แชร์

บทที่ 13 มิติห้างสรรพสินค้า

ผู้เขียน: sanvittayam
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-05 16:30:16

บทที่ 13 มิติห้างสรรพสินค้า

หลินเพ่ยหลันตื่นจากภวังค์ความทรงจำเมื่อเดินสะดุดเข้ากับขาเก้าอี้ในห้องครัว

“ทำไมถึงได้มีชีวิตที่น่าสงสารแบบนี้นะหลินเพ่ยหลัน” เธอได้แต่พูดกับตัวเองเพื่อส่งไปถึงเจ้าของร่างเดิม

หญิงสาวรีบสลัดความทรงจำนั้นให้หลุดออกจากสมองไปจากนั้นก็เดินกลับเข้าห้องมา เมื่อนั่งลงบนเตียงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสักพัก จะว่าเรื่อยเปื่อยเลยก็ไม่ใช่ เพราะเธอกำลังวางแผนว่าจะใช้ชีวิตในร่างตาบอดของหลินเพ่ยหลันคนนี้ต่อไปอย่างไรดี

จะอยู่แต่บ้านแล้วทำงานบ้านไปแต่ละวันอย่างนี้ชีวิตคงน่าเบื่อแย่ อีกอย่างเธอไม่อยากเป็นภาระของสามีด้วย เผื่อวันใดวันหนึ่งต้องแยกทางกันขึ้นมาก็ควรที่จะดูแลตัวเองให้ได้

ในโลกที่จากมานั้น คนตาบอดที่สามารถทำงานได้มากมาย พวกเขาใช้ไม้เท้าคลำทางเดินไปตามท้องถนนเพื่อไปทำงานของตนเอง บางคนทำงานเอกสารเล็ก ๆ น้อย ๆ บางคนถึงขั้นทำงานฝีมือได้ก็มี บางครั้งทำออกมาได้ดีกว่าคนทั่วไปอีกต่างหาก

คนตาบอดที่ร้องเพลงเล่นดนตรีก็มีเยอะ พวกเขาไปรับจ้างร้องเพลงตามงานต่าง ๆ ก็ทำได้ดีเลยทีเดียว

แต่ว่าเธอล่ะ ตอนนี้มีความสามารถอะไรบ้าง

หญิงสาวก็ได้แต่ถามตัวเองในใจ เพราะตอนนี้เธอใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เนื่องจากในยุคนี้ทุกคนมองว่าคนตาบอดเป็นคนไร้ค่าเท่านั้น

หลินเพ่ยหลันนั่งคิดไปเรื่อย ๆ มือก็ลูบอยู่แถว ๆ บริเวณจี้หยกของสร้อยข้อมือ เธอคิดไปถูมันไป แต่แล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างกำลังดูดตัวของเธอเข้าไป และแสงสีเขียวนั่นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งจนต้องหลับตาลงอย่างลืมตัวว่าตนเองตาบอด

เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในห้างนั่นอีกแล้ว หญิงสาวมึนงงไปหมด คราวนี้มั่นใจว่าตนนั้นไม่ได้หลับ เพราะก่อนหน้านี้เธอนั่งอยู่ในห้องแท้ ๆ และตอนนี้ก็เป็นเวลากลางวันด้วย จึงมั่นใจว่านี่ต้องไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน และเมื่อสักครู่เธอก็จำได้ว่ากำลังลูบจี้ของสร้อยข้อมือเล่นอยู่

“หือ...ลูบจี้ของสร้อยข้อมืออย่างนั้นเหรอ” หลินเพ่ยหลันรู้สึกเอะใจจากนั้นก็จับไปที่จี้ของสร้อยข้อมืออีกครั้ง

เมื่อเธอก้มลงไปมองดูดี ๆ ก็รู้ว่าจี้ของสร้อยข้อมือนั้นเป็นรูปผีเสื้อ จู่ ๆ ก็นึกออกมาได้ว่า หรือว่าจี้ผีเสื้อที่สร้อยข้อมือนี้จะมีความเชื่อมโยงกับผีเสื้อตัวที่ปรากฏต่อหน้าเธอบ่อย ๆ ว่าแล้วผีเสื้อตัวนั้นก็บินมาหาเธอ

“ใช่จริง ๆ ด้วย ผีเสื้อตัวนั้นเชื่อมโยงระหว่างฉันกับที่นี่” หลินเพ่ยหลันพูดออกมาพลางพยักหน้าเข้าใจ

คราวนี้เลยคิดอยากทดสอบอะไรบางอย่าง หญิงสาวมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังแผนกรองเท้า จากนั้นก็หยิบรองเท้าผ้าใบออกมาคู่หนึ่ง แล้วคิดจะออกไปจากที่นี่ แต่เธอไม่รู้วิธีจึงได้แต่เดินไปเดินมาและลังเลอยู่นานก่อนจะนึกขึ้นได้ จึงลองลูบไปที่จี้หยกอีกครั้ง

แต่แล้วคราวนี้กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วมุ่น “ทำไมออกไปไม่ได้ล่ะ อย่าบอกนะว่าเราต้องติดอยู่ในนี้ตลอดไป แต่วันนั้นยังออกไปได้อยู่เลย วันนั้น..ใช่เลยนึกออกแล้ว”

เมื่อพูดถึงวันนั้น หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกขึ้นมา ในคืนนั้นเธอไม่ได้ลูบจี้หยกเพื่อจะออกไป แต่ว่าเธอออกไปทางประตูสีขาวอีกบานต่างหาก คิดได้อย่างนั้นจึงไม่รอช้ารีบเดินไปตามเส้นทางที่ตัวเองจำได้ทันที หลินเพ่ยหลันขึงเดินไปหาประตูสีขาวบานนั้นไม่นานก็เจอ

“มาลองดูว่าฉันจะเอาของในนี้ออกไปได้จริงๆ ไหม” หญิงสาวพูดพร้อมกับมองรองเท้าในมือของตัวเองคู่นั้นไปด้วย จากนั้นก็ค่อย ๆ มองที่ประตูพร้อมทั้งสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะจับไปที่ลูกบิดแล้วเปิดออกทันที

 เบื้องหน้ายังคงเป็นแสงสีขาวสว่างจ้าอย่างคืนนั้นจนเธอต้องหลับตาลงอย่างกะทันหัน และต่อมาแสงนั่นก็ค่อย ๆ มืดดับไป

เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองมองไม่เห็นแล้ว

“นี่แสดงว่าฉันกลับมาอยู่ที่ห้องแล้วแน่เลย” เธอพูดกับตัวเองเบา ๆ เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองกลับมานั่งอยู่บนเตียงในห้องเหมือนเดิมแล้ว แถมในมือก็ยังรู้สึกได้อีกว่ากำลังถืออะไรบางอย่างเอาไว้ เมื่อลูบคลำดูจึงพบว่าเป็นรองเท้าผ้าใบคู่นั้น

“ไม่ผิดแน่ คงเป็นรองเท้าคู่นั้นแน่เพราะในสมัยนี้ยังไม่มีรองเท้าผ้าใบแบบนี้ รองเท้าคู่นี้ฉันเอาออกจากห้างสรรพสินค้านั้นได้จริง ๆ สินะ แบบนี้ต่อไปก็ไม่ลำบากแล้ว” หญิงสาวพูดกับตัวเองอย่างตื่นเต้นดีใจ

ตอนนี้หลินเพ่ยหลันค้นพบแล้วว่า บางที่สร้อยข้อมือที่มีจี้หยกรูปผีเสื้อนี่คือกุญแจที่เชื่อมไปยังประตูมิติ และที่ยิ่งไปกว่านั้น ของที่อยู่ในมิติห้างสรรพสินค้าก็ยังสามารถเอามันออกมาได้

ทำให้หญิงสาวนึกไปถึงนิยายทะลุมิติที่เธอเคยอ่านเมื่อชาติที่แล้ว ตอนที่อ่านนั้นก็คิดอยู่ว่าหากวันหนึ่งตายไปแล้วมีมิติแบบนี้ติดไปด้วยก็คงดีนะสิ ตอนนั้นคิดว่ามันจะเป็นได้ได้อย่างไรเล่า แต่พอมาวันนี้ก็ทำให้เธอตกใจจนอ้าปากค้าง เพราะมิติที่เคยคิดถึงนั้นกลับมีจริง ๆ

หลินเพ่ยหลันตื่นเต้นยินดีจนเก็บอาการเอาไว้แทบไม่อยู่ ในหัวก็คิดว่าจะใช้ประโยชน์จากมิตินี้ได้อย่างไรบ้าง

“อืม...ที่นั่นเป็นห้างที่มีทุกอย่าง อย่างนั้นก็ดีเลย เวลาที่ทำกับข้าวก็ไปเอาวัตถุดิบจากแผนกอาหารสดออกมาทำได้ ที่บ้านจะได้มีเนื้อกินเยอะขึ้น” หญิงสาวพูดอย่างดีใจที่ต่อไปนี้เธอจะสามารถทำอาหารให้ทุกคนกินได้อย่างไม่ขัดสน

จริงอยู่ที่บ้านซ่งไม่ค่อยร่ำรวยเท่าไร อีกอย่างทุกคนก็ทำงานที่คอมมูน ทำให้ไม่มีใครเข้าป่าไปล่าสัตว์ ดังนั้นอาหารในแต่วันก็จะเป็นผักเสียส่วนใหญ่ จะมีเนื้อบ้างก็ตอนที่จ้าวจินเยว่กับซ่งชุนเป้ยไปหาซื้อที่ตลาดมืดมาเท่านั้น แต่ต่อไปนี้เธอสามารถทำอาหารให้ทุกคนได้กินเนื้อมากขึ้น

“แต่จะใช้ข้ออ้างอะไรนะที่จะเอาเนื้อมาทำอาหารได้โดยไม่ผิดสังเกต” เธอบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะมีสีหน้าที่ดีขึ้นเมื่อนึกถึงเหตุผลที่จะนำมาเป็นข้ออ้างได้  “จริงสิ ใช้ข้ออ้างว่ามีคนในหมู่บ้านเอาเนื้อมาขายให้ก็ได้ คงไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงจริงแล้วคือไปหยิบออกมาจากมิติต่างหาก”  หญิงสาวบอกตัวเองด้วยความดีใจ

“แล้วก็ของบางอย่างในห้างน่าจะเอาออกมาขายได้ แต่ว่าจะเอาอะไรไปขายและไปขายได้ยังไงนั้นคงต้องมาวางแผนอีกที”

หลินเพ่ยหลันพลันนึกถึงตลาดมืดและคิดว่าหากเอาสินค้าในห้างพวกนี้ไปขายคงจะได้เงินมาไม่น้อย

แต่ในจังหวะที่กำลังนั่งคิดอยู่เพลิน ก็สะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงคนเคาะประตู

ซึ่งเป็นจ้าวจินเยว่นั่นเองที่กลับมาเอาของที่ลืมไว้ เธอเคาะประตูอีกสองสามครั้งแล้วร้องถามเข้ามา “เพ่ยหลัน อยู่ไหม”

“อยู่ค่ะพี่สะใภ้ เข้ามาได้เลย” หลินเพ่ยหลันพยายามตั้งสติแล้วตอบกลับไป

เมื่อจ้าวจินเยว่เปิดประตูเข้ามาก็ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้เธอเข้ามาครั้งหนึ่งแล้วแต่ว่าไม่เห็นน้องสะใภ้ จึงออกไปตามหาข้างนอกและก็รออยู่ในห้องโถงตลอด จึงมั่นใจว่าไม่มีใครเข้าออกห้องนี้อย่างแน่นอน แต่อยู่ ๆ หลินเพ่ยหลันก็มานั่งอยู่บนเตียงเสียอย่างนั้น จนจ้าวจินเยว่ต้องขยี้ตาตัวเองเพราะคิดว่าตาฝาดไป

“เมื่อสักครู่ไปไหนมาเหรอเพ่ยหลัน” จ้าวจินเยว่ถามด้วยความประหลาดใจ

หลินเพ่ยหลันฉุกคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่า

บางทีตอนที่ฉันเข้าไปอยู่ในมิตินั้น ร่างของฉันก็ตามไปด้วยเหรอ ถ้าอย่างนั้นหากเข้าไปในมิติครั้งหน้าคงต้องระวังให้มากกว่านี้ แต่ตอนนี้ต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้ก่อน

หญิงสาวครุ่นคิดในใจ ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อหาเหตุผลได้

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ทะลุมิติมาเป็นหญิงตาบอด ยุค 70    ตอนพิเศษ

    ตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้

  • ทะลุมิติมาเป็นหญิงตาบอด ยุค 70    บทส่งท้าย  ครอบครัวสมบูรณ์

    บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี

  • ทะลุมิติมาเป็นหญิงตาบอด ยุค 70    บทที่ 64 จากลากันอีกครั้ง

    บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ

  • ทะลุมิติมาเป็นหญิงตาบอด ยุค 70    บทที่ 63 จบปํญหา

    บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ

  • ทะลุมิติมาเป็นหญิงตาบอด ยุค 70    บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว

    บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ

  • ทะลุมิติมาเป็นหญิงตาบอด ยุค 70    บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว

    บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status