ฝ่ายผู้เฒ่าเจียงกลับไม่คิดเช่นนั้น
แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูเจียงเหิงมาตั้งแต่เกิด แต่แปดปีที่ผ่านมาก็รู้แก่ใจว่าหลานชายคนโตหาใช่คนเหลวไหลไร้แก่นสารอย่างที่ผู้อื่นปรามาส
ถึงเขาจะไม่ได้หาเงินมาจุนเจือครอบครัว แต่ก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใดเช่นกัน อีกอย่าง..บนร่างกายของเจียงเหิงมีกลิ่นอายของพลังอำนาจบางอย่างที่เขาไม่อาจอธิบายออกมาได้ชัดเจน
มันคล้ายกับยามที่ตนเห็นท่านเจ้าเมืองเดินผ่านเมื่อหลายสิบปีก่อนอย่างไรอย่างนั้น!
นั่นจึงทำให้ปู่เจียงยังคงมีความหวังเล็กๆ ในตัวของหลานชายว่าสักวันหนึ่ง เขาอาจจะสอบผ่านระดับจวี่เหรินและจะกลายเป็นขุนนางจริงๆ ได้
“อาเหิงกล่าวไม่ผิด สกุลเจียงหาใช่ครอบครัวชาวนาที่ไร้เกียรติ จะปล่อยให้หลานสาวในสกุลถูกจับคู่กับคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าไม่ได้เป็นอันขาด ยกเรื่องออกเรือนของอาเหยียนให้อาเหิงจัดการไป หากผู้ใดถามเราก็ตอบตามความเป็นจริง มิมีสิ่งใดต้องอับอาย”
หูซ่างซุนรีบจัดการเพิ่มข้อตกลงในการแยกเรือนลงไปบนสัญญาแล้วส่งให้ทั้งสองฝ่ายประทับลายมือจนสำเร็จ
ซึ่งนั่นก็ทำให้หลี่ซื่อเม้มปากแน่นด้วยความไม่พอใจแต่ไม่อาจสอดปาก แม้ริมฝีปากของนางจะแย้มยิ้มอ่อน แต่ดวงตากลับมืดหม่น สายตาที่ทอดไปทางกู้ชิงเหอพลันคมกริบดั่งปลายเข็ม
แต่สำหรับเจียงเหิงแล้ว..ทุกอย่างจบสิ้นกันเสียที เขาระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก
แต่แทนที่ทุกอย่างจะจบสิ้นไปแล้วจริงๆ นางหลี่ซื่อกลับเปิดฉากพุ่งเป้าไปที่กู้ชิงเหอโดยตรง “หลานสาวบ้านกู้ เจ้าก็ได้รู้เห็นเรื่องราวทุกอย่างชัดเจนดีแล้วสินะ”
กู้ชิงเหอช้อนสายตาขึ้นมามองหลี่ซื่อด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ นางจำได้ว่าในนิยายไม่มีบทสนทนานี้สักหน่อย!
“เจ้าค่ะอาสะใภ้หลี่”
“อาเหิงไม่มีเงิน เสบียงอาหารที่ได้ส่วนแบ่งไปก็กินได้ไม่กี่วัน เจ้าแน่ใจหรือว่าจะยังติดตามไปอยู่กับเขา”
“แต่..เจียงเกอเกอ (พี่ชายแซ่เจียง) จ่ายเงินซื้อตัวข้ามาแล้ว..”
“เจ้าก็หาเงินมาไถ่ตัวเองออกเสียสิ ข้าจะแนะนำให้เอง! เจ้าอยู่ช่วยงานที่เรือนนี้แล้วค่อยๆ หักค่าตัวออกไปเป็นอย่างไร"
นางรู้ดีว่ากู้ชิงเหอถูกคนสกุลกู้ใช้งานเยี่ยงทาสแต่ก็ยังก้มหน้าทำงานหนักไม่เคยหยุดพัก หากได้ตัวนางมาไว้ใช้งานโดยไม่ต้องลงทุนเองก็คงจะสะใจดีไม่น้อย!!
เจียงเหิงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เงินก็เงินของตนแต่อาสะใภ้กลับจะให้กู้ชิงเหอไปทำงานหักค่าแรงให้นาง ช่างกล้าคิดยิ่งนัก!
"เงินแค่หกร้อยอีแปะหักไปทุกวันไม่กี่ปีเจ้าก็เป็นอิสระแล้ว ไม่เห็นต้องพาตัวเองไปตกระกำลำบากกับเขาเสียหน่อย ห้องเก่าของอาเหิงก็ยกให้เสี่ยวเหวินไป เจ้าก็ไปอยู่ห้องเดิมของอาเหยียนได้ทันทีเลย” หลี่ซื่อขายฝัน
กู้ชิงเหอกลอกตามองบนไปสิบสามตลบ กรรมกรหรือคนรับจ้างทำงานหนักในยุคนี้ค่าแรงวันละสิบอีแปะก็นับว่าต่ำมากแล้ว นางเป็นหนี้เจียงเหิง 1 ตำลึงเงินก็ทำงานชดใช้แค่เพียง 100 วันเท่านั้น
หรือหากหลี่ซื่อจะหักค่าข้าวค่าน้ำไปอีกก็สมควรชดใช้กันหมดภายในครึ่งปี ไหนเลยจะต้องทำงานแลกเงินไปอีกหลายปีอย่างอาสะใภ้หลี่กล่าวกันเล่า!!
“เจียงเกอเกอมีบุญคุณช่วยชีวิต ชั่วชีวิตข้ามิกล้าลืมเลือนเจ้าค่ะ แต่หากอาสะใภ้หลี่อยากช่วยเหลือข้าจริงๆ” หญิงสาวหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะกวาดตามองทุกคน สายตาเกรงอกเกรงใจ
“ข้าได้ยินคนในหมู่บ้านลือกันมาไม่น้อยว่าท่านแม่ของเจียงซิ่วไฉทิ้งเงินจำนวนมากไว้ให้เขา หากท่านปู่ท่านย่าคืนเงินจำนวนนั้นมาให้เจียงเกอเกอบ้าง พี่ชายก็จะไม่ลำบากแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ” นางแกล้งโง่ตาใส
คิดจะเอาเปรียบนางงั้นรึ! คิดจะโกงเงินเจียงเหิงอีกรึ! ฝันไปเถิด!
เจียงเหิงรู้สึกอุ่นวาบในใจตั้งแต่กู้ชิงเหอยอมเรียกขานเขาเป็นพี่ชายไปคราวหนึ่งแล้ว พอได้ยินหญิงสาวแสดงความกตัญญูซ้ำยังตอกหน้าคนสกุลเจียงเข้าให้อีก เขาถึงกับต้องกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น
หลี่ซื่อหุบปากสนิท ย่าเหยาค้อนหมับใส่สะใภ้ปากเสียพร้อมๆ กับผู้เฒ่าเจียงสะบัดหน้าเดินหนีกลับเข้าห้องไปโดยไม่มีใครตอบคำถามกู้ชิงเหอเลยสักคน!
เจียงเหิงก็ไม่ฉวยโอกาสทวงเงินจากท่านปู่ท่านย่าต่อ ถึงอย่างไรผู้อาวุโสทั้งสองก็ดูแลเขากับน้องสาวมาหลายปี
วันนี้แค่แยกบ้านเพื่อตัดปัญหาวุ่นวาย แต่หากยังมีใครล้ำเส้นมาก่อเรื่องร้ายแรงกับตนและน้องสาวอีก เขาก็จะทบทวนเรื่องตัดขาดจากคนสกุลเจียงอีกครั้ง!
……….
ตั้งแต่เช้าจนบ่ายคล้อย ถึงตอนนี้ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องกู้ชิงเหอเลยสักคำ พอเดินทางออกจากเรือนสกุลเจียงนางก็เริ่มเวียนศีรษะและหมดแรงอย่างแท้จริง
“อีกไกลหรือไม่เจ้าคะ”
นางได้ยินคนสกุลเจียงคุยกันว่ากระท่อมเดิมอยู่บริเวณเชิงเขา เท่าที่นางเห็น ภูเขาก็ไม่ได้ไกลจากหมู่บ้านเท่าใดนัก กลับไม่คิดว่าพอต้องเดินทางออกมาจริงๆ มันกลับไกลแสนไกล ราวกับว่าวันนี้นางจะไม่มีทางเดินไปถึงด้วยซ้ำ
เจียงเหิงหยุดเดินทันที หลังจากที่กู้ชิงเหอแสดงตัวว่าจงรักภักดีกับตน รวมทั้งยังช่วยเตือนเขาเรื่องการออกเรือนของเจียงเหยียนในภายหน้า เขาก็รู้สึกดีกับหญิงสาวผู้นี้ขึ้นมาอีกไม่น้อย
“ขึ้นมา..เจ้าก็ด้วยเหยียนเอ๋อร์” เขาพยักหน้าให้สตรีทั้งสอง
ยังดีที่ท่านปู่ยังมีน้ำใจยกรถเข็นไม้ที่ไม่ได้ใช้แล้ว ให้เขาใช้บรรทุกข้าวของมาคันหนึ่ง แม้มันจะเก่าผุ แต่ก็ยังใช้งานได้ดีอยู่
“ข้ายังเดินไหวเจ้าค่ะ พี่สาวขึ้นไปนั่งพักเถิดเดี๋ยวข้าช่วยพี่ใหญ่เข็นท่านไปเอง”
เจียงเหิงลูบศีรษะน้องสาวเบาๆ ตั้งแต่ออกจากเรือนสกุลกู้ เหยียนเอ๋อร์ก็ร่าเริงขึ้นชัดเจน
แต่พอเห็นกู้ชิงเหอกึ่งปีนกึ่งตะเกียกตะกายขึ้นรถเข็นเหมือนไม่กล้าขัดคำสั่ง เขาก็ถอนใจ ไม่แน่ใจว่าน้ำเสียงเมื่อครู่แข็งกระด้างเกินไปหรือไม่
พอหญิงสาวก้าวขึ้นไปนั่งบนรถเข็น เจียงเหิงก็สังเกตเห็นว่านางเอามือกุมท้อง เม้มริมฝีปากแน่น
“ยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่ไหม..รับไปสิ” ชายหนุ่มถามพลางหยิบเซาปิ่งชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อยื่นส่งให้หญิงสาว
กู้ชิงเหอรับเซาปิ่งแผ่นบางมาจากมือเจียงเหิงและยกขึ้นมากัดกินทันที
ยามแรกที่กัดลงไปกลับไร้รสโดยสิ้นเชิง ไม่เค็ม ไม่หวาน ไม่หอม ไม่ละมุนลิ้น มีเพียงผงแป้งที่กรอบสะเทือนเหงือก ทว่าในยามท้องว่างเปล่าจนร้องครวญ รสจืดจางเช่นนั้นกลับกลายอาหารรสเลิศที่พาลให้นางน้ำตาคลอ
เซาปิ่ง (烧饼/燒餅) เป็นขนมแป้งทอดของจีนชนิดหนึ่ง ทำจากแป้งผสมมันเทศบด อาจจะไม่มีไส้ หรือยัดไส้ต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง, เผือก หรือพุทราจีนก็ได้
เจียงเหิงยืนมองภาพท่านปู่กับท่านย่าด้วยแววตาเย็นเยียบ ใจหนึ่งเขาไม่ได้ยินดีปรีดาอะไรนัก ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการให้ผู้เฒ่าทั้งสองต้องเสียใจเช่นนี้เลยแต่บางเรื่อง…หากไม่ปล่อยให้ทั้งสองเห็นกับตาตนเอง ก็คงไม่ยอมเชื่อใครง่าย ๆ เขาเพียงอยากให้ท่านทั้งสองรู้เสียที ว่าบุตรชายและสะใภ้ที่พวกเขารักนักหนาแท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไรสายตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ความทรงจำเก่า ๆ ผุดขึ้นมาในใจ ตอนที่ท่านปู่กับท่านย่าหันหลังให้เขา ยักยอกเงินที่ควรเป็นของเขา ไปทุ่มสนับสนุนครอบครัวของท่านอาแทนตอนนั้นเขาเคยเอ่ยปากถาม แต่กลับถูกมองเป็นเด็กที่ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักเห็นแก่ญาติผู้ใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยทวงถามเรื่องเงินทองที่มารดาเคยฝากไว้กับผู้อาวุโสทั้งสองอีกเลยเขาไม่ได้คิดจะผลักสองผู้เฒ่าให้ตกเหว แต่หากบาดแผลเล็กน้อยนี้จะทำให้ทั้งคู่ตาสว่าง มองเห็นความจริง และไม่คิดจะสร้างปัญหาให้ตนและน้องๆ ในภายหลังอีก เขาก็ยอมให้เกิดขึ้นกู้ชิงเหอเงยหน้ามองเจียงเหิง ความหวาดกลัวแผ่ซ่านทั่วร่าง แม้แต่ท่านปู่ท่านย่าแท้ๆ เขายังสามารถคิดแก้แค้นให้หลาบจำ นับประสาอันใดกับน้องสาวปลอม ๆ อย่างนางเล่า!!หัวใจนางเต้นแรง ตอกย้
ขากลับ กู้ชิงเหอก็ยิ้มไปตลอดทาง พลางพูดไม่หยุดถึงอนาคตอันสดใสที่จะเกิดจากการได้เพาะปลูกฝ้าย“ต่อไปกู้ชิงฉีและเจียงเหยียนก็จะสบายแล้วเจ้าค่ะ ข้ามั่นใจว่าฝ้ายครั้งนี้จะให้ผลผลิตดีแน่นอน”เจียงเหิงมองหญิงสาวที่พูดไป พลางแวะเก็บผักป่าที่ขึ้นอยู่ริมธารไปด้วยสายตาอ่อนโยนเขาเพิ่งสังเกตว่านางเปลี่ยนจากหญิงสาวมอมแมมผอมแห้ง เป็นหญิงสาวที่หน้าตาดีขึ้นมาก ดวงตาสดใสและเปล่งประกายด้วยความกระตือรือร้น รอยยิ้มสดใสที่ปรากฏบนใบหน้าของนางทำให้เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวสว่างขึ้นกู้ชิงเหอยังคงก้มเก็บผักแว่นป่า พลางพูดต่อด้วยน้ำเสียงมั่นใจ“ต่อไปข้าจะซื้อ ตำราทุกเล่มที่ท่านต้องการ ของกินที่น้องทั้งสองอยากกิน และเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เจียงเหยียนด้วยเจ้าค่ะ ชุดที่นางใส่อยู่ตอนนี้เล็กเกินไปแล้ว”เจียงเหิงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เขาคิดว่านางอาจจะอยากได้สิ่งใดเพื่อตัวเองบ้าง แต่กลับพบว่าหัวใจของนางเต็มไปด้วยความห่วงใยผู้อื่นเขาเฝ้ามองนางอย่างเงียบ ๆ สังเกตการเคลื่อนไหวของมือที่เก็บผักอย่างทะนุถนอม รอยยิ้มที่เคยเป็นเพียงแค่เงาของความสดใส เดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจและความสุขที่แท้จริง“ข้าดีใจที่เจ้าอยู่ร่วมกับพ
เสียงโต้เถียงยังคงดังระงมอยู่พักใหญ่ กว่าหูซุนจ่างจะเอ่ยขึ้นตัดบท“เอาล่ะ ๆ! พอเถอะ หากผู้ใดเต็มใจจะลองก็รับเมล็ดไปแบ่งปลูก ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ห้ามผู้ใดอิจฉาหรือต่อว่ากัน เพราะวันนี้จะเป็นการตัดสินใจของตัวพวกเจ้าเองทั้งสิ้น”ว่าพลาง เขาสั่งให้เจียงเหิงช่วยตักเมล็ดฝ้ายออกมาแบ่งใส่ถุงเล็ก ๆ แจกจ่ายแก่ครัวเรือนที่ยกมือขอลองปลูก ใครรับไปก็มีทั้งสีหน้าตื่นเต้นหวังผล หรือแววตาหวาดหวั่นไม่แน่ใจส่วนอีกหลายคน รวมทั้งกู้ต้าซุนและเจียงซืออวี่ เพียงส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อถือ พึมพำคำด่าทออยู่ข้างหลัง แล้วหันหลังกลับไปโดยไม่เหลียวแลไม่นานนัก เมล็ดพันธุ์ฝ้ายกองใหญ่ก็ถูกแบ่งไปจนหมด ผู้คนทยอยแยกย้ายกลับเรือน บ้างเดินจากไปด้วยท่าทีฮึกเหิม เต็มไปด้วยความหวังและตื่นเต้น บ้างก้าวช้า ๆ ด้วยความลังเลสงสัย เหลือเพียงกลุ่มคนที่สนิทสนมกับเจียงเหิงและกู้ชิงเหอไม่กี่คนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิมกู้ชิงเหอมองดูกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า ในนั้นย่อมมีสองพ่อลูกสกุลหู และสองสามีสกุลไห่ ส่วนที่เหลือก็ล้วนเป็นผู้อาวุโสที่เคยได้รับแป้งอวี่หูจากนางทำให้รอดชีวิตจากความอดอยากมาได้ในคราวก่อน ทุกคนเป็นคนที่นางสามารถวางใ
นางได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ ก่อนที่จะก้าวตามชายหนุ่มไปยังเกวียนที่บรรทุกถุงบรรจุเมล็ดพันธุ์กองโต ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่จ้องมองอย่างมีความหวังและวิตกปนกันไปเจียงเหิงก้มลงแกะปากถุงผ้าใบใหญ่ คลายเงื่อนเชือกออกอย่างระมัดระวัง เมล็ดพันธุ์สีคล้ำจำนวนมากปรากฏขึ้นภายใน เขาช้อนเมล็ดฝ้ายเต็มอุ้งมือ ละอองปุยขาวเล็กน้อยติดปลายนิ้ว ก่อนจะเงยหน้าส่งไปยังหญิงสาวที่ยืนรออยู่ข้างกายคนชราหลายคนย่อมคุ้นเคยกับเมล็ดพันธุ์ฝ้ายอยู่บ้าง ฝ้ายปลูกง่าย จึงมีผู้ปลูกกันแพร่หลาย เพียงแต่หมู่บ้านเกาซานมีข้อจำกัดเรื่องน้ำ พวกเขาจึงไม่เลือกปลูกฝ้าย เพราะราคามิได้งดงามนัก สู้ทุ่มแรงลงในนาข้าวหรือผักที่ขายได้ราคาดีกว่า ผลตอบแทนย่อมคุ้มค่า คนหนุ่มสาวรุ่นหลังในหมู่บ้านหลายคนจึงแทบไม่เคยเห็นเมล็ดพันธุ์ฝ้ายมาก่อนเลย“ฮึม… มันก็มิใช่ฝ้ายธรรมดาหรอกหรือ? ดูแล้วไม่เห็นแตกต่างจากเดิมเลยสักนิด เหตุใดทางการจึงว่ามันเพาะปลูกได้ยากนักเล่า?” ชายชราผู้หนึ่งขยับเข้ามาใกล้ หยิบเมล็ดขึ้นพลิกไปมาในฝ่ามือ พลางเอ่ยถามอย่างฉงนทว่ากู้ชิงเหอกลับเพียงเผยรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความมั่นใจ และก็เพียงเท่านั้น
คราวนี้ทั้งลานหมู่บ้านเงียบกริบ ความหวังดีที่แฝงอยู่ในคำพูดแข็งกร้าวของเจียงเหิง ทำให้คนส่วนใหญ่ตระหนักได้ พวกเขาพากันส่งถุงเมล็ดพันธุ์พืชกลับมาวางไว้ที่เดิมแล้วถอยออกมาทีละก้าวหูซ่างซุนกับหูจื้อจิ่นเห็นว่าความสงบกลับคืนมาแล้ว เขาก็เริ่มแบ่งเมล็ดพันธุ์ผักกาด คะน้า และถั่วลิสงออกเป็นส่วนเล็ก ๆ แจกจ่ายทีละครอบครัว แม้จะได้เพียงน้อยนิด แต่ทุกคนก็ได้รับครบถ้วน สีหน้าชาวบ้านบางคนยังคงหงุดหงิดเพราะไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากค้านอีกจนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นจากกลางฝูงชน “แล้วถุงใหญ่ ๆ ที่เหลืออยู่ตรงนั้นเล่า? เหตุใดจึงยังไม่แจกจ่าย?”สายตาทั้งหมดหันไปยังถุงผ้าใบใหญ่ที่กองพะเนินอยู่บนเกวียนดังเดิม “นั่นคือ…เมล็ดพันธุ์ฝ้าย แต่ปัญหาคือ พวกเราไม่เคยปลูกมันมาก่อน และก็ไม่เคยมีผู้ใดในแผ่นดินนี้เพาะให้มันงอกเงยขึ้นมาได้สักครั้ง เมล็ดเหล่านี้เป็นพันธุ์ต่างถิ่น แม้แต่ทางการก็ยังไม่รู้ว่ามันเหมาะสมกับดินหรืออากาศแบบใด หมู่บ้านอื่นที่เคยลองก็ล้วนล้มเหลวทั้งสิ้น”เสียงซุบซิบดังขึ้นระงมทันที บ้างขมวดคิ้วไม่เชื่อ บ้างหัวเราะเยาะ “แล้วเอากลับมาทำไมกัน ของกินยังไม่พอ จะเอาฝ้ายมาปลูกให้เสียที่ดินทำไม
ทั้งสามมองหน้ากันไปมา สีหน้าเต็มไปด้วยความลังเล เมล็ดพันธุ์ที่ชาวบ้านต้องการย่อมเป็นจำพวกพืชผักที่กินได้อยู่แล้ว หาใช่เมล็ดฝ้ายเหล่านี้ พวกเขาจึงยังมิอาจตัดสินใจได้ในทันทีเจ้าหน้าที่คนเดิมเห็นดังนั้นจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแฝงความกดดัน“เมล็ดพันธุ์ฝ้ายเหล่านี้เป็นของพระราชทานจากเบื้องสูง ให้นำมาแจกจ่ายแก่ราษฎร หากพวกท่านรับไปปลูก ย่อมมีแต่ผลดี อีกทั้งทางเหนือต้องการฝ้ายเป็นจำนวนมาก มีเท่าไรก็รับซื้อทั้งหมด เหตุใดจึงยังต้องรีรอกันอีกเล่า?”แววตาของเจียงเหิงไหววูบเพียงเล็กน้อยด้วยความสงสัย แม้จะไม่เคยปลูกฝ้ายมาก่อนแต่เขาก็รู้จักมัน และรู้ด้วยว่ามีคนปลูกตั้งมากมาย แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันเป็นสินค้าที่มีคนต้องการมากจนถึงขั้นมีเท่าไรก็รับซื้อทั้งหมดแล้วเหตุใดจึงไม่มีผู้ใดยอมเอาเมล็ดพันธุ์ฝ้ายเหล่านี้ไปปลูกกันเล่า? ความสงสัยปรากฏอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มไม่นานนัก ก่อนที่เขาจะกลับมามีสีหน้าปกติแล้วหันไปกล่าวกับสองพ่อลูก“แม้ฝ้ายจะมิใช่ของกิน แต่หากมีคนรับซื้อรออยู่แล้ว อย่างน้อยชาวบ้านก็ยังมีความหวังว่าจะได้เงินไปซื้อเสบียงอาหารมาเก็บไว้กินได้นะขอรับ" เขากล่าวพลางพยายามยิ้มกลบความกังวลทันใดน