LOGIN“เงินนี้แบ่งครึ่งไม่ได้!” นางหลี่คัดค้านทันควัน
“ท่านพ่อกับท่านแม่สามียังอาศัยอยู่ที่เรือนเดิม ไม่ได้ไปเป็นภาระให้อาเหิงเลี้ยงดู สมควรเก็บเงินนี้ไว้ที่เรือนใหญ่ไม่จำเป็นต้องแบ่งให้เขา"
ย่าเหยารีบคว้าหีบไม้กลับคืนมาจากหูซ่างซุน “สะใภ้รองกล่าวถูกต้องแล้ว เงินนี่ข้าจะเก็บเอาไว้เอง”
“ทำตามที่ท่านย่าว่าเถิดขอรับ ข้าไม่มีความเห็นอื่น” เจียงเหิงไม่มีอาการตอบสนองอื่นนอกจากความนิ่งเฉย
หูซ่างซุนพยักหน้ารับรู้ก่อนจะขีดเขียนอะไรลงบนกระดาษอีกพักใหญ่
“พรุ่งนี้ข้าจะร่างสำเนาเอามาให้สองครอบครัวเก็บไว้คนละฉบับ ส่วนฉบับนี้ข้าจะเก็บไว้เป็นหลักฐานเอง พวกเจ้าประทับลายมือตรงนี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้น”
กู้ชิงเหอคิ้วกระตุกเล็กน้อย เอ๊ะ!!..จบลงเพียงเท่านี้หรือ? ไม่ถูกสิ ยังมีบางอย่างที่ต้องได้รับการแก้ไข.. นางต้องรีบเตือนเจียงเหิง!
กู้ชิงเหอพยายามกะพริบตาส่งสัญญาณให้เจียงเหิงแต่เขากลับไม่ได้หันมองมาที่นาง
หญิงสาวเริ่มร้อนใจ นางหลี่ซื่อมีหลานชายไม่เอาไหนอยู่คนหนึ่ง ภายหลังชายหนุ่มผู้นั้นไม่อาจหาภรรยาได้ หลี่ซื่อจึงคิดจะยัดเยียดเจียงเหยียนให้ออกเรือนไปกับเขา
แม้ว่าเจียงเหิงจะแก้ปัญหาได้ในที่สุด แต่เขาก็ต้องเสียทั้งเงินเสียทั้งเวลาไปอีกมากมาย กระนั้นกว่าเรื่องจะจบนางหลี่ซื่อยังเรียกร้องผลประโยชน์ไปได้อีกไม่น้อย
ให้เจียงเหิงตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสียในวันนี้เลยจะเป็นการดีกว่า!
นางพยายามกระแอมไอ เบาๆ อีกครั้งให้เจียงเหิงหันมามองแต่ก็ยังล้มเหลว จนเมื่อได้ยินหูซ่างซุนให้ประทับลายนิ้วมือลงบนสัญญา นางจึงรีบหันไปคุยกับเจียงเหยียนเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
“เหยียนเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวลไปนะ ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเป็นคนสกุลกู้ เรื่องการออกเรือนของเจ้าภายหน้าก็ยังมีผู้อาวุโสคอยชี้แนะ”
นิ้วมือที่กำลังจะประทับลงบนสัญญาของเจียงเหิงชะงักกลับทันที เขาหันมามองกู้ชิงเหอด้วยแววตายากจะอธิบาย
หากนางเพียงพูดออกมาลอยๆ เขาก็รู้สึกขอบคุณมากที่นางเตือนสติเขาไว้ทันเวลา
แต่เขาก็ไม่อาจลืมได้ว่า สตรีผู้นี้เพิ่งเผชิญกับการถูกส่งตัวไปออกเรือนอย่างไม่เป็นธรรมด้วยน้ำมือของญาติผู้ใหญ่ที่เห็นแก่เงิน คำกล่าวของนางเมื่อครู่อาจเป็นการตั้งใจเตือนเขาโดยตรงก็ได้
หญิงชาวบ้านธรรมดามองการณ์ไกลและรู้จักเลือกถ้อยคำได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? น่าสนใจนัก!!
“ข้าเป็นพี่ชายของนางก็ไม่ต่างจากบิดา เรื่องการออกเรือนของเหยียนเอ๋อร์ก็สมควรให้ข้าเป็นคนจัดการ หูซ่างซุนช่วยบันทึกเรื่องนี้ไว้ในข้อตกลงด้วยเถิดขอรับ”
“เหลวไหล!” ปู่เจียงตบเข่าดังฉาด
“ถึงเจ้าจะสอบได้เป็นซิ่วไฉ แต่เรื่องงานออกเรือน หญิงสาวต้องฟังผู้เฒ่าผู้แก่ แม้แต่ฮูหยินขุนนางยังต้องให้บิดาเจรจาแทน! แม้พ่อแม่เจ้าจะไม่อยู่แล้วแต่เจ้าคิดว่าปู่ย่าของเจ้ามีชีวิตอยู่ไปเพื่อประดับเรือนหรือไร?!!”
เสียงของหลี่ซื่อดังแทรกขึ้นมาบ้าง
“หรือเจ้าคิดจะทำตามอำเภอใจ คัดค้านธรรมเนียมบ้านเมือง? เป็นถึงซิ่วไฉแต่เรื่องแค่นี้กลับคิดไม่ได้" นางยิ้มเยาะ
เจียงเหิงยืนนิ่ง แต่ในใจกลับปั่นป่วนดั่งหม้อข้าวเดือด ขณะเขายังมิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด เสียงของกู้ชิงเหอก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ข้าอิจฉาเจ้าจริงๆ เลยเหยียนเอ๋อร์ ชีวิตข้าอาภัพนัก..ท่านลุงและป้าสะใภ้ของข้าคิดแต่จะขายข้าแลกเงินสินสอด ส่วนผู้อาวุโสในสกุลเจียงของเจ้า ต่างพากันแย่งเป็นธุระหาสินเดิมเตรียมไว้ให้เจ้าออกเรือน”
“พี่สาวกู้ สินสอดสินเดิมอันใดกัน ข้าเพิ่งสิบสามเองนะเจ้าคะ” เจียงเหยียนตอบเสียงเบา
นางหลี่ซื่อยกมือขึ้นทาบอกดวงตาเบิกโพลงจ้องมองกู้ชิงเหอด้วยสายตาไม่เป็นมิตร!
กู้ชิงเหอคิดตรงกับใจนางเรื่องที่นางอยากได้สินสอด!!! แต่นังเด็กนี่จะพูดเรื่องสินเดิมขึ้นมาเพื่ออะไร! ฝันไปเถิดว่าบ้านใหญ่ต้องมาจัดการเรื่องสินเดิมให้เจียงเหยียน นางไม่ใช่แม่ของสองพี่น้องคู่นั้นนะ!
“สินดงสินเดิมอันใดกัน..ปู่กับย่าเจ้าอายุมากถึงเพียงนี้แล้วจะให้เตรียมสินเดิมมากมายมาจากไหน” ปู่เจียงเอ่ยเสียงเข้มขึ้น
“ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นไปไม่ได้หรอก ให้พี่ชายจัดการเรื่องออกเรือนของน้องสาวทั้งที่ผู้อาวุโสในสกุลยังมีชีวิตอยู่ ใครรู้เข้าคงว่าคนสกุลเจียงไม่รู้จักธรรมเนียม เรื่องออกเรือนของเหยียนเอ๋อร์ในภายหน้า เอาไว้ข้าจะเป็นคนจัดการให้เอง”
คิ้วเรียวของเจียงเหิงยังคงสงบ แต่ริมฝีปากเม้มแน่นเฉียบขาด
“ข้ามิมีเจตนาจะให้ท่านปู่ท่านย่าต้องลำบากใจแต่อย่างใดขอรับ แต่ข้าจำต้องกล่าวตามความจริงประการหนึ่ง" ชายหนุ่มหยุดรอให้ทุกคนในเรือนเงียบเสียงลงแล้วจึงกล่าวต่อ
"หากผู้จัดการเรื่องออกเรือนของน้องสาวเป็นซิ่วไฉเช่นข้า แม่สื่อย่อมเห็นว่าสตรีในเรือนเรามีผู้คุ้มเกียรติ และย่อมสรรหาบุรุษที่เหมาะสมกับระดับยิ่งขึ้นไป แต่หากเป็นท่านปู่..แม่สื่ออาจมองว่าเหยียนเอ๋อร์เป็นเพียงหญิงในครอบครัวชาวบ้านทั่วไป คู่ครองที่นำเสนอก็มักจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกันหรือต่ำกว่าใช่หรือไม่ขอรับ”
ผู้เฒ่าเจียงเข้าใจถ่องแท้ หญิงแต่งเข้าประตูสูง (แต่งให้สูงกว่า) ชายแต่งรับจากประตูต่ำ (รับคนต่ำกว่า) แต่หากพี่ชายเป็นถึงซิ่วไฉ ใครเล่าจะกล้าหาคู่ที่ต่ำต้อยมาให้เจียงเหยียน
เสียงในเรือนเงียบลงชั่วขณะ ท่านปู่หรี่ตาสีหน้าครุ่นคิด ส่วนหลี่ซื่อที่นั่งฟังอยู่ด้านหลังแอบกัดฟันแน่น กำมือจนเล็บจิกฝ่ามือ นังเด็กกู้ชิงเหอนั่นต้องบอกให้อาเหิงพูดเรื่องนี้แน่ๆ!
“ข้ามิได้เอ่ยเช่นนี้เพื่อยกตน หากแต่เพื่อเหยียนเอ๋อร์จะได้ออกเรือนอย่างมีเกียรติ เป็นหน้าเป็นตาให้สกุลเจียงอีกทาง”
“ข้าก็เห็นว่าสมควรอยู่นะ พวกเจ้าว่าอย่างไรเฒ่าเจียง” หูซ่างซุนคิดไม่ต่างจากเจียงเหิง เขาจึงรีบสนับสนุน
“หากวันหนึ่งอาเหิงสอบจวี่เหรินได้ แม่สื่อก็อาจแนะนำนางให้กับบุตรชายนายอำเภอได้น่ะสิ!" ย่าเหยาตาโต เจียงเหยียนแม้จะไม่ค่อยรู้ความ แต่รูปโฉมงดงามดั่งหยก เป็นไปได้ว่าทายาทตระกูลใหญ่อาจจะพึงใจนาง ยามนั้นสกุลเจียงก็จะได้เป็นดองกับคนใหญ่คนโต!!
“ท่านแม่สามียังหวังว่าซิ่วไฉตกอับอย่างอาเหิงจะมีวันนั้นอยู่อีกหรือเจ้าคะ? ให้เขาหาเงินมาเลี้ยงดูสตรีสองคนให้ผ่านฤดูหนาวนี้ให้ได้เสียก่อนเถิด ค่อยมาคิดว่าจะมีโอกาสได้ไปสอบหรือไม่!”
ย่าเหยาหน้าเหี่ยวลงที “จริงสินะ..ข้าหมดหวังกับการสอบของอาเหิงไปนานแล้วล่ะ”
อีกด้าน เกวียนไม้ที่บรรทุกตัวอย่างดอกฝ้ายสีขาวสะอาดกล่องหนึ่งแล่นออกจากหมู่บ้านเกาซานไปตามถนนลูกรังเจียงเหิงนั่งบังคับเกวียนอยู่ด้านหน้า ส่วนสวี่อี้หมิงนั่งข้าง ๆ ถือสมุดบัญชีและห่อเอกสารที่หูซุนจ่างจัดเตรียมให้สำหรับยื่นรายงานต่อทางการ“กังวลหรือ?” สวี่อี้หมิงถามยิ้มๆ“ข้ากำลังคิดถึงเรื่องราคาของฝ้ายอยู่ขอรับ ยามนี้บ้านเมืองต้องการธัญพืช เรื่องเครื่องนุ่งห่มอาจจะเป็นเรื่องรอง ฝ้ายมู่เหมี่ยนขายได้ชั่งละไม่ถึงสิบอีแปะเลยด้วยซ้ำ เทียนจูเหมี่ยนก็คงไม่ต่างกันเท่าใดนัก”“เจ้าคิดผิดแล้ว” สวี่อี้หมิงส่ายหน้า “ฝ้ายเทียนจูเหมี่ยนเป็นของพระราชทาน ฮ่องเต้ถึงกับให้ส่งเมล็ดไปทั่วแคว้น แต่สองปีแล้ว...ยังไม่มีผู้ใดเพาะขึ้นได้สักคน เจ้าคิดว่าหากเมล็ดพันธุ์ฝ้ายนี้ไม่สำคัญจริงๆ ราชสำนักจะยังเพียรพยายามอยู่อีกหรือ?" เจียงเหิงได้ยินดังนั้นก็มีกำลังใจขึ้น เพราะคนในหมู่บ้านกลุ่มที่เลือกเพาะปลูกฝ้ายลงทุนลงแรงไปไม่น้อย หากขายไม่ได้ราคาอาจจะสร้างปัญหาให้กับครอบครัวของตนและหูซุนจ่างที่ช่วยกันผลักดันให้ทุกคนปลูกฝ้ายชนิดนี้ เสียงล้อไม้บดกับพื้นดินดังกรอบแกรบไปตลอดทางเมื่อถึงตัวเมือง ทั้งสองหยุดเกวียนหน้าประต
เช้าวันถัดมา เจียงเหิงกับสวี่อี้หมิงออกเดินทางเข้าเมืองกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ส่วนที่เรือนใหม่ กู้ชิงเหอก็พาน้อง ๆ ออกไปช่วยกันเก็บฝ้ายในแปลงท้ายหมู่บ้านนางมองดูท่านปู่เจียงกับท่านย่าเหยาที่ช่วยกันเด็ดปุยฝ้ายสีขาวใส่ลงในตะกร้าอย่างคล่องแคล่วด้วยความรู้สึกยินดี ผู้อาวุโสทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปจากที่นางเคยพบครั้งแรกไปราวกับเป็นคนละคนกัน แม้แต่เจียงเสี่ยวเหวิน ที่แต่ก่อนมักตื่นสายและหาข้ออ้างเลี่ยงงานสารพัด ก็ยังรีบมาช่วยเก็บฝ้ายตั้งแต่เช้ามืดเช่นกัน“พี่ใหญ่ ฝ้ายนี่นุ่มจริงๆ !” กู้ชิงฉีกล่าวพลางยกปุยนุ่มขึ้นมาอวด ใบหน้าเขาเปื้อนเหงื่อแต่เต็มไปด้วยความภูมิใจยังไม่ทันที่กู้ชิงเหอจะเอ่ยตอบ เสียงแหลมของหญิงสูงวัยก็ดังขึ้นจากอีกฟากของลาน“ฮึ! ฝ้ายของพวกเจ้ายังไม่รู้ว่าจะขายได้กี่อีแปะก็รีบยิ้มร่ากันเสียแล้ว ระวังจะผิดหวังเล่า”กู้ชิงเหอเงยหน้าขึ้น เห็นกู้ต้าซุนกับหวางซื่อเดินเข้ามาอย่างถือดี ปากยังคงพ่นถ้อยคำเยาะเย้ยไม่หยุด“ข้าล่ะสงสารพวกเจ้าจริง ๆ เหนื่อยทั้งวันก็คงได้เงินกลับมาไม่พอซื้อน้ำชาสักถ้วย!” หวางซื่อหัวเราะเสียงดังลั่น เจียงเหยียนกับเจียงเสี่ยวเหวินที่ช่วยเก็บฝ้ายอยู่ใกล้ๆ พากันหย
“ไม่ใช่ความผิดของท่านขอรับ… ตอนนี้ท่านก็ได้พบพวกเราแล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่คงจะดีใจนัก” เจียงเหิงพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น“ข้าไม่ใช่คู่ต่อกรของศัตรูเหล่านั้น ในสภาพอย่างวันนี้” สวี่อี้หมิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยความขมขื่นคล้ายคำสารภาพของคนที่ต่อสู้มานาน“เจ้าต้องสอบเป็นขุนนางให้ได้! อำนาจและบารมีเท่านั้นที่จะทำให้ผู้คนสยบลงแทบเท้าเจ้า วันนั้นเจ้าจึงจะมีโอกาสล้างแค้นให้สกุลกวาน!” เจียงเหิงรับคำ แม้มันจะไม่ใช่ความคิดใหม่สำหรับเขา ที่ผ่านมาเขาวาดรูปแบบความสัมพันธ์ในอดีตของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลกวานลงแผ่นกระดาษเอาไว้ และเขาก็คิดเช่นกันว่าหากไม่มีเงิน..ก็ต้องมีอำนาจ! จึงจะทำอะไรต่อไปได้“อาจารย์ข้าผ่านการสอบระดับซิ่วไฉแล้ว แต่กลับไม่สามารถเข้าร่วมสอบจวี่เหรินเมื่อสองปีก่อน ครั้งนี้ข้าจะทำให้สำเร็จ” ดวงตาของเจียงเหิงเลื่อนไปมองเงาร่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในครัว กู้ชิงเหอ ผู้อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในชีวิตของเขา เมื่อนึกย้อนกลับไปหลายเดือนก่อน คำพูดเช่นนี้เขาคงยังไม่กล้าพูดออกมาเต็มปากแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว กู้ชิงเหอทีเข้ามาเปลี่ยนชะตาชีวิตอันแร้นแค้นของตนแ
เจียงเหิงกัดฟันแน่น เจียงไห่สามีของแม่นมหายตัวไปจริง แต่คนที่แม่นมลั่วคิดจะออกไปตามหาในเวลานั้นไม่ใช่เขาในปีนั้น กวานจิ้งหยวน บิดาที่แท้จริงของเขาถูกผู้มีอำนาจใส่ความว่ากบฏ จึงรีบส่งคนมาบอกให้มารดาของเขารีบหนีออกจากจวนโดยด่วนระหว่างทาง รถม้าที่พวกเขาโดยสารถูกคนร้ายติดตามไม่ลดละ ทหารที่คุ้มกันจำต้องลวงศัตรูให้แยกไปอีกทางปล่อยให้สามแม่ลูกหลบหนีมาพร้อมกับลั่วหลินและบุตรสาวของนางแต่ก่อนจะถึงหมู่บ้านเกาซาน รถม้ากลับลื่นตกเหว แม่นมลั่วคว้าตัวเจียงเหยียนไว้ได้ทัน ส่วนเขาก็กระเด็นออกมาอยู่บนพื้นดิน… ทว่าเบื้องล่างเหวนั้นกลับกลืนร่างของ จางเหยามารดาของตนและบุตรสาวของแม่นมไปพร้อมกันลั่วหลินในเวลานั้นมิใช่ไม่อยากเสี่ยงชีวิตลงไป แต่เหวลึกชันนัก ต่อให้เดินอ้อมภูเขาหลายลูกเพื่อหาทางลงไปถึงก้นเหวก็ไม่รู้ว่ากว่าจะไปถึงจะยังเหลือสิ่งใดให้ค้นหา พวกเขาสามคนนั่งร่ำไห้อยู่บนปากเหวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร แม่นมลั่วสูญเสียบุตรสาว ตัวเขาเองก็เสียใจที่เห็นมารดาตกเหวลึกไปต่อหน้า แต่เจียงเหยียนนั้นอาการหนักที่สุด นางตกใจอย่างรุนแรงตาค้างจนหมดสติ สุดท้ายแม่นมลั่วก็ต้องกัดฟันพาเขาและน้องสาวเดินทางต่อจนถึงหมู่บ
สวี่อี้หมิงไม่เพียงไม่ยอมตามน้ำ หากยังตอกย้ำเสียงดังฟังชัด“เมื่อครู่ข้าเพิ่งมอบเงินร้อยตำลึงให้นางหนูนั่นใช้ขยายเรือน เงินนั่นยังมากพอจะซื้ออุปกรณ์การเรียนให้เด็กๆ ในหมู่บ้านได้อีกด้วยซ้ำ ข้าจะอยู่ตรงไหนก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนให้ผู้ใดมาจัดหา”กู้ชิงเหออ้าปากตาค้าง ดวงตากลมเบิกโพลง นางนึกว่าเงินนั้นได้มาเปล่าๆ ที่ไหนได้ กลายเป็นว่าต้องใช้สร้างเรือน ต้องจัดหาอาหารการกินเลี้ยงดูท่านผู้สูงส่งผู้นี้ แล้วยังต้องแบกรับภาระซื้อของแจกเด็กๆ อีก! หากมิใช่ว่านางยังหวังจะให้เขาช่วยชี้แนะเจียงเหิงในเรื่องการสอบจวี่เหรินที่ใกล้จะมาถึง นางคงตะเพิดเขาออกไปตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว!!ฝ่ายหลี่ซื่อ เมื่อได้ยินว่าเงินก้อนโตถึงร้อยตำลึงไปตกอยู่ในมือของกู้ชิงเหอ ดวงตาก็ลุกวาวด้วยความโลภทันที ความอิจฉาผสมโกรธจนอกแทบระเบิด นางรีบแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยสวี่อี้หมิง“เอาเงินตั้งร้อยตำลึงไปไว้กับเด็กสาวไม่รู้ประสาเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากเอาไปเผาไฟเล่นหรอกเจ้าค่ะ! ไม่สู้มอบมาให้ข้าจัดการเถิด รับรองจะทำได้ดีกว่า”นางปรายตามองกู้ชิงเหออย่างเยาะหยัน ก่อนเอ่ยต่อราวกับตัดสินแทนทุกคน“อย่างไรก็สกุลเจียงด้วยกันทั้
“ท่านแม่! ท่านมาวุ่นวายอะไรที่นี่!” เจียงเสี่ยวเหวินรีบเข้ามาแทรกอยู่ตรงกลาง บดบังสายตาของเจียงเหิงไว้ ทำให้เจียงเหิงต้องพยายามทำใจให้เย็นลง ต่อให้เขาเกลียดสตรีผู้นี้เพียงใด นางก็เป็นมารดาของเจียงเสี่ยวเหวินอยู่ดีหลี่ซื่อค้อนบุตรชายทีหนึ่ง แต่ไม่กล้าบ่นอะไรมากต่อหน้าเจียงเหิง นางจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเปลี่ยนเรื่อง“ข้าได้ยินท่านย่าเจ้าบอกว่ามีขุนนางเข้ามาตรวจสอบฝ้ายมิใช่หรือ? ข้าอยากมาถามให้แน่ใจว่าฝ้ายพวกนี้จะขายได้ราคาดีจริงหรือไม่น่ะสิ” ชาวบ้านที่ติดตามลูกๆ ของตนมาด้วยทำสีหน้างุนงง เจียงเสี่ยวเหวินวิ่งออกไปบอกกับสหายของเขาในหมู่บ้านว่ายามนี้มีอาจารย์จากเมืองหลวงมาพักอยู่ที่เรือนเจียงซิ่วไฉ และยังจะสอนหนังสือให้เขากับกู้ชิงฉีด้วย เด็กๆ อยากเห็นอาจารย์จากในวังจึงได้ตามเสี่ยวเหวินมา ส่วนพวกตนที่ได้ยินข่าวก็เดินตามมาด้วยหวังจะมาเคารพท่านอาจารย์จากในเมืองสักครั้ง แต่เหตุใดหลี่ซื่อจึงบอกว่าคนผู้นั้นเป็นขุนนางที่มาตรวจสอบฝ้ายเล่า? “ขุนนางตรวจสอบฝ้ายอันใดกันหลี่ซื่อ? บุตรชายเจ้าบอกว่าที่เรือนของเจียงซิ่วไฉมีท่านอาจารย์มาพำนักอยู่ด้วยต่างหาก!” สตรีนางหนึ่งตำหนิ เกรงว่าคำพูดไม่รู้ควา







