ของใช้ส่วนตัวประเภทเครื่องนอนและเครื่องนุ่งห่มของสองพี่น้องถูกจัดไว้ในห้องพักอย่างเป็นระเบียบ กู้ชิงเหอแอบห่อไหล่ลู่ลงเล็กน้อยเพราะนางพบว่าตัวเองมีเพียงเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ติดกายมาเท่านั้น
“ท่านกับข้ามีขนาดตัวพอๆ กัน ใส่เสื้อผ้าของข้าก่อนก็ได้เจ้าค่ะ อีกหน่อยข้าจะขอให้พี่ชายซื้อให้ท่านใหม่สักชุด”
“อีกสองสามวันข้าจะกลับไปที่สกุลกู้สักรอบ ข้ายังพอมีเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวเหลืออยู่ที่นั่นบ้าง ระยะนี้รบกวนเจ้าก่อนนะเหยียนเอ๋อร์”
“บัดซบ!” เสียงสบถเบาๆ ของเจียงเหิงดังขึ้น
สองสาวเดินออกจากห้อง เห็นว่าเจียงเหิงขนข้าวของจำพวกเสบียงอาหารมาวางไว้บนโต๊ะที่เพิ่งซ่อมแซมเสร็จหลายอย่าง
“ข้าวฟ่างนี่ผสมแกลบและมีฝุ่นเต็มถุงเลย” ชายหนุ่มล้วงมือลงไปตักข้าวฟ่างขึ้นมาหนึ่งอุ้งมือ
เมล็ดข้าวฟ่างเม็ดกลมขนาดเล็กหล่นร่วงจากซอกนิ้ว ทว่าระหว่างเม็ดข้าวนั้นกลับมีสิ่งแปลกปลอมเจือปนอยู่นับไม่ถ้วน ฝุ่นผงละเอียด แกลบแตก เศษเปลือกไม้แข็ง ๆ สีคล้ำและแม้แต่เม็ดหินเล็ก ๆ ก็มิได้ถูกแยกทิ้ง
มือของเขานิ่งไม่ไหวติง หากสายตากลับจ้องมองสิ่งในมือนั้นอย่างเย็นชา
“ตอนที่ท่านย่าตวงข้าวต่อหน้าหูซ่างซุนมันไม่ได้เป็นแบบนี้เสียหน่อยนี่เจ้าคะ!” เจียงเหยียนเบิกตาโพลง
กู้ชิงเหอลองหยิบถุงผ้าหยาบใบอื่นออกมาเปิดดูบ้าง
ข้าวสาลีเม็ดใหญ่ราวหนึ่งชั่ง บัดนี้ถูกตักออกไปเหลือไม่ถึงครึ่ง ถั่วเขียว ถั่วแดง ผักกาดเค็มตากแห้ง ทุกอย่างลดน้อยลงกว่าตอนที่แบ่งกันอยู่ในเรือนใหญ่ทั้งหมด!
“ท่านย่าคงฉวยโอกาสตอนที่เราไปตรวจสอบรถเข็น แอบตักเสบียงอาหารออกไปแน่เลยเจ้าค่ะพี่ใหญ่”
นางรู้ดีที่สุด เพราะท่านย่ามักจะแอบทำเช่นนี้กับอาหารส่วนของนางและพี่ชายเป็นประจำ
กู้ชิงเหอมองเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของเจียงเหิงชัดเจน
ชั่วขณะหนึ่งเขากัดกรามแน่นจนขึ้นเป็นสันนูน ปลายนิ้วกำเข้าหากัน แต่เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นเขากลับเอ่ยตอบน้องสาวอย่างนุ่มนวล
“ช่างเถิด อย่างไรท่านปู่ท่านย่าก็นับเป็นผู้มีพระคุณ ให้ครั้งนี้เป็นการเอาเปรียบเราสองคนเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน” กล่าวจบเขาก็รวบธัญพืชทั้งหมดใส่ลงในโอ่งดินเผาใบโตที่ได้ส่วนแบ่งมาสองใบจากเรือนใหญ่
“เจ้าทำอาหารได้ใช่หรือไม่ชิงเหอ”
หญิงสาวพยักหน้ารัวๆ นางจบการศึกษาคณะเกษตรศาสตร์มานะ! ตอนออกค่ายฝึกงานที่ชนบทยังเคยหุงข้าวด้วยฟืนเองกับมือ! เรื่องทำอาหารก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับนางเช่นกัน
“ปัญหาคือน้ำเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา
ในนิยายกล่าวไว้ว่าแคว้นหนานจวิ้นประสบภัยแล้งมานานถึงสามปีอย่างต่อเนื่อง ปีหนึ่งมีฝนตกเพียงไม่กี่วัน แม้จะพอมีน้ำฝนลงมาเติมแหล่งน้ำตามธรรมชาติ หรือเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้รองน้ำฝนเก็บไว้กิน แต่มันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี
บ้านสกุลกู้ สกุลเจียง หรือคนอื่นๆ ในหมู่บ้านเคยมีประสบการณ์ขาดแคลนน้ำดื่มมาแล้ว พวกเขาจึงรองน้ำฝนเก็บไว้กินและใช้อย่างประหยัดที่สุด
แต่สำหรับเจียงเหิงที่เพิ่งแยกเรือนออกมานั้นต่างออกไป หลังบ้านมีเพียงบ่อน้ำร้าง โอ่งดินเผาที่ได้มาจากเรือนใหญ่สองใบก็เป็นเพียงโอ่งเปล่าเท่านั้น
เจียงเหิงแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ใกล้จะมืดก่อนจะเดินไปฉวยเอาถังไม้สองใบมาถือไว้
“ทำอะไรได้ก็ทำกินกันไม่ก่อนไม่ต้องรอข้า ข้าจะไปหาน้ำมาไว้ให้ใช้เอง”
พอเจียงเหิงจากไปกู้ชิงเหอก็เริ่มมองเสบียงอาหารที่นางมีอยู่ในเวลานี้ ข้าวฟ่างนั้นสกปรกเกินกว่าจะร่อนฝุ่นออกมาใช้งานได้ในเวลาเร่งด่วน นางจึงจำเป็นต้องเลือกหุงข้าวต้มเพื่อเป็นการประหยัด
พอได้หม้อดินกับทัพพีไม้คนละอัน หญิงสาวก็ชักชวนเจียงเหยียนให้ไปที่ลำธารสายเล็กที่อยู่ไม่ไกล
“ระวังอย่าให้ถึงพื้นนะ ประเดี๋ยวน้ำจะขุ่นหมด” กู้ชิงเหอเตือนเสียงเบา มือผอมบางข้างหนึ่งค่อย ๆ วางทัพพีไม้ลงในจุดที่น้ำลึกที่สุด
สองสาวผลัดกันตักทีละทัพพี ค่อย ๆ เทน้ำใส่หม้อดินด้วยความระมัดระวังจนแทบไม่หายใจแรง เพราะหากตักผิดมุมเพียงชุ่น ทรายก้นธารก็จะฟุ้งขึ้นทันที
พอได้น้ำหม้อแรกและมีพอสำหรับซาวข้าว กู้ชิงเหอก็ปล่อยให้เจียงเหยียนตักน้ำไว้สำหรับต้มดื่มอีกหนึ่งหม้อ ส่วนนางก็รีบกลับไปก่อฟืนและตั้งข้าวต้มให้เสร็จก่อนที่ฟ้าจะมืด
วันนี้นางไม่มีความคิดจะทำสิ่งอื่นใดเพราะใกล้ค่ำแล้ว จึงได้ต้มข้าวไว้กินกับผักดองก้นไหที่ได้ส่วนแบ่งมาจากเรือนใหญ่เท่านั้น
“ท่านย่าบอกว่าข้าวสารเหลือน้อย ทุกวันก็ต้มแต่น้ำข้าวจางๆ มาให้เราสองคนกิน” เจียงเหยียนสูดดมกลิ่นข้าวที่ฟุ้งไปรอบเรือนพลางชะเง้อมองไปด้านนอกรอการกลับมาของพี่ชาย
กู้ชิงเหอหน้าเสีย นางเอาแต่คิดจะรีบบำรุงร่างกายตนเองให้แข็งแรง ลืมไปเสียสนิทว่ายามนี้เสบียงอาหารของสองพี่น้องเหลือน้อยนิด แต่นางกลับมือเติบต้มข้าวขาวเนื้อแน่นไปเกือบครึ่งหม้อ!!
จากสภาพความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านเกาซานเชื่อว่าไม่มีใครสิ้นเปลืองเท่านางในตอนนี้แล้ว!
จะให้นางออกไปตักน้ำในลำธารมาเติมก็คงจะไม่ทันเพราะตอนนี้ฟ้ามืดสนิทแล้ว น้ำที่เหลืออีกหม้อก็ต้องเก็บไว้ดื่มอีก
“พรุ่งนี้ข้าจะออกไปหาเสบียงอาหารมาชดเชยให้นะ ข้าเผลอต้มข้าวมากเกินไปหน่อยน่ะ”
“วันนี้เป็นวันแรกของพวกเราในบ้านใหม่ก็ต้องกินให้อิ่มท้องไว้ก่อนสิเจ้าคะ พี่สาวทำถูกแล้วล่ะ” เจียงเหยียนยิ้มอ่อนหวาน
กู้ชิงเหอใจชื้นขึ้นมาทันที นางรู้ดีว่าเจียงเหยียนมีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่ว่าเด็กสาวผู้นี้จะถูกบังคับด้วยบทบาทของนิยายให้รักนางสุดหัวใจหรืออะไรก็ตาม นางก็พร้อมจะปกป้องและดูแลเจียงเหยียนเหมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่ง
“เหตุใดพี่ใหญ่ยังไม่กลับมาอีกนะ ข้าหิวแล้วล่ะพี่ชิงเหอ”
“ถ้าเจ้าหิวก็กินก่อนเถิดคงอีกนานกว่าเขาจะกลับมา”
นางไม่ได้คาดเดาเอาเอง ฉากนี้นางได้อ่านมาก่อน เจียงเหิงเดินไปแบกน้ำไกลถึงบริเวณสะพานไม้หน้าหมู่บ้าน เพราะนั่นเป็นจุดที่น้ำลึกและใสที่สุด
คืนนี้เขาจะแบกน้ำกลับมาที่เรือนสองถัง และในนิยายนางกับเจียงเหยียนจะพากันเข้านอนก่อนที่เขาจะกลับ
กู้ชิงเหอคนเดิมในนิยาย เกรงใจและมักจะหลบหน้าหลบตาเจียงเหิงอยู่เป็นประจำ พวกเขาแม้จะร่วมชายคาเดียวกันแต่กลับมีกำแพงเล็กๆ ที่ปิดกั้นระหว่างกันเอาไว้ และสุดท้ายก็นำไปสู่ความไม่ไว้วางใจกันในที่สุด
ในเมื่อนางคิดจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของตนเองก็สมควรทำดีรอบด้านให้เขาเห็นว่านางเป็นฝ่ายเดียวกับเขาอย่างแท้จริง
ยามห้าย (21.00-22.59) เจียงเหิงก็กลับมาพร้อมกับน้ำสองถัง เมื่อมองเห็นแสงไฟอ่อนๆ ส่องมาจากเรือนหลังเล็ก ใบหน้าของเขาเครียดขึงขึ้นมาเล็กน้อย
“นอนหลับไม่รู้จักดับฟืนไฟ หากเกิดอันตรายกับเหยียนเอ๋อร์ข้าคงต้องสำนึกผิดจนตัวตายเป็นแน่!” ชายหนุ่มรำพันออกมา รีบเร่งฝีเท้าให้ไปถึงเรือนโดยเร็วที่สุด
"ศาลเจ้าเล็กๆ ของหมู่บ้านเกาซาน" นางพึมพำกับตัวเอง พยายามนึกถึงรายละเอียดที่เคยอ่านเจอในนิยาย ต้นฉบับไม่ได้บรรยายบ้านสกุลกู้ไว้ละเอียดนัก นางรู้เพียงว่าก่อนจะถึงเรือนสกุลกู้จะมีศาลเจ้าเล็กๆ ของหมู่บ้านร่างเล็กก้าวเท้าเร็วขึ้นเมื่อเห็นหลังคาศาลาเล็กๆ สีแดงซีดโผล่พ้นแนวไม้ ทันใดนั้น สายตาพลันเหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากด้านหลังศาลเจ้า เขาอยู่ในชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบที่ดูเก่าซีด เมื่อเขาหันมามองนางชั่วครู่ ดวงตาเล็กเชิดสูงกับไฝเม็ดใหญ่ที่ต้นคอนั้นทำให้นางรู้ได้ทันที นี่คือ กู้ชิงเป่า ลูกพี่ลูกน้องวัยสิบเจ็ดปีของนางนั่นเอง!กู้ชิงเป่าเคยเป็นหนึ่งในคนที่กลั่นแกล้งนางและกู้ชิงฉีอยู่เป็นประจำ เขามักจะใช้กำลังแย่งอาหารของนางและน้องชายไปเสมอ ทำให้พวกนางอดอยากยิ่งกว่าเดิม ครั้งหนึ่งนางเคยแม้กระทั่งถูกเขาผลักตกจากเนินดินเพียงเพราะต้องการชิงผักป่าต้นเดียวไปจากนาง การเจอเขาที่นี่จึงยิ่งตอกย้ำว่านางมาถูกทางแล้ว!กู้ชิงเป่าทำเพียงปรายตามองนางแล้วเบ้ปากก่อนจะรีบเดินจากไปราวกับไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับนางเห็นได้ชัดว่ามันผิดปกติ!! นางมั่นใจว่ากู้ชิงเป่าจะไม่ปล่อยนางให้เดิน
สุดท้ายแล้ววันนี้กู้ชิงเหอก็ได้ยอดอ่อนของเฟินป่าเต็มตะกร้ากับเถาฮุยเถิงเฉ่าติดมือกลับไปที่เรือน พอเก็บของไว้ในเรือนเสร็จนางก็ออกมาเก็บหินจากลำธารแห้งขึ้นมาทำแนวคันหินริมธารอีกครั้ง จนเจียงเหยียนต้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย“พี่สาวไม่เหนื่อยหรือเจ้าคะ หินพวกนี้ก็ไม่ใช่เบาๆ เลยนะ”“ไม่เหนื่อยหรอก เจ้าเหนื่อยหรือ? เช่นนั้นก็นั่งดูเฉยๆ” หญิงสาวตอบพลางนึกสงสัยเช่นกันว่าตนเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน“ทำไมต้องเอาหินมาเรียงกันแบบนี้ด้วยเล่าเจ้าคะ”"ถ้าเริ่มสร้างแนวกั้นไว้แต่เนิ่น ๆ พอฝนตกลงมาก็จะช่วยกั้นน้ำเอาไว้ได้”เด็กสาวหัวเราะร่วน “แต่ละปีมีฝนตกลงมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเองเจ้าค่ะ บางปีไม่ตกเลยสักหยดด้วยซ้ำ พี่สาวคงต้องเหนื่อยเปล่าแล้ว”กู้ชิงเหอได้แต่ก้มหน้าทำต่อไปเงียบ ๆ เพราะนางไม่รู้จะตอบอย่างไร มีบางเรื่องหรือบางคน เช่นหูซุนจ่างและสตรีสองคนบนภูเขาที่นางไม่เคยอ่านเจอในนิยาย อาจมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่นางทะลุมิติเข้ามา แต่บางเส้นเรื่องย่อมยังดำเนินตามเดิม เช่นฤดูฝนที่ต้องมาถึงนางรู้ว่าอีกราวหนึ่งเดือนข้างหน้าฝนจะตกลงมาทันเวลากับที่น้ำในลำธารของหมู่บ้านแห้งสนิทลงไปพอดิบพอดี ชาวบ้
มือของกู้ชิงเหอสั่นเล็กน้อยบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของ เพียงแค่ได้ยินชื่อกู้ชิงฉีนางก็รู้สึกอึดอัดไปทั่วร่าง"พวกเจ้าพูดอันใด? ใครเป็นภรรยาของพี่ข้า?" เจียงเหยียนหน้าบึ้งมองสตรีสองคนด้วยความไม่พอใจเฉินเหมยลี่ปรายตาหยาม"ก็แม่นางกู้นั่นอย่างไรเล่า หรือจะให้ข้าพูดให้ชัดว่าพี่เจ้าซื้อนางมาอยู่เรือนเดียวกัน คนทั้งหมู่บ้านต่างก็รู้กันทั้งนั้น"เจียงเหยียนเม้มริมฝีปากแน่น นางได้ยินพี่ชายย้ำหลายครั้งไม่ให้ผู้ใดมาหมิ่นเกียรติพี่สาว แม้จะกลัว..แต่หญิงสาวก็ยังโต้ตอบกลับ "นางมาอยู่เรือนเดียวกับข้าในฐานะใด ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาว่าร้ายป้ายสี!"“เหอะ! เจ้าคิดนางจะช่วยเจ้าได้งั้นหรือถึงได้กล้าเถียงข้า เจียงเหยียน!” เฉินเหมยลี่ถลึงตาโตข่มขู่น้องสาวสกุลเจียงผู้นี้แต่ก่อนไม่เคยแม้แต่จะกล้าสบตาพวกนาง แต่วันนี้กลับคิดอยากลองดี นางคงต้องสั่งสอนสักหน่อยเสียแล้ว!เพียะ!ก่อนที่เฉินเหมยลี่จะทันได้เอื้อมมือแตะตัวเจียงเหยียน กู้ชิงเหอก็สาวเท้าเข้ามายืนกั้นระหว่างทั้งสองไว้ มือของนางแตะเบา ๆ ที่แขนของอีกฝ่ายเพียงหวังจะกันไม่ให้เข้ามาใกล้ ทว่าทันใดนั้น...ร่างของเฉินหมยลี่กลับกระเด็นถอยหลังไปถึงสองก้าวเต็ม!"
เจียงเหิงหันมองน้องสาว “ขึ้นเขาไม่ใช่เรื่องเล่น เดินผิดก้าวอาจพลัดตกหินได้”“แต่ข้าระวังได้! ท่านพี่อย่าห้ามข้าเลย ข้าแค่อยากช่วยหาอาหาร ไม่อยากให้พี่ทั้งสองต้องออกแรงหาอยู่ฝ่ายเดียว”เจียงเหยียนกล่าวอย่างมุ่งมั่น ดวงตาสุกใสกู้ชิงเหอยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ถ้าพรุ่งนี้แดดไม่แรงนักข้าจะพาเจ้าขึ้นไปด้วย ระหว่างทางจะคอยสอนเจ้าว่าพืชอะไรควรเลี่ยง พืชใดกินได้”ชายหนุ่มมองเจียงเหยียนที่โตขึ้นมากกว่าเดิมนัก ดวงหน้านั้นยังคงมีรอยเยาว์วัยอยู่ แต่แววตาเริ่มมีประกายของคนที่พร้อมจะรับผิดชอบชีวิตความรู้เรื่องพืชผักของตนมีไม่เท่ากู้ชิงเหอ สตรีร่างเล็กผู้นี้เดินขึ้นเขาเข้าป่าทุกวันราวกับเป็นบ้านหลังหนึ่ง หากให้นางเป็นคนสอนวิธีเอาตัวรอดให้น้องสาวก็ไม่เลวนัก“หากเจ้าแน่ใจว่าจะไป ข้าก็ไม่ขัด เพียงแต่ต้องฟังแม่นางกู้ให้ดี อย่าซุกซนจนเดินพลาดก็พอ”เจียงเหยียนตาเป็นประกาย รีบพยักหน้าอย่างหนักแน่น“เจ้าค่ะ ข้าจะระวังอย่างยิ่ง!”แววตาของกู้ชิงเหอเจิดจ้าขึ้น แม้จะยังไม่รู้ว่าบนเขานางจะโชคดีได้เจอผักป่าหรือไม่ แต่หากต้องรับตัวกู้ชิงฉีมาอยู่ที่นี่ด้วย ก่อนอื่นนางต้องทำให้เจียงเหิงมั่นใจว่านางมีความสามารถ และ
พอนางเห็นเขา ก็รีบวักน้ำในแอ่งน้ำใสสะอาดที่นางเพิ่งขุดขึ้นมาเองเมื่อเช้ามาล้างมือ แล้ววิ่งกลับมาหาเขาที่เรือน“เจียงเกอเกอกลับมาแล้ว!”“พี่ชายกลับมาแล้ว!” น้องสาวสองคนทักทายเขาพร้อมกันด้วยใบหน้าสดใส ทำเอาเจียงเหิงรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง“ข้าไปรับจ้างเขียนจดหมายให้พ่อค้าร้านชาในตำบล ได้เงินมานิดหน่อย” เขากล่าวพลางยิ้มมุมปาก “เลยซื้อข้าวสารมาเพิ่ม ที่เหลือก็เผื่อไว้วันหน้า”เขาหันมาทางกู้ชิงเหอ สีหน้าย้ำแน่วแน่ “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องข้าวสารในเรือน หุงหาได้ตามสบาย ข้าจะออกไปทำงานทุกวันเอง วันนี้เพิ่งเริ่มคนยังไม่รู้ว่าข้ารับจ้างเขียน แต่ถ้าไปทุกวันอาจจะมีคนจ้างให้ทำงานอื่นเพิ่มขึ้น”แม้จะกล่าวว่าให้กู้ชิงเหอหุงหาได้ตามชอบ แต่ในใจของเจียงเหิงก็หดหู่ไม่น้อย เดือนก่อนกู้ต้าซุนใช้เงินหกร้อยอีแปะซื้อข้าวสารมาได้ยี่สิบชั่ง แต่วันนี้ข้าวราคาขึ้นสูงถึงชั่งละ 45 อีแปะแล้ว ทั้งตำบล มีเพียงไม่กี่คนที่อ่านออกเขียนได้ แต่ใช่ว่าผู้มีวิชาเหล่านั้นจะยอมลดตนลงมารับจ้างเขียนจดหมายให้ใครคนมีการศึกษายิ่งหายาก ยิ่งถือตัว ห่วงศักดิ์ศรีมากกว่าปากท้องมีเพียงตนเท่านั้น ที่ยอมตั้งโต๊ะเล็ก ๆ หน้าศาลเจ้าป
“พี่สาวกู้ ท่านจะขยายบ่อน้ำตื้นเพิ่มขึ้นอีกหรือเจ้าคะ?” เจียงเหยียนเอียงคอถามนางกับกู้ชิงเหอช่วยกันขุดบ่อน้ำตื้นจนมีความลึกมากพอให้ใช้ถังไม้จ้วงลงไปตักน้ำได้โดยไม่ทำให้น้ำขุ่นสำเร็จแล้ว แต่พี่สาวร่างเล็กกลับยังไม่ยอมหยุดมือ นางยังคงเดินพลิกหินก้อนใหญ่ตามธารน้ำไม่หยุดคล้ายกำลังหาสิ่งใดอยู่“ข้าจะหาปลามาทำเป็นมื้อเย็นให้พวกเราได้กินกัน”“ปลา!! ยังจะมีปลาเหลืออยู่อีกหรือเจ้าคะ?”“ที่ใดมีน้ำ ที่นั่นย่อมมีปลา ยอมเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกนิดวันนี้เราจะได้กินเนื้อปลาแน่นอน!”“ข้ากลัวแต่ท่านจะเหนื่อยเปล่าน่ะสิ..พี่เสี่ยวเหวินชอบหาปลา เขาออกไปจับปลากับเด็กชายในหมู่บ้านทุกวัน จนเวลานี้แม้แต่ปลาตัวเล็กๆ ก็ไม่เหลือแล้ว”“เสี่ยวเหวินหาปลาในน้ำใช่หรือไม่ แต่ข้าจะหาปลาจากในดินให้เจ้าดูเอง” กู้ชิงเหอกล่าวด้วยรอยยิ้มและแววตาซุกซน นางเชื่อว่าในน้ำต้องมีปลาอย่างแน่นอน แต่หากต้องการปลาที่มีขนาดใหญ่สักหน่อย นางต้องหาจากโคลนใต้หินเหล่านี้นั่นล่ะ“เจ้ามาดูนี่สิ!” หญิงสาวกวักมือเรียกเจียงเหยียนเข้ามาใกล้“เจ้าดูให้ดี ดินตรงนี้จะต่างจากบริเวณอื่นเล็กน้อย” เจียงเหยียนนั่งยองพิจารณาดินทรายใต้ก้อนหินที่กู้ชิงเหอเพิ