หลังจากสามีออกไปแล้วหญิงสาวยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่บนที่นอนสักพัก พยายามจับต้นชนปลายว่า สรุปแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นอย่างไรกันแน่
เมื่อคืนที่เธอได้เข้าไปในห้างสรรพสินค้านั้นเป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริง ถ้าหากว่าเป็นความฝันแล้วลิปสติกแท่งนี้จะมาอยู่ในมือของเธอได้อย่างไร และถ้าเป็นความจริงแล้วมันก็ออกจะแปลกเกินไปหน่อยแล้ว
หลินเพ่ยหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าคิดเท่าไรก็หาคำตอบไม่ได้จึงได้วางความคิดนั้นลง จากนั้นจึงไปเตรียมเสื้อผ้ามาให้สามีเอาไว้เปลี่ยนเพื่อใส่ไปทำงาน
“เสื้อผ้าของพี่ฉันวางเอาไว้ให้ที่โต๊ะหน้าห้องน้ำนะคะ” หลินเพ่ยหลันตะโกนบอกสามีที่ตอนนี้กำลังอาบน้ำอยู่
“ครับ เดี๋ยวพี่จัดการต่อเอง” เสียงของซ่งเฟยหลงตะโกนกลับออกมาจากห้องน้ำ
หลังจากที่เตรียมข้าวของต่าง ๆ ให้สามีเรียบร้อยแล้วเธอจึงเดินเข้าไปในครัวเพื่อที่จะเตรียมอาหารเช้าอย่างง่าย ๆ เมื่อเปิดตู้เพื่อหยิบแป้งออกมาจะทำหมั่นโถว สักพักก็มีเสียงของพี่สะใภ้ดังมาจากทางด้านหลัง
“เช้านี้ทำอะไรเหรอเพ่ยหลัน” จ้าวจินเยว่ถามขึ้นอย่างใส่ใจ
“ทำหมั่นโถวค่ะ กินกับน้ำแกง” หลินเพ่ยหลันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสดใส
“มาเถอะพี่ช่วย” พูดจบก็เดินมารับถุงแป้งจากมือของน้องสะใภ้
จากนั้นสองสะใภ้ก็ช่วยกันทำอาหารเช้า
งานบ้านตอนเช้าเป็นอะไรที่ยุ่งมากและเร่งด่วนจนตอนนี้หลินเพ่ยหลันลืมเรื่องความฝันเมื่อคืนไปแล้ว อย่างไรเสียงานตรงหน้าก็สำคัญกว่า เรื่องความฝันเอาไว้คิดที่หลังก็ไม่เป็นไร
ในคืนถัดมาหลินเพ่ยหลันคิดว่าตัวเองอาจจะยังคงฝันเช่นเดิม ทว่าก็ต้องผิดหวังเพราะตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมาเธอก็ไม่ได้ฝันแบบนั้นอีก ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบลิปสติกแท่งนั้นที่ได้เก็บเอาไว้แล้วคิดว่า บางทีจมูกของเธออาจจะเพี้ยนไปเอง นี่คงไม่ใช่ลิปสติกแบรนด์นั้นจริง ๆ หรอก คงเป็นของเจ้าของร่างเดิมที่เผลอวางเอาไว้เท่านั้น
เช้าวันนี้ก็เป็นเหมือนเช่นทุกวัน หญิงสาวตื่นตั้งแต่เช้าจากนั้นก็จัดการเตรียมข้าวของให้สามีเพื่อให้เขาเตรียมตัวไปทำงาน หน้าที่ที่สำคัญอย่างหนึ่งของเธอก็คือทำอาหารใส่กล่องให้สามีเอาไปกินที่คอมมูนด้วย ซ่งเฟยหลงทำงานที่คอมมูนต้องใช้แรงเยอะเลยจะกินเยอะเป็นพิเศษ เรื่องนี้หลินเพ่ยหลันรู้ดีเธอจึงตั้งใจทำกับข้าวใส่กล่องให้เขาเต็มกล่องทุกวัน
“เพ่ยหลัน วันนี้ทำอะไรเป็นอาหารเช้าเหรอ” เสียงของจ้าวจินเยว่ดังมาเช่นเคย เพราะทุก ๆ เช้าเธอจะมาช่วยหลินเพ่ยหลันทำอาหาร
“วันนี้จะทำกวางตุ้งผัดน้ำมันค่ะ เห็นเมื่อวันก่อนพี่เฟยหลงบอกอยากกิน” หญิงสาวตอบกลับไปโดยที่ยังวุ่นวายกับการทำอาหาร
“ดีเลย เดี๋ยวพี่ช่วยหั่นผักนะ เพ่ยหลันไปเตรียมอย่างอื่นเถอะ” จ้าวจินเยว่บอกก่อนจะไปหยิบผักกวางตุ้งจากในตะกร้าออกมาล้าง
เมื่อมีคนช่วยแล้วหลินเพ่ยหลันก็ทำอะไรได้เร็วขึ้น ดังนั้นจากที่คิดว่าจะทำอาหารแค่อย่างเดียว แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเนื้อหมูตากแห้งที่เธอทำเก็บไว้อยู่
“พี่สะใภ้ ฉันว่าจะทำเนื้อหมูแห้งย่างให้เพิ่มอีกอย่างหนึ่งด้วยค่ะ” หลินเพ่ยหลันพูดพร้อมกับยิ้มออกมาแม้จะมองไม่เห็น
“อืม...เป็นความคิดที่ดีนะ แล้วเนื้อหมูแห้งอยู่ไหนล่ะ” จ้าวจินเยว่พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะถามขึ้นเมื่อมองไม่เห็นเนื้อ
“อยู่ในตู้ค่ะ ชั้นบนสุด” หฅญิงสาวตอบกลับ
จากนั้นสองสะใภ้ก็ช่วยกันทำอาหารกันอย่างขยันขันแข็ง เมื่ออาหารทั้งหมดเสร็จแล้ว จ้าวจินเยว่ก็แบ่งไว้เพื่อเอาไปจัดขึ้นโต๊ะอาหารให้ทุกคนได้กินพร้อมกัน อีกส่วนหนึ่งก็แบ่งใส่กล่องไว้สำหรับทุกคนที่ต้องไปทำงานที่คอมมูน จะเอาไปกินด้วยตอนพักเที่ยง
“อาหารเช้ากับอาหารเที่ยงเป็นอย่างเดียวกัน พวกพี่จะไม่เบื่อใช่ไหมคะ” หลินเพ่ยหลันเอ่ยถามขณะหยิบกล่องอาหารใส่มือให้ซ่งเฟยหลง
“ไม่เบื่อหรอก พวกพี่น่ะกินอะไรก็ได้ ขอแค่กินแล้วมีแรงทำงานก็พอ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับอย่างอ่อนโยน
ในขณะที่รับกล่องอาหารมานั้นมือของเขาก็สัมผัสเข้ามือของหลินเพ่ยหลันเล็กน้อย เธอรู้สึกตกใจจึงนิ่งค้างไปพักหนึ่ง ทำตัวไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
“เป็นอะไรไปเหรอ” ซ่งเฟยหลงถามอย่างงุนงง สำหรับเขาไม่ได้คิดอะไรตอนที่มือของทั้งสองสัมผัสกัน เพราะมันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น เมื่อก่อนเขาก็สัมผัสเธอมากกว่านี้ก็ไม่รู้สึกอะไร
“ไม่มีอะไรค่ะ พวกพี่รีบไปทำงานเถอะค่ะ เดี๋ยวไปสาย” หลินเพ่ยหลันรีบปรับสีหน้าและบอกให้เขารีบไปทำงาน
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ เพ่ยหลันเองก็พักผ่อนเถอะ งานบ้านอันไหนทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ทำแค่ที่ทำไหว” ซ่งเฟยหลงบอกกับเธอพลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ทว่าเขาลืมไปว่าหลินเพ่ยหลันมองไม่เห็น
“นั่นสิ อันไหนทำไม่ได้ เดี๋ยวฉันกับพี่สะใภ้ใหญ่จะกลับมาทำเอง” ซ่งชุนเป้ยที่ยืนอยู่ด้วยพูดขึ้น
“ค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” หลินเพ่ยหลันเองก็รับปากอย่างว่าง่าย
จากนั้นทั้งสี่คนเดินออกจากบ้านไปยังทิศทางของคอมมูน ว่าไปแล้วสี่คนนี้ถือเป็นกำลังสำคัญของบ้านซ่งเพราะอยู่ในวัยที่งานได้ ความจริงแล้วก็มีซ่งตงลี่พ่อสามีอีกคน แต่ว่าตอนนี้เขาไม่ได้ไปทำงานด้วยเพราะป่วยหนัก ส่วนนางหยางเจี่ยนั้นตอนนี้ก็ร่างกายไม่แข็งแรงและแก่เกินกว่าที่จะไปทำงานใช้แรงงานที่คอมมูนแล้ว ลูก ๆ จึงให้นางอยู่บ้าน
ดังนั้นช่วงนี้แม่สามีของหลินเพ่ยหลันจึงไม่ค่อยได้มาด่าหรือเหน็บแนมเธอสักเท่าไร เพราะต้องดูแลสามีที่กำลังป่วยอยู่ ลำพังต้องดูแลสามีนางก็เหนื่อยและวุ่นวายมากพอแล้ว จึงไม่ค่อยมีเวลามาพ่นวาจาใส่ลูกสะใภ้ อีกทั้งหลินเพ่ยหลันเองก็ไม่ค่อยไปป้วนเปี้ยนให้นางหยางเจี่ยเห็น ซึ่งไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เจ้าของร่างเดิมมักจะไปวนเวียนให้นางเห็นอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากเกรงว่าเผื่อแม่สามีมีอะไรเรียกใช้ จะได้ไปทำให้ได้เลยทันที
เจ้าของร่างนี่ก็ช่างใสซื่อเกินไปจริง ๆ หลินเพ่ยหลันนึกย้อนไปถึงความทรงจำในอดีตของเจ้าของร่างนี้ ตอนนั้นที่เธอมักจะป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ แม่สามี เพราะอยากจะช่วยเหลือสิ่งที่พอทำได้เพราะหวังจะได้ความเห็นใจกลับมาบ้าง แต่มักจะได้ผลตอบรับกลับมาเป็นคำพูดเหน็บแนมเสมอ
“ทำไม ที่จะมาอยู่ใกล้ฉันก็เพราะคิดจะเอาใจฉันน่ะเหรอ” นางหยางเจี่ยพูดพลางเบะปากใส่ ถึงแม้ว่าหลินเพ่ยหลันจะมองไม่เห็นแต่ว่าจากการฟังน้ำเสียงเธอก็รู้ได้ว่าแม่สามีกำลังรู้สึกเหยียดหยามเธอ
“เปล่านะคะ ฉันเพียงแค่จะมาดูว่าแม่มีอะไรจะให้ฉันทำหรือเปล่า” หลินเพ่ยหลันคนเดิมก้มหน้าพูดอย่างถ่อมตัว
“มีหรือไม่มี เธอก็แหกตาดูเอาเองสิ เรื่องแค่นี้คิดเองไม่เป็นเหรอไง” นางหยางเจี่ยพูดก่อนจะฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง “อ้อ...ฉันลืมไปว่าเธอตาบอด เธอคงแหกตาดูอะไรไม่ได้”
เจ้าของร่างได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าพูดว่าอะไร ในใจของเธอนั้นเจ็บปวดอยู่ลึก ๆ จากคำพูดของแม่สามี เรื่องที่เธอตาบอดแม้จะเป็นความจริง แต่เธอก็ไม่คิดว่าแม่สามีจะต้องดูถูกเธอถึงขนาดนี้
“ฉันบอกอาเฟยไปตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าให้หย่ากับเธอซะ เพราะเธอมันเป็นสะใภ้ที่ไม่มีประโยชน์ แต่งเข้ามาก็ไม่เห็นว่าจะทำอะไรได้” นางหยางเจี่ยยังคงพูดต่ออย่างไม่คิดถนอมน้ำใจอีกฝ่าย
“ฉัน...” หลินเพ่ยหลันกำลังจะเอ่ยปากพูดแต่ก็ต้องหยุดลง
“ไม่ต้องพูดอะไร รีบไปไกล ๆ เลยไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอ” นางหยางเจี่ยตวาดใส่พร้อมกับโบกมือไล่โดยลืมไปว่าลูกสะใภ้คนนี้นั้นตาบอด
เจ้าของร่างได้ยินดังนั้นก็รีบผละออกมาจากแม่สามีของเธอ ความรู้สึกเจ็บปวดยังคงแล่นอยู่ในใจ เธอไม่รู้จะทำอย่างไรในเมื่อพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วแม่สามีก็ยังไม่ยอมรับเสียที แต่ถ้าหากต้องหย่ากับสามีแล้วกลับไปอยู่บ้านเดิมชีวิตของเธอ คงต้องเลวร้ายกว่านี้อีกแน่ ๆ คิดไปแล้วน้ำตาก็ซึมออกมาจากหางตาและไปแอบร้องไห้คนเดียวเงียบ ๆ
ตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี
บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ
บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ
บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ
บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร