หลี่หยุนฟางไปที่ห้องของโจวชิงหลิน ช่วยพยุงหญิงวัยสี่สิบสองนั่งที่รถเข็นไม้ที่มีล้อ จากนั้นก็พาเธอไปที่ห้องน้ำที่ด้านหลัง
“รบกวนเธอแล้วนะอาฟาง”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะป้าโจว ฉันเป็นลูกสะใภ้ของป้านี่คะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
เธออยู่ที่นี่ก็ต้องช่วยงานบ้านและทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพราะนั่นหมายถึงอนาคตและความอยู่รอดของเธอเอง อีกอย่างเท่าที่จำได้ โจวชิงหลินก็เอ็นดูตนอยู่มาก
“เป็นสะใภ้แล้ว เรียกแม่เถอะ”
“ค่ะ แม่” เธอเรียกสรรพนามนั้นอย่างไม่มีเขินอายหรือว่าแสดงความไม่เต็มใจ
เมื่อถึงห้องน้ำ เธอพยุงโจวชิงหลินให้นั่งยังเก้าอี้ไม้ที่ทำรูเอาไว้ ครอบเหนือส้วมซึมแบบเก่าเพื่อใช้ขับถ่าย ดูคล้ายกับเก้าอี้ขับถ่ายของผู้ป่วยในปัจจุบันที่ยายของเธอเคยใช้
เลื่อนถังน้ำมาวางที่ข้างๆ เธอแล้วตักน้ำให้ พร้อมกับช่วยถอดเสื้อผ้าโดยไม่ได้มีท่าทีรังเกียจ
“แม่อาบน้ำรอฉันก่อนนะคะ ฉันจะไปทำความสะอาดที่นอน เดี๋ยวกลับมา”
“อืม” โจวชิงหลินพยักหน้าด้วยความกระดากอาย ปกติแล้วเธอจะร้องเรียกลูกชายให้พาไปห้องน้ำยามดึก
แต่เมื่อคืนนี้เป็นคืนเข้าหอ เธอไม่ได้เรียก จึงปัสสาวะรดบนที่นอน ลูกสะใภ้ก็ไม่ได้รังเกียจแล้วยังช่วยทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ
หลี่หยุนฟาง เดิมทีเธอคือ เมี่ยวซาน หญิงสาวเคยดูแลยายที่แก่ชราเป็นผู้ป่วยติดเตียงตั้งแต่เธอยังเด็ก จนกระทั่งยายของเธอเสียไปก่อนหน้านี้เพียงสามปี แค่ดูแลแม่สามีในยุคนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
พอเธอทำความสะอาดห้องและนำที่นอนมาตากเสร็จแล้ว จึงกลับไปหาแม่สามีที่รออยู่ ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วใช้รถเข็นพาไปนั่งที่หน้าบ้าน ท่ามกลางสายตาที่ชื่นชมของเพื่อนบ้าน ที่เห็นลูกสะใภ้ดูแลแม่สามีดีจนผิดคาดจากที่เคยพูดนินทาเอาไว้
“แม่นั่งเล่นอยู่นี่นะคะ ฉันจะไปทำกับข้าวในครัว” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ จากนั้นจึงเดินเข้าไปในบ้านเพื่อที่จะทำอาหารเช้าในวันนี้ ด้วยความทรงจำของหลี่หยุนฟาง ผสานกับฝีมือการปรุงอาหารในยุคปัจจุบันที่เธอจากมา
“หลี่หยุนฟางไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราคิดเอาไว้เลยคุณนายจาง ดูสิเธอไม่ได้รังเกียจฉันแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้หรือเป็นฉันเองที่คิดมาก” โจวชิงหลินพูดด้วยน้ำเสียงที่วางใจ
“นั่นสิ ใครๆ ก็รู้ว่าลูกสะใภ้เธอมีใจให้กับลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านข้างๆ ใครจะไปคิดว่าถูกบังคับให้แต่งงานกับอาเซียนแล้ว นอกจากจะไม่ต่อต้าน ยังทำตัวเป็นลูกสะใภ้ที่ดีอีกอย่างนี้ เฉินเซียนถือว่ามีวาสนาแล้ว” คุณนายจางพูดเอาใจเพื่อนบ้าน
โจวชิงหลินพยักหน้ายิ้มอย่างพอใจ แค่อีกฝ่ายดีกับตนและลูกชาย และเป็นสะใภ้ที่ดีของสกุลเฉิน อดีตจะรักใครชอบใคร หรือเป็นอย่างไรเธอก็ไม่สนใจทั้งนั้น เพราะทุกคนย่อมผิดพลาดกันได้
ไก่ทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน ไข่ผัดมะเขือเทศ และแกงจืดผักกาดขาว เป็นอาหารอย่างง่ายที่เธอทำเป็นมื้อแรกหลังจากที่มาอยู่ที่นี่
“แม่กินเยอะๆ นะคะ ตอนสายๆ ฉันจะพาแม่ทำกายภาพบำบัด” เธอบอกแม่สามีด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังดี
เฉินเซียนถึงกับยิ้มไม่หุบ เมื่อภรรยาและแม่เข้ากันได้ดีกว่าที่คิดเอาไว้
“จริงสิ ครอบครัวเธอ เขาย้ายไปต่างเมืองแบบนั้น ส่งเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวแทนที่ครอบครัวฝ่ายหญิงจะตามมา กลับขนของย้ายบ้านไปพร้อมกับสินสอด แบบนี้เกินไปแล้ว แต่เธอไม่ต้องคิดมากนะอาฟาง แม่กับอาเซียนจะเป็นครอบครัวให้เธอเอง” โจวชิงหลินบอกลูกสะใภ้ แล้วคีบไก่ทอดชิ้นใหญ่ที่สุดให้เธอ
หลี่หยุนฟางยิ้มรับด้วยความดีใจ เธอเองก็ไม่ต่างจากเจ้าของร่างที่อาศัยอยู่ ไม่มีญาติมิตรที่ไหนเหลืออยู่ และยิ่งมาอยู่ที่นี่ก็เหมือนกับตัวคนเดียว แปลกที่แปลกทาง วิถีชีวิตก็ต่างจากปัจจุบันมาก
การที่มีคนรักและต้อนรับอย่างอบอุ่น เธอซาบซึ้งใจ และต้องรับโอกาสนี้เอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าจะได้กลับไปตอนไหน หรือไม่ได้กลับไปอีกเลย
“ขอบคุณค่ะแม่” เธอตอบรับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มหวาน คีบอาหารให้แม่สามีอีกครั้ง และครั้งนี้หันไปคีบให้เฉินเซียนด้วย ทำให้เขาถึงกับอมยิ้มอย่างพอใจ
“จริงสิ วันนี้ลูกต้องเอาคูปองไปแลกในเมือง งั้นก็ให้อาฟางช่วยเฝ้าร้านแทนสิ”
เฉินเซียนหันไปมองหน้าภรรยาด้วยความเกรงใจ กลัวว่าเธอจะอึดอัดที่แม่ของตนจุ้นจ้านและชอบจัดแจงอะไรแบบนี้
เธอรับรู้ได้ถึงความลำบากใจของเขา แต่ก็ยิ้มรับด้วยความเต็มใจ “เอาสิ ฉันจะเฝ้าร้านเอง อันไหนที่ไม่ได้ใช้คูปองนายเขียนราคาไว้ก็แล้วกัน”
“ตายจริง พวกลูกแต่งงานกันแล้ว จะเรียกกันแบบตอนสมัยเด็กได้อย่างไรเล่า ใครเขามาได้ยินเข้าจะนินทาเอาได้ เรียกใหม่ให้เป็นทางการขึ้นดีกว่า”
“แม่ครับ” เฉินเซียนปรามมารดาเอาไว้ เพราะสิ่งที่ขอนั้นอาจจะทำให้ภรรยาลำบากใจ เขาอยากให้เธออยู่ที่นี่อย่างมีความสุขที่สุด
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณ” เธอเรียกสรรพนามที่ดูเป็นทางการตามที่โจวชิงหลินบอก
เฉินเซียนหน้าแดงด้วยความเขินและประทับใจ หัวใจของเขาเต้นรัวเมื่อได้ยินสรรพนามที่ดูเหมือนสามีภรรยามากกว่าเพื่อนเล่นวัยเด็ก
“อาฟางน่าเอ็นดูจริงๆ เลยเชียว เห็นไหมว่าสะใภ้ของแม่เชื่อฟังและเป็นคนช่างเอาใจมากแค่ไหน ลูกต้องดูแลเธอดีๆ นะอาเซียน” โจวชิงหลินยิ้มกว้างอย่างชอบใจ
จริงๆ แล้วเธอแค่แกล้งทดสอบดูเท่านั้นว่าหลี่หยุนฟางจะรับมือกับเธอในแบบที่ขี้จุกจิกอย่างไร ตอนนี้รู้แล้วว่าลูกสะใภ้วัยสิบแปดปีคนนี้ เป็นคนอ่อนน้อมและเชื่อฟังกว่าที่คิด
“เดี๋ยวผมเขียนรายการไว้ให้นะ”
เขาใช้สรรพนามแทนตัวนั้นด้วยความตื่นเต้น
หลี่หยุนฟางที่มีความเป็นสาวสมัยใหม่ที่ติดตัวมาแต่แรก เธอไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือเหนียมอายกับสรรพนามเหล่านี้ แต่กลับมองท่าทีของสามีที่ดูน่าจะเขินกับสรรพนามนี้เสียเองด้วยความเอ็นดู
หลังมื้ออาหาร สะใภ้สาวก็เข็นเก้าอี้ไม้รถเข็นของแม่สามีเพื่อไปส่งที่ห้องนอน
ก่อนหน้านี้หลี่หยุนฟางไม่ได้มาเยี่ยมเยียน จึงไม่ค่อยได้คุยกันอย่างตอนเป็นเด็กที่เธอเคยมาวิ่งเล่นกับลูกชาย จึงชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปทั่ว
แต่ส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องเฉินเซียนให้เธอฟังเสียมากกว่า หลี่หยุนฟางไม่ใช่คนโง่ เธอรู้ว่าแม่สามีต้องการจะทำอะไร โจวชิงหลินคงกังวลกับความพิการของตนแล้วกลัวว่าเธอจะทิ้งลูกชายคนเดียวไป
“อาเซียนรักเธอมากนะอาฟาง”
“ฉันรู้ค่ะ ฉันจะดูแลแม่กับอาเซียนเป็นอย่างดี แต่งเข้าสกุลเฉิน แม้ตายก็เป็นผีสกุลเฉิน ฉันไม่มีวันทอดทิ้งเขาไปแน่” หญิงสาวตอบรับให้แม่สามีวางใจ
เธอจะไปไหนได้ล่ะ ในเมื่อเธอไม่มีที่ไปเลยสักที่
************************
ปี 1985 มินิมาร์ทต้าเฉินได้ย้ายไปขายชั่วคราวในที่ดินที่ซื้อใหม่ ในส่วนของร้านขายเฟอร์นิเจอร์ไม้ของเฉินเซียนที่ดินแปลงข้างๆ ยาวลงไปเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้าจะทำเป็นร้านขายเครื่องเรือน แต่ตอนนี้ย้ายของที่มินิมาร์ทมาขายชั่วคราวในระหว่างที่กำลังก่อสร้าง ‘ต้าเฉินซูเปอร์มาร์เก็ต’ด้านหลังของที่ดินเป็นส่วนของโรงงานและโกดังเก็บสินค้า ที่ตอนนี้มีช่างไม้จำนวนสิบคน ยังไม่เปิดขายหน้าร้านอย่างเป็นทางการ เพราะตลอดห้าปีที่ผ่านมารับทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ตามสั่งจนไม่มีเวลาผลิตขายการก่อสร้างต้าเฉินซูเปอร์มาร์เก็ตน่าจะใช้เวลาอีกสี่เดือนจึงจะแล้วเสร็จ ในระหว่างนี้หลี่หยุนฟางดูแลที่ร้านเต็มตัวและคอยอบรมความรู้ใหม่ๆ ให้พนักงานอยู่เสมอยิ่งร้านพัฒนามาเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ เธอก็อดภูมิใจในตัวเองไม่ได้ มองย้อนไปเมื่อเก้าปีที่แล้วเธอยังนั่งปัดฝุ่นสินค้าในร้านชำอยู่เลยสามปีก่อนพวกตนกลับไปที่หมู่บ้านเดิมในเมืองซีหยวนเขตฝั่งผู่ซี เพื่อร่วมงานแต่งงานของเจียงหมิง ที่นั่นยังไม่ได้รับการพัฒนาเทียบเท่าเขตที่ตนอยู่ด้วยซ้ำรถยี่ห้อหรูที่นั่งกลับไปพร้อมกับเสื้อผ้าที่ทันสมัยและเครื่องประดับราคาแพง ทำให้ชาวบ้านที
โรงงานไม้ของเฉินเซียนมีคนในเมืองนั้นมาสมัครงานช่างไม้ หยวนคังพอมีฝีมืออยู่บ้างเฉินเซียนจึงรับมาช่วยงานดูก่อนเฉินเซียนและลูกมือของเขาช่วยกันทำชุดโต๊ะและเก้าอี้เอาไว้เตรียมขาย ขณะที่หน้าร้านยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยใช้ไม้ของตนที่ตัดเอาไว้ตอนปรับปรุงพื้นที่ และขอซื้อต่อจากเจ้าของที่ดินที่กำลังปรับปรุงที่ดินบริเวณใกล้เคียงในราคาถูก เพราะดีกว่าขนเอาไปทิ้งที่อื่นโต๊ะไม้ที่หลี่หยุนฟางช่วยออกแบบดูแปลกตาและทันสมัย โต๊ะอาหารแบบมีแป้นหมุนตรงกลางแปลกใหม่สำหรับผู้คนแถบนี้มาก เพียงทำตัวอย่างออกมาชุดเดียวยังไม่ทันขัดไม้และลงเงาด้วยซ้ำ คนที่มาซื้อของที่มินิมาร์ทเดินผ่านไปเห็นก็ถึงกับสั่งจองทันทีเฉินเซียนจึงได้โอกาส เสนอลิ้นชักไม้ ชั้นวางของ เตียง และตู้เสื้อผ้าแบบเข้าชุด ทำให้ลูกค้าเศรษฐีที่กำลังวางแผนสร้างบ้านพักในแถบนี้ตัดสินใจที่จะให้เขาทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ให้แก่บ้านทั้งหลัง เพราะนิยมงานไม้มากกว่างานของต่างชาติกิจการมินิมาร์ทก็ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ จนต้องสั่งสินค้าให้มาส่งที่ร้านทุกๆ สามวันเพราะสินค้าแทบไม่พอต่อความต้องการจากเงินเก็บที่มีหลักหมื่น เพิ่มเป็นหลักแสนเพียงระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน
กระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้เด็กถูกมัดไว้บนหลังคารถ เจียงหมิงและยายของเขายืนรอส่งครอบครัวสกุลเฉินอยู่ที่หน้าบ้านด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์และซาบซึ้งในบุญคุณที่มอบให้“ผมจะดูแลบ้านสกุลเฉินให้ดี และจะทำให้ร้านขายงานไม้ของผมเจริญรุ่งเรือง หาเงินจ่ายค่าเช่าให้เถ้าแก่ตรงตามเวลาอย่างแน่นอน”“เอาเงินส่วนนั้นใจให้แม่ยายฉันเถอะ ถ้าเธอมาถามนายก็ให้เธอได้เลยไม่ต้องส่งให้ฉัน แต่หากเธอไม่กล้ามาเอานายก็เก็บเอาไว้ ถ้าตอนไหนได้ผ่านมาเมืองนี้ฉันจะแวะมาหา”“ครับเถ้าแก่” เจียงหมิงรับปากด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ เฉินอ้ายเฟยเดินเข้าไปกอดขา แล้วดึงชายเสื้อให้เจียงหมิงอุ้มขึ้นไปเขาอุ้มเด็กชายตัวน้อยที่ช่วยเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ มือน้อยๆ นั้นวางที่แก้มแล้วเช็ดน้ำตาให้“ไม่ร้องนะอาหมิง” เสียงเล็กๆ ที่พูดไม่ค่อยชัดนั้นพยายามปลอบใจชายหน้าดุจนเขายิ้มออกมา“แล้วพบกันใหม่นะครับนายน้อย” เจียงหมิงวางเด็กชายลง จากนั้นก็เปิดประตูรถส่งคุณชายตัวน้อยขึ้นรถไป ในขณะที่หลี่หยุนฟางอุ้มลูกน้อยวัยสี่เดือนเอาไว้แล้วยิ้มลาเขากับยายจางจินเองก็เดินมาส่งโจวชิงหลิน พร้อมกับขนมให้เอาไว้กินระหว่างทาง“คุณนายเฉินขอ
ข้าวของในร้านของร้านขายของชำสกุลเฉินเริ่มร่อยหรอลงไป แต่ก็ไม่มีการซื้อเข้ามาเพิ่ม หลายคนต่างพูดถึงเรื่องนี้ในวงกว้างแม้โจวชิงหลินจะพยายามบอกว่าขายของเพื่อเตรียมจะย้ายบ้านแต่ก็ไม่มีใครเชื่อ และคิดว่าบ้านสกุลเฉินนั้นกำลังตกอับไม่มีเงินซื้อของเข้ามาขายในร้านบ้างก็เชื่อว่าอีกฝ่ายจะย้ายเพื่อหนีหนี้ หากมีเงินเก็บจริง ทำไมบ้านหลังเก่าทรุดโทรมแห่งนี้ถึงไม่ได้รับการต่อเติมให้ดูดี ยิ่งคำพูดออกมาจากปากแม่หม้ายกู่สองแม่ลูก ก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านเริ่มพูดถึงเรื่องนี้อย่างหนาหูเฉินเซียนและเจียงหมิง ในช่วงนี้พวกเขาก็ไม่รับทำงานไม้ เดินทางออกไปตั้งแต่เช้าและกลับมาตอนเย็นแทบจะทุกวันเพื่อดูแลงานก่อสร้าง แต่ชาวบ้านกลับมองว่าทั้งสองออกไปหางานทำที่อื่นเพราะว่างานไม้นั้นไม่สามารถขายออกได้แล้ว“อยากรีบไปแล้ว เมื่อไหร่เราจะได้ไปจากที่นี่เสียที” โจชิงหมิงพูดด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความอึดอัด เธอยังใจไม่แข็งพอที่จะรับฟังคำนินทาจากพวกเพื่อนบ้านเหล่านั้นแม้ลูกสะใภ้และลูกชายจะปลอบใจอยู่บ่อยครั้งว่าที่ใหม่นั้นจะดีกว่าที่เดิม แต่เธอยังไม่เห็นกับตา มันจะจริงเท็จแค่ไหนก็ไม่รู้รู้แต่ว่าเงินในบัญชีของบ้านนั้นถูกใช้
ในฤดูหนาว ปลายปี ค.ศ. 1978 เฉินอ้ายเฟยในวัยขวบเศษกำลังจ้องมองน้องสาวที่กำลังหัดพลิกคว่ำอยู่บนเบาะนิ้วน้อยๆ เลื่อนเข้าไปจิ้มแก้มป่องๆ นั้นด้วยความมันเขี้ยว แต่ก็ทำได้เพียงแค่แตะเบาๆ เพราะกลัวว่าน้องสาวจะเจ็บหลี่หยุนฟางมองภาพที่น่าเอ็นดูนั้น ทั้งสองนอนเล่นอยู่กลางเตียงโดยมีเธอและสามีนอนกั้นขอบเตียงเอาไว้“อากาศหนาวแบบนี้ไม่อยากเปิดร้านขายของเลย อยากนอนขี้เกียจอยู่ในผ้าห่มเสียมากกว่า”หลี่หยุนฟางบ่นแล้วอ้าปากหาวนอน เธอต้องตื่นมาให้นมเฉินเยว่อิงทั้งคืน ตอนนี้จึงไม่อยากลุกตื่นขึ้นไปไหน“แม่บอกว่าไม่ต้องให้คุณออกไปช่วยที่ร้าน ท่านเข้าใจว่าคุณเลี้ยงเด็กๆ เหนื่อยแค่ไหน ไม่ต้องไปฟังเสียงชาวบ้านหรอก ขอแค่เราเข้าใจกันเท่านั้นก็พอ” เฉินเซียนบอกภรรยาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มปากของสองแม่ลูกสกุลกู่ที่เป็นม่ายทั้งสอง หม้ายกู่เล็ก หม้ายกู่ใหญ่ เป็นปากที่ช่างไม่เคยอยู่สุขรู้ทั้งรู้ว่าภรรยาของเขากำลังเลี้ยงลูกน้อยทั้งสองคนจนไม่มีเวลาพักผ่อน มารดาของเขาจึงออกไปช่วยขายของที่ร้านชำ แต่กลับนินทาว่าเธอขี้เกียจไม่ทำงานปล่อยให้แม่สามีและสามีทำงานกันอยู่ลำพัง โดยที่ตัวเองนั่งสุขสบายไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูเหมือนว่าหลี
เฉินอ้ายเฟย ทารกวัยหกเดือนกำลังนั่งบนรถหัดเดินที่เลียนแบบรถหัดเดินในยุคปัจจุบัน ถูกทำขึ้นโดยฝีมือของเฉินเซียนและการออกแบบของหลี่หยุนฟางบริเวณที่นั่งถูกเจาะรูตรงกลางแล้วใส่ผ้าผูกเอาไว้สำหรับนั่ง ความสูงอยู่ในระดับที่ขาแตะพื้นพอดีทำให้เจ้าตัวน้อยสามารถใช้เท้าไถไปมาวิ่งเล่นได้อย่างอิสระในพื้นที่คับแคบอย่างในร้านขายของชำ ตอนนี้จึงได้แต่นั่งนิ่งไม่สามารถขยับไปไหนได้ แต่เท้าก็ยังแตะพื้นโยกไปมาพร้อมทั้งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความชอบใจ อารมณ์ดีทั้งวันเป็นที่รักและเอ็นดูแก่ผู้พบเห็นรถหัดเดินสำหรับเด็กจึงถูกถามหาเป็นจำนวนมาก มีบางคนบอกว่าเคยเห็นเก้าอี้แบบนี้วางขายในเมืองเป็นสินค้าจากต่างประเทศ ทำให้หลี่หยุนฟางรู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของแปลกใหม่สำหรับยุคนี้ เพียงแค่ที่นี่เป็นชนบทของสิ่งนี้จึงยังมาไม่ถึงเท่านั้นเองแต่ถึงอย่างนั้นก็ได้รับความสนใจของบ้านที่มีเด็กวัยไล่เลี่ยกันกับลูกชายของเธอ ดังนั้นจึงมีคนสั่งทำอยู่จำนวนหนึ่งเพื่อที่จะให้เด็กน้อยได้นั่งและหัดเดิน ในยามที่ผู้ใหญ่กำลังกินข้าวหรือว่าทำงานบ้านจะได้ไม่ต้องคอยอุ้มอยู่ตลอดโจวชิงหลินที่ตอนนี้สามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่วราวกับคนที่ไม่เคยเจ็บป่