นชักไม้ ชั้นวางของ เตียง และตู้เสื้อผ้าแบบเข้าชุด ทำให้ลูกค้าเศรษฐีที่กำลังวางแผนสร้างบ้านพักในแถบนี้ตัดสินใจที่จะให้เขาทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ให้แก่บ้านทั้งหลัง เพราะนิยมงานไม้มากกว่างานของต่างชาติกิจการมินิมาร์ทก็ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ จนต้องสั่งสินค้าให้มาส่งที่ร้านทุกๆ สามวันเพราะสินค้าแทบไม่พอต่อความต้องการจากเงินเก็บที่มีหลักหมื่น เพิ่มเป็นหลักแสนเพียงระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน
กระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้เด็กถูกมัดไว้บนหลังคารถ เจียงหมิงและยายของเขายืนรอส่งครอบครัวสกุลเฉินอยู่ที่หน้าบ้านด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์และซาบซึ้งในบุญคุณที่มอบให้“ผมจะดูแลบ้านสกุลเฉินให้ดี และจะทำให้ร้านขายงานไม้ของผมเจริญรุ่งเรือง หาเงินจ่ายค่าเช่าให้เถ้าแก่ตรงตามเวลาอย่างแน่นอน”“เอาเงินส่วนนั้นใจให้แม่ยายฉันเถอะ ถ้าเธอมาถามนายก็ให้เธอได้เลยไม่ต้องส่งให้ฉัน แต่หากเธอไม่กล้ามาเอานายก็เก็บเอาไว้ ถ้าตอนไหนได้ผ่านมาเมืองนี้ฉันจะแวะมาหา”“ครับเถ้าแก่” เจียงหมิงรับปากด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ เฉินอ้ายเฟยเดินเข้าไปกอดขา แล้วดึงชายเสื้อให้เจียงหมิงอุ้มขึ้นไปเขาอุ้มเด็กชายตัวน้อยที่ช่วยเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ มือน้อยๆ นั้นวางที่แก้มแล้วเช็ดน้ำตาให้“ไม่ร้องนะอาหมิง” เสียงเล็กๆ ที่พูดไม่ค่อยชัดนั้นพยายามปลอบใจชายหน้าดุจนเขายิ้มออกมา“แล้วพบกันใหม่นะครับนายน้อย” เจียงหมิงวางเด็กชายลง จากนั้นก็เปิดประตูรถส่งคุณชายตัวน้อยขึ้นรถไป ในขณะที่หลี่หยุนฟางอุ้มลูกน้อยวัยสี่เดือนเอาไว้แล้วยิ้มลาเขากับยายจางจินเองก็เดินมาส่งโจวชิงหลิน พร้อมกับขนมให้เอาไว้กินระหว่างทาง“คุณนายเฉินขอ
ข้าวของในร้านของร้านขายของชำสกุลเฉินเริ่มร่อยหรอลงไป แต่ก็ไม่มีการซื้อเข้ามาเพิ่ม หลายคนต่างพูดถึงเรื่องนี้ในวงกว้างแม้โจวชิงหลินจะพยายามบอกว่าขายของเพื่อเตรียมจะย้ายบ้านแต่ก็ไม่มีใครเชื่อ และคิดว่าบ้านสกุลเฉินนั้นกำลังตกอับไม่มีเงินซื้อของเข้ามาขายในร้านบ้างก็เชื่อว่าอีกฝ่ายจะย้ายเพื่อหนีหนี้ หากมีเงินเก็บจริง ทำไมบ้านหลังเก่าทรุดโทรมแห่งนี้ถึงไม่ได้รับการต่อเติมให้ดูดี ยิ่งคำพูดออกมาจากปากแม่หม้ายกู่สองแม่ลูก ก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านเริ่มพูดถึงเรื่องนี้อย่างหนาหูเฉินเซียนและเจียงหมิง ในช่วงนี้พวกเขาก็ไม่รับทำงานไม้ เดินทางออกไปตั้งแต่เช้าและกลับมาตอนเย็นแทบจะทุกวันเพื่อดูแลงานก่อสร้าง แต่ชาวบ้านกลับมองว่าทั้งสองออกไปหางานทำที่อื่นเพราะว่างานไม้นั้นไม่สามารถขายออกได้แล้ว“อยากรีบไปแล้ว เมื่อไหร่เราจะได้ไปจากที่นี่เสียที” โจชิงหมิงพูดด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความอึดอัด เธอยังใจไม่แข็งพอที่จะรับฟังคำนินทาจากพวกเพื่อนบ้านเหล่านั้นแม้ลูกสะใภ้และลูกชายจะปลอบใจอยู่บ่อยครั้งว่าที่ใหม่นั้นจะดีกว่าที่เดิม แต่เธอยังไม่เห็นกับตา มันจะจริงเท็จแค่ไหนก็ไม่รู้รู้แต่ว่าเงินในบัญชีของบ้านนั้นถูกใช้
ในฤดูหนาว ปลายปี ค.ศ. 1978 เฉินอ้ายเฟยในวัยขวบเศษกำลังจ้องมองน้องสาวที่กำลังหัดพลิกคว่ำอยู่บนเบาะนิ้วน้อยๆ เลื่อนเข้าไปจิ้มแก้มป่องๆ นั้นด้วยความมันเขี้ยว แต่ก็ทำได้เพียงแค่แตะเบาๆ เพราะกลัวว่าน้องสาวจะเจ็บหลี่หยุนฟางมองภาพที่น่าเอ็นดูนั้น ทั้งสองนอนเล่นอยู่กลางเตียงโดยมีเธอและสามีนอนกั้นขอบเตียงเอาไว้“อากาศหนาวแบบนี้ไม่อยากเปิดร้านขายของเลย อยากนอนขี้เกียจอยู่ในผ้าห่มเสียมากกว่า”หลี่หยุนฟางบ่นแล้วอ้าปากหาวนอน เธอต้องตื่นมาให้นมเฉินเยว่อิงทั้งคืน ตอนนี้จึงไม่อยากลุกตื่นขึ้นไปไหน“แม่บอกว่าไม่ต้องให้คุณออกไปช่วยที่ร้าน ท่านเข้าใจว่าคุณเลี้ยงเด็กๆ เหนื่อยแค่ไหน ไม่ต้องไปฟังเสียงชาวบ้านหรอก ขอแค่เราเข้าใจกันเท่านั้นก็พอ” เฉินเซียนบอกภรรยาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มปากของสองแม่ลูกสกุลกู่ที่เป็นม่ายทั้งสอง หม้ายกู่เล็ก หม้ายกู่ใหญ่ เป็นปากที่ช่างไม่เคยอยู่สุขรู้ทั้งรู้ว่าภรรยาของเขากำลังเลี้ยงลูกน้อยทั้งสองคนจนไม่มีเวลาพักผ่อน มารดาของเขาจึงออกไปช่วยขายของที่ร้านชำ แต่กลับนินทาว่าเธอขี้เกียจไม่ทำงานปล่อยให้แม่สามีและสามีทำงานกันอยู่ลำพัง โดยที่ตัวเองนั่งสุขสบายไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูเหมือนว่าหลี
เฉินอ้ายเฟย ทารกวัยหกเดือนกำลังนั่งบนรถหัดเดินที่เลียนแบบรถหัดเดินในยุคปัจจุบัน ถูกทำขึ้นโดยฝีมือของเฉินเซียนและการออกแบบของหลี่หยุนฟางบริเวณที่นั่งถูกเจาะรูตรงกลางแล้วใส่ผ้าผูกเอาไว้สำหรับนั่ง ความสูงอยู่ในระดับที่ขาแตะพื้นพอดีทำให้เจ้าตัวน้อยสามารถใช้เท้าไถไปมาวิ่งเล่นได้อย่างอิสระในพื้นที่คับแคบอย่างในร้านขายของชำ ตอนนี้จึงได้แต่นั่งนิ่งไม่สามารถขยับไปไหนได้ แต่เท้าก็ยังแตะพื้นโยกไปมาพร้อมทั้งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความชอบใจ อารมณ์ดีทั้งวันเป็นที่รักและเอ็นดูแก่ผู้พบเห็นรถหัดเดินสำหรับเด็กจึงถูกถามหาเป็นจำนวนมาก มีบางคนบอกว่าเคยเห็นเก้าอี้แบบนี้วางขายในเมืองเป็นสินค้าจากต่างประเทศ ทำให้หลี่หยุนฟางรู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของแปลกใหม่สำหรับยุคนี้ เพียงแค่ที่นี่เป็นชนบทของสิ่งนี้จึงยังมาไม่ถึงเท่านั้นเองแต่ถึงอย่างนั้นก็ได้รับความสนใจของบ้านที่มีเด็กวัยไล่เลี่ยกันกับลูกชายของเธอ ดังนั้นจึงมีคนสั่งทำอยู่จำนวนหนึ่งเพื่อที่จะให้เด็กน้อยได้นั่งและหัดเดิน ในยามที่ผู้ใหญ่กำลังกินข้าวหรือว่าทำงานบ้านจะได้ไม่ต้องคอยอุ้มอยู่ตลอดโจวชิงหลินที่ตอนนี้สามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่วราวกับคนที่ไม่เคยเจ็บป่