Share

บทที่ 2 ความดีที่ทำ

Author: sanvittayam
last update Last Updated: 2025-03-02 11:53:11

บทที่ 2 ความดีที่ทำ

หลังจากนั้นไม่นานผู้จัดการเดินเข้ามา ซึ่งผู้จัดการคนนี้เป็นคนที่ชอบกดขี่และไม่เคยฟังเหตุผลของพนักงานคนไหนเลย พอมาถึงก็มองนลินด้วยสายตาเย็นชา แล้วพูดเสียงดังอย่างไม่สนใจใคร

“นลิน เข้ามาหาฉันที่ห้องเดี๋ยวนี้!!”

“ค่ะ ผู้จัดการ”

นลินตอบรับและเดินตามผู้จัดการไปที่ห้องทำงานของเขา เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว เขาก็เริ่มด่าว่าเธอทันที

“นลิน ทำไมเธอถึงทำให้ลูกค้าไม่พอใจแบบนี้ เธอรู้ไหมว่าการทำแบบนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของห้างเราเสียหายแค่ไหน”

“แต่ลูกค้าโวยวายมาก่อนค่ะ ทั้ง ๆ ที่ฉันพยายามอธิบายอย่างสุภาพแล้ว แต่เธอไม่ยอมฟังอะไรเลย ทุกคนก็เห็น” นลินตอบอย่างมีเหตุผล แม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าจะไม่มีเหตุผลก็ตาม

“ไม่ต้องมาแก้ตัว หน้าที่ของเธอคือบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ราบรื่น เพื่อให้ลูกค้าพอใจมากที่สุด เรื่องสินค้าที่หมดสต๊อก นี่ก็เหมือนกัน ถ้ารู้ว่ามันเหลือน้อยแล้วทำไมถึงไม่สั่งล่วงหน้า ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ถ้าทำไม่ได้ก็ลาออกไปซะ!!” ผู้จัดการตะโกนเสียงดังจนทำให้หญิงสาวรู้สึกท้อแท้

นลินเงียบไปเพราะไม่อยากจะเถียงต่อ เธอรู้ดีว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะผู้จัดการคนนี้ไม่เคยฟังเหตุผล ทั้ง ๆ หน้าที่การสั่งสินค้าเข้าร้านเป็นหน้าที่ของหัวหน้าแผนกแท้ ๆ แต่ก็ยังโยนมาให้เธอรับผิดชอบ จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าวัน ๆหัวหน้าแผนกนั้นทำอะไรบ้าง

หลังจากถูกตำหนิโดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้งแล้ว นลินจึงเดินกลับไปที่แผนกอย่างหดหู่

หญิงสาวเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟฟ้า เห็นภาพชีวิตในเมืองหลวงที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอนึกถึงบ้านที่ต่างจังหวัดอันเงียบสงบและอบอุ่น ซึ่งแตกต่างจากที่นี่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความกดดัน เลยเริ่มสงสัยว่าการที่เธอตัดสินใจทำงานอยู่ที่นี่ต่อหลังเรียนจบ นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วใช่ไหม

ขณะที่กำลังครุ่นคิดและเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จู่ ๆ ก็มีผีเสื้อตัวหนึ่งบินผ่านหน้าเธอ ผีเสื้อตัวนี้แปลกมาก ยามที่ต้องแดดในตอนเช้าดูเหมือนราวกับมันจะจะเปล่งแสงออกมา ทำให้นลินไม่สามารถละสายตาจากมันได้ เธอมองจนกระทั่งมันบินพ้นสายตาไป

ความงดงามของผีเสื้อตัวนี้ กลับทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายในเช้าที่วุ่นวายนี้

ไม่นานเมื่อถึงสถานีที่ต้องการ หญิงสาวได้ลงจากรถไฟฟ้าแล้วออกจากสถานี จากนั้นก็ตั้งใจจะข้ามถนนเพื่อไปยังห้างที่ตัวเองทำงานอยู่

นลินยืนรอสัญญาณไฟข้ามถนนตรงทางม้าลาย โดยข้าง ๆ มีนักเรียนหญิงมัธยมต้นคนหนึ่งกำลังยืนคุยโทรศัพท์อย่างสนุกสนานกับเพื่อน เด็กคนนี้กำลังคุยกับเพื่อนเรื่องที่นัดกันไปเที่ยวในสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้

“อาทิตย์นี้เราไปเกาะเกร็ดกันดีไหม ฉันได้ยินมาว่าที่นั่นมีร้านขนมไทยโบราณเยอะเลยนะ แล้วก็มีตลาดนัดด้วย เราไปกันแต่เช้าเลยไหม”

“ร้านป้าแดงไง ฉันเห็นในรีวิวบอกว่าขนมไทยร้านนั้นอร่อยมาก แล้วก็มีขนมเบื้องแป้งบางกรอบที่ทุกคนพูดถึงด้วยนะ เราต้องลองให้ได้”

“ตกลง ฉันจะเตรียมกล้องไปด้วย จะได้ถ่ายรูปกันเยอะ ๆ ไว้เป็นที่ระลึกและนำมารีวิวบ้าง”

หลังจากได้ยินการสนทนา ในใจของนลินนึกถึงตัวเองในสมัยอดีตซึ่งเธอเองจำไม่ได้แล้วเช่นกันว่า ครั้งสุดท้ายที่คุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนานและคลี่ยิ้มกว้างขนาดนั้น เคยเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกันแล้ว ช่วงเวลาที่เคยสดใสกับเพื่อนสนิท และการหัวเราะอย่างไร้กังวล กลายเป็นความทรงจำที่เลือนรางไปตามกาลเวลา

ทว่าในขณะที่ไฟสำหรับคนข้ามถนนเปลี่ยนเป็นสีเขียว ทั้งเธอและเด็กคนนั้นมองจนแน่ใจว่าน่าจะปลอดภัย จึงก้าวลงไปบนถนนเพื่อรีบข้ามไปยังอีกฝั่ง แต่จังหวะนั้นก็มีรถคันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูงตรงมายังพวกเธอ

“ระวัง!!”

ในชั่ววินาทีนั้น ไม่รู้ว่าในใจของนลินกำลังคิดอะไรอยู่ เธอยื่นมือไปคว้าเด็กสาวมัธยมต้นคนนั้นไว้ จากนั้นก็ออกแรงเหวี่ยงเด็กนักเรียนไปยังฟุตบาท

แต่เมื่อหันกลับมาอีกที รถคันนั้นก็กำลังพุ่งใส่เธอ อีกทั้งยังบีบแตรเสียงดังลั่น จนเธอต้องหลับตาเพราะความตกใจ

โครม!!

เสียงชนโครมดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วท้องถนน เสียงแตรรถและเสียงคนตะโกนด้วยความตื่นตกใจ ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความชุลมุนที่เกิดขึ้น ทำให้การจราจรทั้งหมดหยุดชะงัก รถยนต์ที่กำลังขับมาด้วยความเร็วต่างต้องหยุดเบรกอย่างกะทันหัน บางคันเปิดไฟฉุกเฉินเพื่อเตือนรถที่ตามมาให้ชะลอความเร็ว

เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรที่ประจำอยู่ใกล้เคียงรีบวิ่งมายังจุดเกิดเหตุ เขายกมือขึ้นสั่งการให้รถหยุดและเป่านกหวีดเพื่อควบคุมสถานการณ์

“หยุดรถ! ทุกคันหยุดรอ!” ตำรวจนายนี้ตะโกนเสียงดัง เพื่อให้ผู้ขับขี่ผ่านถนนเส้นนี้ได้ยินอย่างชัดเจน

ถนนที่เคยเต็มไปด้วยรถยนต์อย่างหนาแน่นและเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ในชั่วโมงเร่งด่วน แต่ตอนนี้กลับหยุดนิ่งมีคนขับรถลงมายืนดูเหตุการณ์ด้วยความสงสัย และมองอย่างเป็นห่วงเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ผู้คนมากมายต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาต่างส่งเสียงโหวกเหวกบอกให้ตำรวจรีบเข้าไปช่วย บางคนก็ตะโกนบอกให้เรียกรถพยาบาล บางคนที่พอจะปฐมพยาบาลได้ก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยเหลืออย่างไม่รีรอ

แล้วก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเมื่อเห็นเหตุการณ์ก็รีบวิ่งเข้ามาหานลิน ซึ่งเขามีท่าทางมั่นใจและดูมีประสบการณ์ในการปฐมพยาบาลอย่างมาก

เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงบ ไม่มีแววตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับคุ้นชินเหตุการณ์เหล่านี้อย่างมาก  “ทำใจดี ๆ ไว้นะครับ อย่าขยับตัวนะ รถพยาบาลกำลังจะมาถึงแล้ว”

หญิงสาวอีกคนที่อยู่ไม่ไกลก็เข้ามาช่วยดูแลเด็กสาวที่นลินช่วยไว้ เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพื่อไม่ให้เด็กคนนี้ตื่นตระหนก “ไม่ต้องกลัวนะคะ ตอนนี้น้องปลอดภัยแล้ว เดี๋ยวพี่จะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่ารถพยาบาลจะมา”

เวลานี้นลินนอนอยู่บนพื้นเธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างและพยายามหายใจเข้าลึก ๆ หูนั้นคอยฟังเสียงคนรอบข้างเพื่อให้ตัวเองสงบลง ชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยก็ยังคงพูดเพื่อให้กำลังใจไม่หยุด  

“คุณทำได้ดีมากครับ คุณช่วยน้องเขาไว้ ตอนนี้คนที่คุณช่วยนั้นปลอดภัยแล้ว คุณเป็นคนเก่งจริง ๆ อีกแป๊บเดียวรถพยาบาลก็จะมาถึงแล้ว ทำใจดี ๆ ไว้ อย่าขยับตัวไปไหนนะครับ แล้วอย่าหลับนะครับ”

ผู้คนรอบข้างเริ่มรวมตัวกันเป็นวงกว้าง บางคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปและถ่ายวิดีโอ บางคนก็พยายามให้กำลังใจนลินและเด็กสาวที่อยู่ข้าง ๆ กัน

ขณะเดียวกันก็หญิงสูงวัยคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“ลูกเอ๋ย ใจเย็น ๆ นะ แม่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเลย ลูกทำดีมากที่ช่วยเด็กไว้ คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้นะลูกนะ หนูจะต้องไม่เป็นอะไร”

เด็กหญิงที่นลินช่วยไว้ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอนั่งอยู่ด้านข้าง และอยู่ในอ้อมกอดของหญิงคนหนึ่งที่พยายามพูดปลอบใจไม่ให้เธอขวัญเสียไปมากกว่านี้ มือสองข้างยกขึ้นมาปิดปาก เธอมองมาทางนลินอย่างขวัญเสีย น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาโดยที่ไม่รู้ตัว ใจสั่นระริกด้วยความกลัวและตกใจ เนื่องจากเธอไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน และการที่เห็นคนที่ช่วยเหลือตนเองนอนจมกองเลือดตรงหน้านั้น ทำให้รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนลง

เธอพยายามลุกขึ้นยืน แม้ว่าเข่าจะสั่นด้วยความตกใจ แต่ก็เดินพยายามไปหาอีกฝ่าย ใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสารและเจ็บปวด เธอมองคนนี้ที่เพิ่งช่วยชีวิตตัวเองไว้พร้อมกับน้ำตาไหลรินลงมาเป็นสาย พยายามพูดกับผู้มีพระคุณ แต่เสียงสั่นจนแทบจะฟังไม่ออก

“พี่คะ พี่ต้องไม่เป็นอะไรนะคะ เข้มแข็งไว้นะคะ”

เธอประโยคเดิม ๆ พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วงก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เมื่อมองเห็นเลือดที่ไหลออกมาและความเจ็บปวดที่ปรากฏบนใบหน้าของผู้ช่วยชีวิต เธอรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นหัวใจเพราะไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ทะลุมิติมาเป็นหญิงตาบอด ยุค 70    ตอนพิเศษ

    ตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้

  • ทะลุมิติมาเป็นหญิงตาบอด ยุค 70    บทส่งท้าย  ครอบครัวสมบูรณ์

    บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี

  • ทะลุมิติมาเป็นหญิงตาบอด ยุค 70    บทที่ 64 จากลากันอีกครั้ง

    บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ

  • ทะลุมิติมาเป็นหญิงตาบอด ยุค 70    บทที่ 63 จบปํญหา

    บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ

  • ทะลุมิติมาเป็นหญิงตาบอด ยุค 70    บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว

    บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ

  • ทะลุมิติมาเป็นหญิงตาบอด ยุค 70    บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว

    บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status