“พี่คะ อย่าหลับนะคะ รถพยาบาลกำลังจะมาแล้ว”
เธอพูดพร้อมกับก้มลงใกล้มากขึ้น และเอื้อมไปแตะมือของนลินที่เย็นเฉียบ พยายามส่งความอบอุ่นให้ผู้หญิงที่กำลังเผชิญกับความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต
“พี่คะ ขอบคุณที่ช่วยหนูไว้ ขอบคุณจริง ๆ นะคะ” เสียงของเด็กหญิงสะอื้นไห้และเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด นลินพยายามที่จะหันไปมองหน้าเด็กหญิง ทว่าร่างกายกลับขยับไม่ได้ เธออยากจะคลี่ยิ้มออกมา แต่เพราะความเจ็บปวดทำให้ไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งจะกะพริบตาเสียด้วยซ้ำ
หญิงสาวนอนจมกองเลือด เลือดสีแดงสดไหลซึมออกจากบาดแผลบนร่างกายของเธอ รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ทรมานเหมือนกับร่างกายถูกแยกเป็นส่วน ๆ หัวใจของเธอเต้นช้าลงทุกขณะ แต่ในใจเธอยังคงสงบและเต็มไปด้วยความสุข ที่สามารถช่วยเด็กหญิงคนนั้นไว้ได้
‘อย่างน้อยเด็กคนนั้นก็ปลอดภัย วันหยุดสุดสัปดาห์นี่เธอก็จะได้ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ของเธอตามที่ได้นัดไว้’ นลินคิดในใจ
ความคิดนี้ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น แม้ว่าเลือดจะยังคงไหลออกมาและความเจ็บปวดจะไม่ทุเลาลง แต่ความอิ่มเอมใจที่ได้ช่วยเหลือคนนั้นมีอยู่เต็มความรู้สึกนลินไม่นึกเสียดายเลยสักนิดที่ได้ช่วยให้เด็กหญิงรอดพ้นจากความตาย
เวลานี้หญิงสาวนอนจมกองเลือด ความเจ็บปวดเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย นี่จึงทำให้เธอแทบจะขยับตัวไม่ได้ ความคิดต่าง ๆ วิ่งผ่านเข้ามาในหัว นลินคิดถึงความฝันและความหวังที่เคยมี คิดถึงครอบครัวที่เธอต้องจาก คิดถึงพ่อแม่ที่เริ่มแก่เฒ่า คิดถึงน้อง ๆ ที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่นที่กำลังเล่าเรียนเพื่อหาอนาคตให้ตนเอง
‘ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าชีวิตของตัวเองจะสั้นขนาดนี้ บ้าจริง อุตส่าห์ทำงานอย่างหนัก เก็บเงินไว้ตั้งมากมาย ตั้งใจว่าจะกลับบ้านไปเปิดร้านเล็ก ๆ สักร้านแท้ ๆ แต่ทุกอย่างกลับต้องพังทลายลงเสียนี่’ เธอคิดในใจอย่างเศร้าสร้อย เพราะไม่มีอีกแล้วความฝันที่วาดไว้
‘แต่ก็ช่างมันเถอะ ก่อนตายอย่างน้อย ๆ ก็ได้ช่วยชีวิตคนเอาไว้คนหนึ่ง มีความดีติดตัว ตอนที่ลงไปยังปรโลกจะได้ยืดอกบอกกับท่านพญายมไปว่าฉันตายเพราะได้ช่วยคนมา บางทีเกิดมาชาติหน้า ชีวิตก็คงไม่ลำบากขนาดนี้’ เมื่อคิดอย่างนั้นเธอรับรู้ถึงความสงบที่เริ่มเข้ามาแทนที่ความเจ็บปวด
ขณะที่ความคิดเหล่านี้ลอยอยู่ในหัว เสียงของผู้คนรอบข้างยังคงดังอยู่ไม่ขาดสาย มีทั้งคนที่พยายามช่วยเหลือ และพยายามพูดปลอบใจเธอให้ทำใจดี ๆ ไว้ ความหวังเล็ก ๆ ที่อาจจะมีชีวิตรอดก็ยังคงอยู่ แม้จะรู้ว่ามันเป็นแค่ความหวังที่เลือนรางก็ตาม
นลินหันสายตามองเด็กคนนั้นอีกครั้ง มองเห็นเธอกำลังยืนร้องไห้และพยายามจับมือเธออย่างให้กำลังใจและขอบคุณ เธอรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยก็ได้ทำสิ่งดี ๆ ก่อนจากโลกนี้ไป
แต่แล้วจู่ ๆ ผีเสื้อตัวนั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันบินผ่านหน้าของเธอไป นลินอยากเหลือบสายตาไปมองมัน แต่ก็ไม่สามารถทำได้อีกแล้ว ดวงตาของเธอเริ่มพร่ามัวไร้จุดโฟกัส ทุกอย่างค่อย ๆ มืดดับลง และรู้สึกเหมือนกำลังจมลงสู่ห้วงลึกของความเงียบสงบ ไม่มีความเจ็บปวดอีกต่อไป มีเพียงความเย็นสบายที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง
ไม่นานรถพยาบาลมาก็ถึง จึงรีบพาเธอไปโรงพยาบาลทันที
เมื่อถึงโรงพยาบาลแล้วทั้งหมอและพยาบาลต่างก็วุ่นวายกับการประคองอาการของหญิงสาว พยาบาลคนหนึ่งรีบเตรียมเครื่องช่วยหายใจ และสอดท่อช่วยหายใจเข้าไปในปากของนลิน ขณะที่หมออีกคนพยายามตรวจวัดชีพจรและความดันโลหิต หมอคอยสั่งการและตรวจสอบสัญญาณชีพต่าง ๆ อย่างเร่งรีบ
“แรงดันโลหิตต่ำมาก” หมอพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เตรียมอุปกรณ์ทำ CPR ด่วน”
พยาบาลอีกคนรีบนำเครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าออกมา เตรียมพร้อมที่จะใช้งาน เธอพยายามหาตำแหน่งที่ถูกต้องและวางแผ่นกระตุ้นบนหน้าอกของนลิน ขณะที่หมอเริ่มทำ CPR เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
“ยังไม่มีสัญญาณตอบสนอง” หมอพูดด้วยความกังวล
พยาบาลคนหนึ่งรีบฉีดยาบางอย่างเข้าที่เส้นเลือดของนลิน ขณะที่พยาบาลอีกคนคอยตรวจสอบเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างทำงานได้ถูกต้อง การทำงานร่วมกันอย่างเป็นทีมของพวกเขาเต็มไปด้วยความเร่งรีบและความตั้งใจอย่างสุดกำลัง
“เตรียมตัวกระตุ้นอีกครั้ง” หมอสั่งการอีกครั้ง
เมื่อเสียงสัญญาณเครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าดังขึ้น หมอและพยาบาลต่างก็รอดูผล หวังว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นคืนชีพของนลิน แต่ทว่าเสียงของเครื่องมือยังคงแสดงผลเหมือนเดิม ไม่มีการตอบสนองจากร่างของนลินเลยแม้แต่น้อย
“เราเสียเธอไปแล้ว” หมอพูดเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้า ผสมความเสียใจที่ไม่อาจช่วยผู้ป่วยคนนี้ได้
แม้จะพยายามเต็มที่แล้ว แต่ความพยายามทั้งหมดนั้นก็ไม่สามารถช่วยชีวิตนลินได้ หญิงสาวได้เดินทางไปสู่โลกที่เงียบสงบและไม่มีความเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว พยาบาลต่างหยุดการทำงาน และเริ่มเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยความเศร้าใจ
หมอมองไปที่ร่างของนลิน และพูดเบา ๆ กับเธอว่า
“คุณทำดีที่สุดแล้ว หลับให้สบายนะ”
หมู่บ้านไผ่หลิว เมืองหย่งคัง
เสียงหอบเหนื่อยของใครบางคนดังอยู่ข้างหูในใจของนลินคิดว่าถ้าเธอยังไม่ตาย แล้วก็อาจจะมีหวังที่จะมีชีวิตรอด อย่างไรสวรรค์ก็คงไม่ได้ใจร้ายกับเธอมากขนาดนั้น
ระหว่างที่สติเริ่มเลือนรางกลับสัมผัสได้คล้ายว่าร่างของเธอกำลังถูกใครบางคนอุ้มเอาไว้
เสียงหอบหายใจของใครบางคนเสียงดังเหมือนกับว่ากำลังพยายามพาเธอไปยังที่ที่ปลอดภัย นลินรับรู้ได้ถึงแรงกดดันและความตั้งใจของเขาที่จะช่วยชีวิตเธอ แม้จะรู้สึกว่านี่มันไม่ถูกต้อง เนื่องจากเธอถูกรถชนก็ควรจะอยู่บนรถพยาบาลสิ ไม่ใช่มีความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคนที่เหมือนกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งแบบนี้
คิดได้ดังนั้นจึงพยายามฝืนลืมตาขึ้นมามองว่าใครกันแน่ที่กำลังอุ้มเธอไว้ แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไร เบื้องหน้าของเธอก็ยังคงเป็นความมืดมิด นี่จึงทำให้หญิงสาวรู้สึกมึนงงและสับสนมาก ทั้งที่สัมผัสได้ว่าตนเองลืมตาอยู่ แต่ทำไมถึงมองไม่เห็นอะไรเลย หรือว่านี่อาจจะเพราะอุบัติเหตุนั้นทำให้เธอตาบอดนะ ถ้าอย่างนั้นที่บอกว่าเป็นความเมตตาของสวรรค์ก็ไม่น่าจะพูดได้เต็มปาก
‘เกิดอะไรขึ้นกับฉัน หรือว่าดวงตามืดบอดเพราะอุบัติเหตุกันนะ’
แต่แล้วก็ได้ยินคล้ายเสียงปีกของผีเสื้อกระพืออีกครั้งข้างหูของเธอ ทำให้นลินขมวดคิ้ว และอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมวันนี้ถึงได้มีผีเสื้อตัวนี้มาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ กับเธอทั้งวัน
‘ทำไมผีเสื้อวนเวียนอยู่กับฉันกันนะ ตอนอยู่บนรถไฟฟ้าก็เห็น ตอนถูกรถชนแล้วนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นก็เห็น แล้วตอนนี้ยังได้ยินเสียงของมันอีก’ เธอได้แต่คิดในใจอย่างสงสัย
ส่วนทางด้านของชายหนุ่มที่กำลังอุ้มร่างของหญิงสาว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรู้สึกตัวแล้วจึงเอ่ยเรียกคนในอ้อมอกด้วยความร้อนใจ
“เพ่ยหลัน...หลินเพ่ยหลัน”
เขาเรียกชื่อเธอซ้ำ ๆ หลายครั้ง แต่กลับทำให้นลินไม่เข้าใจว่าชายคนนี้กำลังเรียกใครอยู่กันแน่ หญิงสาวรู้สึกสับสนเหลือเกิน แม้ว่าเสียงเรียกนั้นดังชัดเจนอยู่ข้างหู แต่ทว่าเสียงเรียกนั้นกลับไม่ใช่ชื่อของเธอ!!
แต่ไม่ว่าชายคนนี้จะเรียกชื่อของใครก็ตาม นลินพยายามที่จะตอบกลับเพื่อจะถามเรื่องราว แต่ก่อนที่เธอจะส่งเสียงออกมา ภาพความทรงจำบางอย่างก็ฉายเข้ามาในหัวของเธอไม่ต่างจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง
เวลานี้นลินไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ทำไมภาพเรื่องราวของเธอถึงเข้ามาในหัวของตนเองได้
จากนั้นอาการปวดหัวก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ในที่สุดนลินก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทำให้ชายหนุ่มที่อุ้มเธออยู่ถึงกับหยุดเดิน เขามองเธอด้วยความตกใจและเต็มไปด้วยความห่วงใย
“เพ่ยหลัน เธอเป็นอะไร” ชายคนนั้นถามขึ้นมาอย่างร้อนรน
แต่ทว่านลินไม่สามารถรับรู้ได้อีกต่อไปแล้ว เวลานี้ร่างกายของเธออ่อนแรงลงแล้วก็สลบไปอีกครั้ง
ตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี
บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ
บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ
บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ
บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร