“อ้อ...เมื่อครู่นี้ฉันไปห้องน้ำมาค่ะ” หลินเพ่ยหลันตอบออกไป ซึ่งท่าทางของเธอไม่เหมือนคนโกหกเลย
“แล้วทำไมพี่ไม่เห็นเลยล่ะ” จ้าวจินเยว่ยังคงงุนงง
“ตอนนั้นพี่สะใภ้คงไม่ได้มองฉันมั้งคะ แต่ฉันรู้สึกว่าพี่อยู่ข้างนอกนะ” หญิงสาวทำเป็นตามน้ำโดยบอกว่า เธอรู้สึกเหมือนพี่สะใภ้อยู่ข้างนอก เพื่อให้น่าเชื่อว่าเธอไปเข้าห้องน้ำมาจริง ๆ
“แล้วทำไมพี่กลับมาละคะ ลืมอะไรหรือเปล่า” เธอถามเพื่อเปลี่ยนเบี่ยงเบนความสนใจ
“อ๋อ ใช่ พอดีพี่ลืมของนิดหน่อยน่ะ เป็นน้ำมันแก้วิงเวียนของพี่เอง แต่หาตั้งนานก็หาไม่เจอ เพ่ยหลันพอจะรู้บ้างไหมว่ามันอยู่ที่ไหน”
จ้าวจินเยว่เมื่อถูกถามก็หันมาสนใจเรื่องที่ตัวเองกลับมาบ้านในตอนนี้ ด้วยการถามน้องสะใภ้ถึงแม้ว่าหลินเพ่ยหลันจะมองไม่เห็น แต่ว่าเธอก็สัมผัสทุกซอกทุกมุมในบ้านหลังนี้จนคุ้นชิน จึงรู้จักบ้านหลังนี้ดีกว่าคนอื่น เวลาที่ทุกคนหาของไม่เจอก็มักจะมาถามกับเธอเสมอ
“งั้นเหรอคะ เดี๋ยวฉันขอนึกก่อนนะคะ” หลินเพ่ยหลันพยักหน้าก่อนจะตอบกลับไป และนั่งครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา
“เมื่อวานฉันรู้สึกว่ามันน่าจะอยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นนะคะ ฉันเช็ดโต๊ะแล้วคลำเจอ คิดว่าน่าจะใช่ พี่สะใภ้ลองหาที่โต๊ะดูนะคะเผื่อมันหล่นอยู่แถวนั้น” เธอตอบกลับไปหลังจากนึกขึ้นมาได้
“ได้จ้ะ ขอบใจนะเพ่ยหลัน” จ้าวจินเยว่พยักหน้ารับ และกำลังจะเดินออกจากห้องไป
ทว่ายังไม่ทันได้เดินออกไปจากห้อง สายตาก็เหลือบไปเห็นรองเท้าผ้าใบคู่หนึ่งที่วางอยู่บนเตียงข้าง ๆ กับหลินเพ่ยหลัน เธอมองรองเท้าผ้าใบคู่นั้นอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าสวยและแปลกตาดีจึงเอ่ยถามออกไป “รองเท้าของเพ่ยหลันเหรอ สวยจังเลย”
รองเท้าผ้าใบคู่นี้เป็นยี่ห้อดังในยุคสมัยใหม่ เป็นรองเท้าสีแดงตัดสลับกับสีขาว ตัดเย็บอย่างดี มีสัญลักษณ์ของยี่ห้อติดอยู่ที่ด้านข้างซึ่งดูสวยงามมาก จ้าวจินเยว่เห็นครั้งแรกก็ชอบเลย
“อ๋อ..เป็นรองเท้าเอาไว้ใส่ทั่วไปค่ะ ใส่ไปทำงานก็ได้ ใส่ไปเที่ยวเล่นก็ได้” หลินเพ่ยหลันเมื่อถูกถามก็ตอบออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“สวยมากจริงๆ ว่าแต่ไปเอามาจากไหนกัน”
จ้าวจินเยว่เลิกคิ้วถามอย่างสงสัย รองเท้าแบบนี้น่าจะมีขายแค่ในเมืองเท่านั้น จึงไม่คิดว่าน้องสะใภ้จะไปหาซื้อรองเท้ามาได้ อย่าว่าแต่ไปซื้อของในเมืองเลย แม้แต่ออกจากหมู่บ้านแห่งนี้หลินเพ่ยหลันก็ไม่ค่อยออกไปเสียด้วยซ้ำ เธอไปไกลสุดก็ลำธารและสหกรณ์ของรัฐที่อยู่หน้าหมู่บ้าน
“อ้อ...ฉันซื้อไว้ตั้งแต่ตอนก่อนจะแต่งงานแล้วค่ะ พอย้ายของมาที่นี่ก็เลยเอามาด้วย ช่วงนี้ฉันอยู่ว่าง ๆ ก็รื้อของที่นำมาด้วยออกมาดูค่ะ ว่าแต่พี่สะใภ้ชอบเหรอคะ”
หลินเพ่ยหลันหาทางออกให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว จากที่อ่านนิยายมา ถ้าหากแต่งงานแล้วผู้หญิงจะมีสินเดิมติดตัวมาด้วย จึงถือว่ารองเท้าคู่นี้คือสินเดิมก็แล้วกัน นอกจากนี้เธอจับน้ำเสียงที่ตื่นเต้นของพี่สะใภ้ได้ แสดงว่ารองเท้าคู่นี้น่าจะสวยถูกใจพี่สะใภ้จริง ๆ จึงถามออกไปเพื่อหยั่งเชิง
“ชอบสิ มันสวยดีนะ พี่ไม่เคยเห็นรองเท้าที่มีรูปร่างแปลกตาแบบนี้มาก่อนเลย ดูท่าทางแล้วน่าจะใส่สบายด้วย” จ้าวจินเยว่ตอบอย่างที่เธอคิด เพราะรองเท้าสวยจริง ๆ
“ถ้าพี่สะใภ้ชอบ อย่างนั้นฉันยกให้พี่ค่ะ เอาไปเลย” หลินเพ่ยหลันพูดออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พร้อมกับมือข้างหนึ่งก็คลำไปหยิบรองเท้าแล้วยื่นไปข้างหน้าในทิศทางที่เธอคิดว่าจ้าวจินเยว่ยืนอยู่
ด้วยความที่ทั้งตกใจและดีใจที่น้องสะใภ้มอบรองเท้าให้ จ้าวจินเยว่ก็เบิกตาโตขึ้นมา ก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก “เพ่ยหลันให้พี่จริง ๆ เหรอ มันจะดีเหรอ”
“ดีสิคะ เก็บไว้กับฉันก็ไม่ได้ใส่หรอก ให้พี่สะใภ้เอาไปใส่จะเป็นประโยชน์มากกว่า” เธอตอบพร้อมยิ้มให้กับพี่สะใภ้ทีหนึ่ง
หลินเพ่ยหลันยกรองเท้าคู่นั้นให้พี่สะใภ้ไป ก็เพื่อสร้างไมตรีให้แน่นแฟ้นขึ้น อีกอย่างรองเท้าคู่นี้ก็ไม่ได้หามาอย่างยากลำบากอะไร ยังไงเสียถ้าอยากได้ก็แค่กลับเข้าไปเอาในมิติเท่านั้น ตอนนี้ก็รู้วิธีเข้าออกมิติแล้ว จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
“ขอบคุณมากเลยนะเพ่ยหลัน พี่จะดูแลรองเท้าคู่นี้อย่างดีเลยล่ะ” จ้าวจินเยว่ตอบรับและยื่นมือไปรับรองเท้าคู่นั้นมากอดแนบกับแก้มไว้ด้วยความดีใจ
“กลิ่นยังใหม่ๆ อยู่เลย” เธอดมรองเท้าแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“คิดว่าถ้าพี่ใหญ่เห็นแล้วคงจะชอบมันเหมือนกันนะคะ รองเท้าแบบนี้ใส่ได้ทั้งผู้ชายผู้หญิง” หลินเพ่ยหลันพูดยิ้ม ๆ
“พี่ก็คิดเช่นนั้น เดี๋ยวพี่ไปหาของก่อนนะ จะต้องรีบกลับไปทำงานแล้ว” จ้าวจินเยว่บอกด้วยความดีใจ เธอดึงประตูเข้ามาเพื่อที่จะปิดกลับให้น้องสะใภ้ตามเดิม
“ค่ะ เดี๋ยวตอนเย็นฉันจะทำอาหารไว้รอนะคะ”
หลินเพ่ยหลัน ตะโกนตามไปด้วยน้ำเสียงสดใส
เมื่อจ้าวจินเยว่ออกไปแล้วหญิงสาวก็มานั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยต่ออย่างสบายใจ ในหัวของเธอวางแผนไว้หลายอย่าง แต่ว่าตอนนี้ตีกันวุ่นวายไปหมด
“แย่จัง ถ้าหากเป็นชาติที่แล้วเวลาที่คิดอะไรออกก็จะรีบจดไว้ ทว่าชาตินี้เหมือนกับว่ามีอุปสรรคอยู่ไม่น้อย เป็นเพราะมองไม่เห็นจึงทำให้การเขียนอะไรเป็นเรื่องยากลำบาก แต่อย่างน้อยก็ยังดี ที่หลินเพ่ยหลันคนเดิมเป็นคนที่มีความจำค่อนข้างใช้ได้ ดังนั้นเราจึงจำเรื่องที่วางแผนไว้ได้พอสมควร คงจะเป็นระบบชดเชยของร่างกายสินะ ได้อย่างก็มักจะเสียอย่าง”
หญิงสาวพูดกับตัวเองเบา ๆ
หลังจากวันนั้นพอรู้วิธีใช้ประตูมิติแล้ว หลินเพ่ยหลันก็แอบเข้าไปในมิติอีกหลายครั้ง ซึ่งมักจะอาศัยจังหวะตอนดึกดื่นค่อนคืนหลังจากรอให้ซ่งเฟยหลงหลับไปแล้วค่อยเข้าไป บางวันก็แอบเข้าไปตอนกลางวันขณะที่แม่สามีกำลังยุ่งอยู่กับการดูแลพ่อสามี
หญิงสาวลองหยิบนั่นหยิบนี่ติดมือมาบ้างแต่ก็จำนวนน้อยมาก อีกทั้งยังเลือกของที่ไม่แปลกตา ไม่ให้ดูเกินยุคสมัยมากเกินไป ไม่อย่างนั้นหากถูกถามว่านำมาจากที่ไหน ซึ่งก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะอย่างไรเสียเธอก็แค่หญิงพิการตาบอด ที่วัน ๆ อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปไหน แล้วจะไปหาซื้อของพวกนั้นมาได้อย่างไร
เพราะที่นี่ตอนนี้เป็นช่วงยุค70 ยุคก่อนการปฏิรูป พวกสินค้าออนไลน์เดลิเวอรี่อะไรนั่นยังไม่มีหรอก หนำซ้ำที่นี่ยังเป็นหมู่บ้านชนบทด้วย จึงทำได้แค่เพียงกินให้อิ่มอยู่ในมิติและเดินเล่นให้สบายใจเพราะในนั้นดวงตาของเธอมองเห็นทุกอย่าง จึงทำให้หลินเพ่ยหลันชอบเข้าไปบ่อย ๆ
เช้าวันหนึ่ง...
ซ่งเฟยหลงตื่นมาตอนเช้าเพื่ออาบน้ำแต่งตัวเตรียมที่จะไปทำงานที่คอมมูนตามปกติ ทว่าเมื่อเอื้อมมือหยิบผ้าเช็ดตัวที่หลินเพ่ยหลันเตรียมเอาไว้ให้ก็ถึงกับสะดุด เพราะสัมผัสของผ้าขนหนูนั้นทั้งนุ่มและผืนใหญ่มาก แตกต่างจากผ้าขนหนูที่เขาใช้มาหลายปี จนตอนนี้ขนร่วงแทบจะหมดแล้ว
“เพ่ยหลัน นี่ผ้าขนหนูใหม่เหรอ” ชายหนุ่มหันไปถามภรรยาด้วยความแปลกใจ และสายตาของเขาก็ยังคงมองผ้าขนหนูสีฟ้าที่อยู่ในมืออย่างไม่วางตา
“ใช่ค่ะ ฉันรู้สึกว่าผ้าขนหนูที่พี่ใช้อยู่มันเก่ามากแล้ว ก็เลยหาผืนใหม่มาให้” หลินเพ่ยหลันตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผ้าขนหนูผืนนี้เธอเลือกออกมาจากมิติเพื่อมอบให้เขาโดยเฉพาะ
“ไปเอามาจากไหน ผ้าขนหนูที่ทั้งนุ่มและผืนใหญ่แบบนี้คงราคาแพงน่าดู” ซ่งเฟยหลงยังคงถามด้วยสีหน้างุนงง เพราะไม่คิดว่าภรรยาจะสามารถไปหาผ้าเช็ดตัวที่ดีมากขนาดนี้มาให้เขาได้
“เป็นของที่พ่อฉันซื้อให้เป็นของขวัญปีใหม่ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้แต่งงานค่ะ ฉันยังไม่เคยได้ใช้เลยนะคะ” หลินเพ่ยหลันตอบอย่างไร้พิรุธ เธอพยายามยิ้มให้เขาแม้จะหันไปคนละทาง
ตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี
บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ
บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ
บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ
บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร