ログインเธอแค่บังเอิญได้อ่านนิยายเรื่องหนึ่ง แล้วไม่ทันได้อ่านตอนจบ ก็กลายเป็นศพเสียก่อน! เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกที กลับพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของตัวประกอบที่มีชื่อแซ่เดียวกับตนเอง ที่มีหน้าที่แค่ ทนทุกข์ ลำบาก แล้วก็ตายเท่านั้น!! ที่เลวร้ายยิ่งกว่า คือคนที่ช่วยเธอไว้ในวันนี้ คือ ‘กังฉินเลือดเย็น’ ที่ในอีกไม่กี่บทข้างหน้าจะเป็นคนสังหารเธอเอง! ไม่มีทางกลับร่างเดิม ไม่มีโอกาสได้อ่านตอนจบ ถ้าอยากรอด เธอต้องเขียนตอนจบใหม่ด้วยสองมือตัวเอง — แม้ต้องล่อลวงหัวใจของคนอันตรายที่สุดในเรื่องนี้ก็ตาม!
もっと見る“เอาเงินของข้าคืนมา ข้าจะไม่เอานางตัวซวยนี่ไปเหยียบเรือนข้าเป็นอันขาด!!”
“เอ้า!! ตาเฒ่า! เหตุใดเจ้าถึงได้ปลิ้นปล้อนเช่นนี้เล่า!! เสียแรงที่ข้าให้เกียรติมาตลอดเพราะเห็นว่าเป็นผู้อาวุโส ถุย!!”
กู้ชิงเหอได้ยินเสียงคนทะเลาะกันมาพักใหญ่แล้ว แต่นางรู้สึกอ่อนล้าเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมาได้ แต่หลังจากที่ทนฟังเรื่องราวของผู้อื่นที่นางไม่เข้าใจมาเนิ่นนาน นางก็พยายามฝืนลืมตาขึ้นมามอง
ดวงตาของหญิงสาวพร่าเลือนก่อนจะค่อยๆ ปรับสายตาได้ในที่สุด
ภาพตรงหน้าเป็นกลุ่มคนที่สวมใส่เสื้อผ้าแปลกตาเนื้อตัวมอมแมมราวกับไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน บางคนก็ชี้มือมาที่นาง บางคนก้มหน้า บางคนกำลังช่วยกันดึงร่างของสตรีวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเอาไว้
“ใครว่าข้าปลิ้นปล้อน! เจ้าดูเสียก่อนว่าคนของเจ้าทำสิ่งใดเอาไว้!” ชายชราผมสีดอกเลาอายุราว 60-70 ปี ชี้หน้าสตรีวัยกลางคนน้ำเสียงโกรธจัด ก่อนจะหันมากล่าวกับกลุ่มชาวบ้านหมู่บ้านเกาซานที่มามุงดู
“ทุกท่านเป็นพยานให้ข้าผู้นี้ด้วยเถิด ข้ามอบสินสอดให้นางหวางซื่อเมื่อเดือนก่อนไปแล้ว และตกลงมารับหลานสาวของพวกเขาไปเป็นภรรยาไว้ดูแลยามป่วยไข้ แต่พอมาถึงเจ้าสาวของข้ากลับมาชิงคิดสั้นไม่ยอมไปแต่โดยดี เช่นนี้ตาแก่อย่างข้าคือคนปลิ้นปล้อนเช่นนั้นหรือ?”
เสียงฮือฮาดังขึ้นจากกลุ่มคน หลานสาวบ้านกู้คิดสั้นหนีออกจากเรือนมาผูกคออยู่หน้าหมู่บ้าน!!
ทุกสายตาหันมาจับจ้องร่างเล็กที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดินเย็นเฉียบ ร่างผอมแห้งจนแทบมองเห็นแนวกระดูกซี่โครงใต้เนื้อผิวซีดเซียว ดวงหน้าเล็กซีดขาวราวกระดาษ ไร้สีเลือด มีหยาดเหงื่อเกาะพราวบนหน้าผาก ผมเผ้ายุ่งเหยิงปรกแก้ม ลมหายใจแผ่วบางแทบมองไม่เห็นการขยับของอก
ลำคอของนางมีรอยแดงเข้มเป็นเส้นยาววนรอบ รอยนั้นยังใหม่และน่าขนลุก บางจุดแตกเป็นรอยถลอก บ่งบอกว่าถูกเชือกเสียดสีอย่างแรง
เสื้อผ้าหลวมโพลกเปียกปอนบนร่างกายบอบบางนั้นยิ่งขับให้เห็นความเปราะบางของนางอย่างชัดเจน แขนขาบางเฉียบคล้ายกิ่งไม้แห้ง มือข้างหนึ่งกำแน่นราวกับยังฝันว่ากำลังดิ้นรนต่อสู้ ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม ร่างของนางดูเศร้าสร้อยอย่างน่าเวทนา…
“นางจงใจประจานบ้านสกุลกู้หรือไม่” เสียงซุบซิบจากสตรีนางหนึ่งดังขึ้น
แม้ผู้เฒ่าผู้แก่จะเพียงหลุบตาลง ไม่กล่าวคำใด แต่ก็รู้กันในใจ ใครกันเล่าที่บีบให้หญิงสาวไร้หนทาง?
กู้ต้าซุนกับภรรยายกหลานสาววัยสิบห้าปีให้เป็นภรรยาของชายชราอายุเจ็ดสิบ!! กู้ชิงเหอเพิ่งสิบห้า ไม่ต้องคิดเลยว่าหญิงสาวจะรู้สึกสะเทือนใจเพียงใด
“แล้วนางตายหรือยังเล่า!! ก็แค่คิดสั้นแต่ไม่ตายไม่ใช่หรือไร ตอนนี้นางก็ลืมตาขึ้นมาแล้วเจ้าก็รับตัวนางกลับไปเสียสิ เหตุใดจึงจะมาเรียกร้องเอาเงินคืนจากข้า!”
หญิงสูงวัยนางหนึ่งถึงกับต้องเบ้ปากให้กับหวางชุ่นฮวาอาสะใภ้ของหญิงสาวผู้อาภัพ
หลานสาวเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาได้ไม่กี่อึดใจ แต่นางหวางซื่อกลับคิดแต่จะส่งคนออกไปให้พ้นตัว ไม่ถามไถ่อาการของกู้ชิงเหอเลยแม้แต่ประโยคเดียว
“เพ่ย!! นางหนูนี่เพิ่งจะคิดสั้นอยู่หยกๆ แล้วจะให้ข้าแบกคนตายกลับไปที่เรือนหรืออย่างไร!! นี่มันอัปมงคลชัดๆ!”
“เหอะ!! ตาเฒ่านี่ไม่แค่แก่ แต่ยังตาบอดหูหนวกอีกด้วย! ก็เห็นๆ กันอยู่ว่านางยังไม่ตาย คนตายแล้วจะลุกขึ้นมานั่งอย่างนี้ได้หรือ!” หญิงวัยกลางคนร่างใหญ่ชี้มือไปที่กู้ชิงเหอ ริมฝีปากแสยะยิ้ม
กู้ชิงเหอเงยหน้าขึ้นมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยใบหน้าแตกตื่น เมื่อเห็นปลายนิ้วหยาบกร้านที่ชี้มายังตนจึงเพิ่งจะเข้าใจ สรุปแล้วที่พวกเขาถกเถียงกันอยู่ตั้งนานเป็นเรื่องของนางเช่นนั้นหรือ? แล้วพวกเขาเป็นใคร?!
แล้วนางมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้นางนั่งอยู่ในรถแท็กซี่มิใช่หรือ? จริงสิอุบัติเหตุ รถแท็กซี่ที่นางนั่งอยู่เกิดอุบัติเหตุ! แล้วที่นี่มันที่ไหน!!
ขณะที่ชายชราผมขาวกับสตรีร่างใหญ่ยังถกเถียงกันไม่เลิก บุรุษวัยกลางคนร่างสันดัด หัวตาแหลม ท่าท่าหลุกหลิกสวมชุดที่ตัดเย็บด้วยผ้าหยาบกระด้างผู้หนึ่งก็เดินตรงมาที่นาง
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ตามผู้เฒ่าหลู่กลับไปดีๆ แล้วอย่าคิดจะสร้างความเดือดร้อนให้ข้ากับป้าสะใภ้ของเจ้าอีกเล่า”
หญิงสาวเบิกตาโพลง บุรุษที่มีกลิ่นตัวเหม็นอับผู้นี้เป็นใคร?
เมื่อครู่เหมือนเขาจะบอกว่าสตรีร่างใหญ่ปากร้ายที่ชี้หน้านางอยู่ในเวลานี้คือป้าสะใภ้ของนางเช่นนั้นหรือ?
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันนี่!” หญิงสาวอุทานออกมาเบาๆ
นางเริ่มสำรวจไปรอบตัวอีกครั้ง นอกจากกลุ่มคนที่ยืนเถียงกันเรื่องของนางแล้ว ข้างๆ นางยังมีคนอีกสองคนนั่งอยู่ด้วย
เด็กสาวที่กุมมือข้างหนึ่งของนางเอาไว้ ดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินสิบสามสิบสี่ปี ดวงหน้าและผิวพรรณสะอาดสะอ้านกว่าทุกคนที่กำลังจ้องมองนางอยู่ ส่วนบุรุษอีกคนที่อยู่ข้างๆ เด็กสาวกลับหลุบตาไม่มองใคร สีหน้าคล้ายรำคาญใจ
“นี่..พวกคุณ ช่วยบอกฉันทีว่าที่นี่มันที่ไหน”
ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาทว่าดูซีดเซียวไปหน่อย เหลือบตามามองนางเพียงแวบเดียว แทนที่เขาจะตอบแต่กลับทำตรงข้าม ร่างสูงลุกพรวดขึ้นยืนพลางดึงร่างเด็กสาวอีกคนให้ลุกตามไปด้วย
“ข้าอยากดูนางก่อนเจ้าค่ะพี่ใหญ่..” เด็กสาวหน้าตาฝืนตัวเอาไว้ นิ้วมือของนางกำแน่นไว้ที่ชายเสื้อของกู้ชิงเหอ
“พี่สาวเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ที่นี่ก็คือลานหน้าหมู่บ้านอย่างไรเล่า..ท่านจำไม่ได้หรือ?”
กู้ชิงเหอยืดคอไปทางด้านหลัง พลางมองร่างนุ่มนิ่มตรงหน้าด้วยใบหน้าเหยเก
เด็กคนนี้ก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่ทำไมต้องพูดจาด้วยภาษาแปลกๆ เช่นนั้นด้วย?
ไม่สิ!! ไม่ว่าจะภาษา ทรงผมหรือการแต่งกาย คนที่อยู่ในบริเวณนี้ก็ล้วนประหลาดกันทั้งสิ้น!!
ก่อนที่นางจะอ้าปากถามเด็กสาวให้ชัดเจน ว่าหน้าหมู่บ้านนี่คือหมู่บ้านใดกันแน่ เสียงของชายชราผมขาวก็ดังขึ้นกลบเสียงนางอีกครั้ง
“ข้าไม่เอา! เป็นตายอย่างไรข้าก็ไม่เอานางกลับไปด้วยเด็ดขาด” ผู้เฒ่าหลู่ปฏิเสธเสียงแข็ง
“เกิดนางไปทำเรื่องบ้าๆ เช่นนี้อีกครั้งในเรือนข้า ข้ามิซวยแย่หรือ เงินก็เสีย! คนก็ไม่ได้! เจ้าสาวที่ทำเรื่องอัปมงคลตั้งแต่วันแรกที่จะเข้าเรือนเช่นนี้ ข้าถามพวกเจ้าหน่อย เป็นพวกเจ้าจะยอมหรือไม่!” ผู้เฒ่าหลู่หันไปถามชาวบ้าน
กลุ่มชาวบ้านหลายคนส่ายหน้าช้าๆ พวกเขาเห็นด้วยกับผู้เฒ่าหลู่ กู้ชิงเหอถูกบังคับใจเช่นนี้อีกไม่นานนางก็คงทำเรื่องเดิมซ้ำอีกครั้ง แล้วใครจะยอมเสียเงินเพื่อรับเอาตัวปัญหาเข้ามาไว้ในเรือนกันเล่า
อีกด้าน เกวียนไม้ที่บรรทุกตัวอย่างดอกฝ้ายสีขาวสะอาดกล่องหนึ่งแล่นออกจากหมู่บ้านเกาซานไปตามถนนลูกรังเจียงเหิงนั่งบังคับเกวียนอยู่ด้านหน้า ส่วนสวี่อี้หมิงนั่งข้าง ๆ ถือสมุดบัญชีและห่อเอกสารที่หูซุนจ่างจัดเตรียมให้สำหรับยื่นรายงานต่อทางการ“กังวลหรือ?” สวี่อี้หมิงถามยิ้มๆ“ข้ากำลังคิดถึงเรื่องราคาของฝ้ายอยู่ขอรับ ยามนี้บ้านเมืองต้องการธัญพืช เรื่องเครื่องนุ่งห่มอาจจะเป็นเรื่องรอง ฝ้ายมู่เหมี่ยนขายได้ชั่งละไม่ถึงสิบอีแปะเลยด้วยซ้ำ เทียนจูเหมี่ยนก็คงไม่ต่างกันเท่าใดนัก”“เจ้าคิดผิดแล้ว” สวี่อี้หมิงส่ายหน้า “ฝ้ายเทียนจูเหมี่ยนเป็นของพระราชทาน ฮ่องเต้ถึงกับให้ส่งเมล็ดไปทั่วแคว้น แต่สองปีแล้ว...ยังไม่มีผู้ใดเพาะขึ้นได้สักคน เจ้าคิดว่าหากเมล็ดพันธุ์ฝ้ายนี้ไม่สำคัญจริงๆ ราชสำนักจะยังเพียรพยายามอยู่อีกหรือ?" เจียงเหิงได้ยินดังนั้นก็มีกำลังใจขึ้น เพราะคนในหมู่บ้านกลุ่มที่เลือกเพาะปลูกฝ้ายลงทุนลงแรงไปไม่น้อย หากขายไม่ได้ราคาอาจจะสร้างปัญหาให้กับครอบครัวของตนและหูซุนจ่างที่ช่วยกันผลักดันให้ทุกคนปลูกฝ้ายชนิดนี้ เสียงล้อไม้บดกับพื้นดินดังกรอบแกรบไปตลอดทางเมื่อถึงตัวเมือง ทั้งสองหยุดเกวียนหน้าประต
เช้าวันถัดมา เจียงเหิงกับสวี่อี้หมิงออกเดินทางเข้าเมืองกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ส่วนที่เรือนใหม่ กู้ชิงเหอก็พาน้อง ๆ ออกไปช่วยกันเก็บฝ้ายในแปลงท้ายหมู่บ้านนางมองดูท่านปู่เจียงกับท่านย่าเหยาที่ช่วยกันเด็ดปุยฝ้ายสีขาวใส่ลงในตะกร้าอย่างคล่องแคล่วด้วยความรู้สึกยินดี ผู้อาวุโสทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปจากที่นางเคยพบครั้งแรกไปราวกับเป็นคนละคนกัน แม้แต่เจียงเสี่ยวเหวิน ที่แต่ก่อนมักตื่นสายและหาข้ออ้างเลี่ยงงานสารพัด ก็ยังรีบมาช่วยเก็บฝ้ายตั้งแต่เช้ามืดเช่นกัน“พี่ใหญ่ ฝ้ายนี่นุ่มจริงๆ !” กู้ชิงฉีกล่าวพลางยกปุยนุ่มขึ้นมาอวด ใบหน้าเขาเปื้อนเหงื่อแต่เต็มไปด้วยความภูมิใจยังไม่ทันที่กู้ชิงเหอจะเอ่ยตอบ เสียงแหลมของหญิงสูงวัยก็ดังขึ้นจากอีกฟากของลาน“ฮึ! ฝ้ายของพวกเจ้ายังไม่รู้ว่าจะขายได้กี่อีแปะก็รีบยิ้มร่ากันเสียแล้ว ระวังจะผิดหวังเล่า”กู้ชิงเหอเงยหน้าขึ้น เห็นกู้ต้าซุนกับหวางซื่อเดินเข้ามาอย่างถือดี ปากยังคงพ่นถ้อยคำเยาะเย้ยไม่หยุด“ข้าล่ะสงสารพวกเจ้าจริง ๆ เหนื่อยทั้งวันก็คงได้เงินกลับมาไม่พอซื้อน้ำชาสักถ้วย!” หวางซื่อหัวเราะเสียงดังลั่น เจียงเหยียนกับเจียงเสี่ยวเหวินที่ช่วยเก็บฝ้ายอยู่ใกล้ๆ พากันหย
“ไม่ใช่ความผิดของท่านขอรับ… ตอนนี้ท่านก็ได้พบพวกเราแล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่คงจะดีใจนัก” เจียงเหิงพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น“ข้าไม่ใช่คู่ต่อกรของศัตรูเหล่านั้น ในสภาพอย่างวันนี้” สวี่อี้หมิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยความขมขื่นคล้ายคำสารภาพของคนที่ต่อสู้มานาน“เจ้าต้องสอบเป็นขุนนางให้ได้! อำนาจและบารมีเท่านั้นที่จะทำให้ผู้คนสยบลงแทบเท้าเจ้า วันนั้นเจ้าจึงจะมีโอกาสล้างแค้นให้สกุลกวาน!” เจียงเหิงรับคำ แม้มันจะไม่ใช่ความคิดใหม่สำหรับเขา ที่ผ่านมาเขาวาดรูปแบบความสัมพันธ์ในอดีตของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลกวานลงแผ่นกระดาษเอาไว้ และเขาก็คิดเช่นกันว่าหากไม่มีเงิน..ก็ต้องมีอำนาจ! จึงจะทำอะไรต่อไปได้“อาจารย์ข้าผ่านการสอบระดับซิ่วไฉแล้ว แต่กลับไม่สามารถเข้าร่วมสอบจวี่เหรินเมื่อสองปีก่อน ครั้งนี้ข้าจะทำให้สำเร็จ” ดวงตาของเจียงเหิงเลื่อนไปมองเงาร่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในครัว กู้ชิงเหอ ผู้อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในชีวิตของเขา เมื่อนึกย้อนกลับไปหลายเดือนก่อน คำพูดเช่นนี้เขาคงยังไม่กล้าพูดออกมาเต็มปากแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว กู้ชิงเหอทีเข้ามาเปลี่ยนชะตาชีวิตอันแร้นแค้นของตนแ
เจียงเหิงกัดฟันแน่น เจียงไห่สามีของแม่นมหายตัวไปจริง แต่คนที่แม่นมลั่วคิดจะออกไปตามหาในเวลานั้นไม่ใช่เขาในปีนั้น กวานจิ้งหยวน บิดาที่แท้จริงของเขาถูกผู้มีอำนาจใส่ความว่ากบฏ จึงรีบส่งคนมาบอกให้มารดาของเขารีบหนีออกจากจวนโดยด่วนระหว่างทาง รถม้าที่พวกเขาโดยสารถูกคนร้ายติดตามไม่ลดละ ทหารที่คุ้มกันจำต้องลวงศัตรูให้แยกไปอีกทางปล่อยให้สามแม่ลูกหลบหนีมาพร้อมกับลั่วหลินและบุตรสาวของนางแต่ก่อนจะถึงหมู่บ้านเกาซาน รถม้ากลับลื่นตกเหว แม่นมลั่วคว้าตัวเจียงเหยียนไว้ได้ทัน ส่วนเขาก็กระเด็นออกมาอยู่บนพื้นดิน… ทว่าเบื้องล่างเหวนั้นกลับกลืนร่างของ จางเหยามารดาของตนและบุตรสาวของแม่นมไปพร้อมกันลั่วหลินในเวลานั้นมิใช่ไม่อยากเสี่ยงชีวิตลงไป แต่เหวลึกชันนัก ต่อให้เดินอ้อมภูเขาหลายลูกเพื่อหาทางลงไปถึงก้นเหวก็ไม่รู้ว่ากว่าจะไปถึงจะยังเหลือสิ่งใดให้ค้นหา พวกเขาสามคนนั่งร่ำไห้อยู่บนปากเหวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร แม่นมลั่วสูญเสียบุตรสาว ตัวเขาเองก็เสียใจที่เห็นมารดาตกเหวลึกไปต่อหน้า แต่เจียงเหยียนนั้นอาการหนักที่สุด นางตกใจอย่างรุนแรงตาค้างจนหมดสติ สุดท้ายแม่นมลั่วก็ต้องกัดฟันพาเขาและน้องสาวเดินทางต่อจนถึงหมู่บ






レビュー