เรื่องราวของกู้ชิงเหอหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ทะลุมิติเข้าไปในนิยายที่เคยอ่าน!! แต่นิยายเรื่องนี้นางอ่านข้ามๆ ไปเพียงไม่กี่ตอน พอรู้ว่าตัวละครที่ชื่อแซ่เดียวกับตนเองจะถูกสังหารโดยตัวเอกของเรื่อง นางก็ไม่ได้อ่านต่อไปอีกแล้ว นางต้องหาทางเอาตัวรอดจากพระเอกจอมโหด พร้อมกับต้องเอาตัวรอดในแผ่นดินอันแห้งแล้งที่พืชผักล้วนเติบโตได้ยากอีกด้วย! หญิงสาวยุคใหม่ ที่เรียนรู้เรื่องพืชและเกษตรกรรมมาอย่างนางจะเอาตัวรอดไม่ได้เชียวหรือ!! แต่เอ๊ะ! ดูเหมือนตัวเอกในนิยายจะใส่ใจนางมากเกินไปไหม?
View More“เอาเงินของข้าคืนมา ข้าจะไม่เอานางตัวซวยนี่ไปเหยียบเรือนข้าเป็นอันขาด!!”
“เอ้า!! ตาเฒ่า! เหตุใดเจ้าถึงได้ปลิ้นปล้อนเช่นนี้เล่า!! เสียแรงที่ข้าให้เกียรติมาตลอดเพราะเห็นว่าเป็นผู้อาวุโส ถุย!!”
กู้ชิงเหอได้ยินเสียงคนทะเลาะกันมาพักใหญ่แล้ว แต่นางรู้สึกอ่อนล้าเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมาได้ แต่หลังจากที่ทนฟังเรื่องราวของผู้อื่นที่นางไม่เข้าใจมาเนิ่นนาน นางก็พยายามฝืนลืมตาขึ้นมามอง
ดวงตาของหญิงสาวพร่าเลือนก่อนจะค่อยๆ ปรับสายตาได้ในที่สุด
ภาพตรงหน้าเป็นกลุ่มคนที่สวมใส่เสื้อผ้าแปลกตา บางคนก็ชี้มือมาที่นาง บางคนก้มหน้า บางคนกำลังช่วยกันดึงร่างของสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งเอาไว้
“ใครว่าข้าปลิ้นปล้อน! เจ้าดูเสียก่อนว่าคนของเจ้าทำสิ่งใดเอาไว้!” ชายชราผมสีดอกเลาอายุราว 60-70 ปี ชี้หน้าสตรีวัยกลางคนน้ำเสียงโกรธจัด ก่อนจะหันมากล่าวกับกลุ่มชาวบ้านหมู่บ้านเกาซานที่มามุงดู
“ทุกท่านเป็นพยานให้ข้าผู้นี้ด้วยเถิด ข้ามอบสินสอดให้นางหวางซื่อเมื่อเดือนก่อนไปแล้ว และตกลงมารับหลานสาวของพวกเขาไปเป็นภรรยาไว้ดูแลยามป่วยไข้ แต่พอมาถึงเจ้าสาวของข้ากลับมาชิงคิดสั้นไม่ยอมไปแต่โดยดี เช่นนี้ตาแก่อย่างข้าคือคนปลิ้นปล้อนเช่นนั้นหรือ?”
เสียงฮือฮาดังขึ้นจากกลุ่มคน หลานสาวบ้านกู้คิดสั้นหนีออกจากเรือนมาผูกคออยู่หน้าหมู่บ้าน!!
“นางจงใจประจานบ้านสกุลกู้” เสียงซุบซิบของชาวบ้านดังแว่วอยู่ทั่ว
แม้ผู้เฒ่าผู้แก่จะเพียงหลุบตาลง ไม่กล่าวคำใด แต่ก็รู้กันในใจ ใครกันเล่าที่บีบให้หญิงสาวไร้หนทาง?
กู้ต้าซุนกับภรรยายกหลานสาววัยสิบห้าปีให้เป็นภรรยาของชายชราอายุเจ็ดสิบ!! กู้ชิงเหอเพิ่งสิบห้า ไม่ต้องคิดเลยว่าหญิงสาวจะรู้สึกสะเทือนใจเพียงใด
“แล้วนางตายหรือยังเล่า!! ก็แค่คิดสั้นแต่ไม่ตายไม่ใช่หรือไร ตอนนี้นางก็ลืมตาขึ้นมาแล้วเจ้าก็รับตัวนางกลับไปเสียสิ เหตุใดจึงจะมาเรียกร้องเอาเงินคืนจากข้า!”
หญิงสูงวัยนางหนึ่งถึงกับต้องเบ้ปากให้กับหวางชุ่นฮวาอาสะใภ้ของหญิงสาวผู้อาภัพ
หลานสาวเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาได้ไม่กี่อึดใจ แต่นางหวางซื่อกลับคิดแต่จะส่งคนออกไปให้พ้นตัว ไม่ถามไถ่อาการของกู้ชิงเหอเลยแม้แต่ประโยคเดียว
“เพ่ย!! นางหนูนี่เพิ่งจะคิดสั้นอยู่หยกๆ แล้วจะให้ข้าแบกคนตายกลับไปที่เรือนหรืออย่างไร!! นี่มันอัปมงคลชัดๆ!”
“เหอะ!! ตาเฒ่านี่ไม่แค่แก่ แต่ยังตาบอดหูหนวกอีกด้วย! ก็เห็นๆ กันอยู่ว่านางยังไม่ตาย คนตายแล้วจะลุกขึ้นมานั่งอย่างนี้ได้หรือ!” หญิงวัยกลางคนร่างใหญ่ชี้มือไปที่กู้ชิงเหอ ริมฝีปากแสยะยิ้ม
กู้ชิงเหอเงยหน้าขึ้นมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยใบหน้าแตกตื่น เมื่อเห็นปลายนิ้วหยาบกร้านที่ชี้มายังตนจึงเพิ่งจะเข้าใจ สรุปแล้วที่พวกเขาถกเถียงกันอยู่ตั้งนานเป็นเรื่องของนางเช่นนั้นหรือ? แล้วพวกเขาเป็นใคร?!
แล้วนางมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้นางนั่งอยู่ในรถแท็กซี่มิใช่หรือ? จริงสิอุบัติเหตุ รถแท็กซี่ที่นางนั่งอยู่เกิดอุบัติเหตุ! แล้วที่นี่มันที่ไหน!!
ขณะที่ชายชราผมขาวกับสตรีร่างใหญ่ยังถกเถียงกันไม่เลิก บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งก็เดินตรงมาที่นาง
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ตามผู้เฒ่าหลู่กลับไปดีๆ แล้วอย่าคิดจะสร้างความเดือดร้อนให้ข้ากับป้าสะใภ้ของเจ้าอีกเล่า”
หญิงสาวเบิกตาโพลง บุรุษที่มีกลิ่นตัวเหม็นอับผู้นี้เป็นใคร?
เมื่อครู่เหมือนเขาจะบอกว่าสตรีปากร้ายที่ชี้หน้านางอยู่ในเวลานี้คือป้าสะใภ้ของนางเช่นนั้นหรือ?
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันนี่!” หญิงสาวอุทานออกมาเบาๆ
นางเริ่มสำรวจไปรอบตัวอีกครั้ง นอกจากกลุ่มคนที่ยืนเถียงกันเรื่องของนางแล้ว ข้างๆ นางยังมีคนอีกสองคนนั่งอยู่ด้วย
“นี่..คุณ ช่วยบอกฉันทีว่าที่นี่มันที่ไหน”
ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาทว่าดูซีดเซียวไปหน่อย เหลือบตามามองนางเพียงแวบเดียว แทนที่เขาจะตอบแต่กลับทำตรงข้าม ร่างสูงลุกพรวดขึ้นยืนพลางดึงร่างเด็กสาวอีกคนให้ลุกตามไปด้วย
“ข้าอยากดูนางก่อนเจ้าค่ะพี่ใหญ่..” เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มดวงตากลมโตฝืนตัวเอาไว้ นิ้วมือของนางกำแน่นไว้ที่ชายเสื้อของกู้ชิงเหอ
“พี่สาวเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ที่นี่ก็คือลานหน้าหมู่บ้านอย่างไรเล่า..ท่านจำไม่ได้หรือ?”
กู้ชิงเหอยืดคอไปทางด้านหลัง พลางมองร่างนุ่มนิ่มตรงหน้าด้วยใบหน้าเหยเก
เด็กคนนี้ก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่ทำไมต้องพูดจาด้วยภาษาแปลกๆ เช่นนั้นด้วย?
ไม่สิ!! ไม่ว่าจะภาษาหรือการแต่งกาย คนที่อยู่ในบริเวณนี้ก็ล้วนประหลาดกันทั้งสิ้น!!
ก่อนที่นางจะอ้าปากถามเด็กสาวให้ชัดเจน ว่าหน้าหมู่บ้านนี่คือหมู่บ้านใดกันแน่ เสียงของชายชราก็ดังขึ้นกลบเสียงนางอีกครั้ง
“ข้าไม่เอา! เป็นตายอย่างไรข้าก็ไม่เอานางกลับไปด้วยเด็ดขาด” ผู้เฒ่าหลู่ปฏิเสธเสียงแข็ง
“เกิดนางไปทำเรื่องบ้าๆ เช่นนี้อีกครั้งในเรือนข้า ข้ามิซวยแย่หรือ เงินก็เสีย! คนก็ไม่ได้! เจ้าสาวที่ทำเรื่องอัปมงคลตั้งแต่วันแรกที่จะเข้าเรือนเช่นนี้ ข้าถามพวกเจ้าหน่อย เป็นพวกเจ้าจะยอมหรือไม่!” ผู้เฒ่าหลู่หันไปถามชาวบ้าน
กลุ่มชาวบ้านหลายคนส่ายหน้าช้าๆ พวกเขาเห็นด้วยกับผู้เฒ่าหลู่ กู้ชิงเหอถูกบังคับใจเช่นนี้อีกไม่นานนางก็คงทำเรื่องเดิมซ้ำอีกครั้ง แล้วใครจะยอมเสียเงินเพื่อรับเอาตัวปัญหาเข้ามาไว้ในเรือนกันเล่า
“ตามจริงหลานสาวเจ้าก็น่าสงสารอยู่ไม่น้อยเลยนะต้าซุน นางเพิ่งจะสิบห้าแต่ภรรยาเจ้ากลับส่งนางให้ออกเรือนไปกับคนรุ่นปู่ นั่นก็ดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร ในเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้แล้วเจ้าก็ล้มเลิกการแต่งงานนี้ครั้งนี้ไปก่อนเถิด”
“ไม่มีทาง!! คนก็อยู่ตรงนี้ ตาเฒ่านี้ไม่รับเอาตัวนางไปเองมันเป็นความผิดของข้าเช่นนั้นหรือ ตอนนี้ทุกคนก็รู้กันไปทั่วแล้วว่ากู้ชิงเหอกำลังจะออกเรือน หากต้องให้นางเป็นหม้ายตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าหอพวกเจ้าคิดว่ามันยุติธรรมกับหลานสาวของข้าแล้วหรือไร”
ชาวบ้านหลายคนพากันหน้าเสีย คำกล่าวของหวางชุ่นฮวาก็มีเหตุผลอยู่ ถ้ากู้ชิงเหอถูกปฏิเสธการแต่งงานจนถึงขั้นต้องคืนสินสอดกันก็น่าสงสารอยู่ไม่น้อย
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า หากเป็นผู้อื่นกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมาพวกเขาคงจะช่วยกันออกหน้าบังคับให้ผู้เฒ่าหลู่เอาตัวเจ้าสาวกลับหมู่บ้านไปให้ได้
แต่เมื่อมันออกมาจากป้าสะใภ้ที่เห็นแก่ตัวและปากร้ายอย่างหนักเช่นนางหวางซื่อ เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะห่วงชื่อเสียงของหลานสาวสามีมากกว่าหวงเงิน!!
ที่สำคัญ! ตาเฒ่าตัณหากลับนั่นก็ไม่สมควรจะได้ตัวกู้ชิงเหอไป!
“อยากได้เงินคืนเรอะ!! ฝันไปเถิด ข้าไม่มีให้!!” หวางชุ่นฮวาเถียงคอเป็นเอ็น เงินเข้ามาอยู่ในปากนางแล้ว จะให้นางคายออกมาง่ายๆ น่ะเหรอ? ไม่มีทาง!!
สุดท้ายแล้ววันนี้กู้ชิงเหอก็ได้ยอดอ่อนของเฟินป่าเต็มตะกร้ากับเถาฮุยเถิงเฉ่าติดมือกลับไปที่เรือน พอเก็บของไว้ในเรือนเสร็จนางก็ออกมาเก็บหินจากลำธารแห้งขึ้นมาทำแนวคันหินริมธารอีกครั้ง จนเจียงเหยียนต้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย“พี่สาวไม่เหนื่อยหรือเจ้าคะ หินพวกนี้ก็ไม่ใช่เบาๆ เลยนะ”“ไม่เหนื่อยหรอก เจ้าเหนื่อยหรือ? เช่นนั้นก็นั่งดูเฉยๆ” หญิงสาวตอบพลางนึกสงสัยเช่นกันว่าตนเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน“ทำไมต้องเอาหินมาเรียงกันแบบนี้ด้วยเล่าเจ้าคะ”"ถ้าเริ่มสร้างแนวกั้นไว้แต่เนิ่น ๆ พอฝนตกลงมาก็จะช่วยกั้นน้ำเอาไว้ได้”เด็กสาวหัวเราะร่วน “แต่ละปีมีฝนตกลงมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเองเจ้าค่ะ บางปีไม่ตกเลยสักหยดด้วยซ้ำ พี่สาวคงต้องเหนื่อยเปล่าแล้ว”กู้ชิงเหอได้แต่ก้มหน้าทำต่อไปเงียบ ๆ เพราะนางไม่รู้จะตอบอย่างไร มีบางเรื่องหรือบางคน เช่นหูซุนจ่างและสตรีสองคนบนภูเขาที่นางไม่เคยอ่านเจอในนิยาย อาจมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่นางทะลุมิติเข้ามา แต่บางเส้นเรื่องย่อมยังดำเนินตามเดิม เช่นฤดูฝนที่ต้องมาถึงนางรู้ว่าอีกราวหนึ่งเดือนข้างหน้าฝนจะตกลงมาทันเวลากับที่น้ำในลำธารของหมู่บ้านแห้งสนิทลงไปพอดิบพอดี ชาวบ้
มือของกู้ชิงเหอสั่นเล็กน้อยบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของ เพียงแค่ได้ยินชื่อกู้ชิงฉีนางก็รู้สึกอึดอัดไปทั่วร่าง"พวกเจ้าพูดอันใด? ใครเป็นภรรยาของพี่ข้า?" เจียงเหยียนหน้าบึ้งมองสตรีสองคนด้วยความไม่พอใจเฉินเหมยลี่ปรายตาหยาม"ก็แม่นางกู้นั่นอย่างไรเล่า หรือจะให้ข้าพูดให้ชัดว่าพี่เจ้าซื้อนางมาอยู่เรือนเดียวกัน คนทั้งหมู่บ้านต่างก็รู้กันทั้งนั้น"เจียงเหยียนเม้มริมฝีปากแน่น นางได้ยินพี่ชายย้ำหลายครั้งไม่ให้ผู้ใดมาหมิ่นเกียรติพี่สาว แม้จะกลัว..แต่หญิงสาวก็ยังโต้ตอบกลับ "นางมาอยู่เรือนเดียวกับข้าในฐานะใด ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาว่าร้ายป้ายสี!"“เหอะ! เจ้าคิดนางจะช่วยเจ้าได้งั้นหรือถึงได้กล้าเถียงข้า เจียงเหยียน!” เฉินเหมยลี่ถลึงตาโตข่มขู่น้องสาวสกุลเจียงผู้นี้แต่ก่อนไม่เคยแม้แต่จะกล้าสบตาพวกนาง แต่วันนี้กลับคิดอยากลองดี นางคงต้องสั่งสอนสักหน่อยเสียแล้ว!เพียะ!ก่อนที่เฉินเหมยลี่จะทันได้เอื้อมมือแตะตัวเจียงเหยียน กู้ชิงเหอก็สาวเท้าเข้ามายืนกั้นระหว่างทั้งสองไว้ มือของนางแตะเบา ๆ ที่แขนของอีกฝ่ายเพียงหวังจะกันไม่ให้เข้ามาใกล้ ทว่าทันใดนั้น...ร่างของเฉินหมยลี่กลับกระเด็นถอยหลังไปถึงสองก้าวเต็ม!"
เจียงเหิงหันมองน้องสาว “ขึ้นเขาไม่ใช่เรื่องเล่น เดินผิดก้าวอาจพลัดตกหินได้”“แต่ข้าระวังได้! ท่านพี่อย่าห้ามข้าเลย ข้าแค่อยากช่วยหาอาหาร ไม่อยากให้พี่ทั้งสองต้องออกแรงหาอยู่ฝ่ายเดียว”เจียงเหยียนกล่าวอย่างมุ่งมั่น ดวงตาสุกใสกู้ชิงเหอยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ถ้าพรุ่งนี้แดดไม่แรงนักข้าจะพาเจ้าขึ้นไปด้วย ระหว่างทางจะคอยสอนเจ้าว่าพืชอะไรควรเลี่ยง พืชใดกินได้”ชายหนุ่มมองเจียงเหยียนที่โตขึ้นมากกว่าเดิมนัก ดวงหน้านั้นยังคงมีรอยเยาว์วัยอยู่ แต่แววตาเริ่มมีประกายของคนที่พร้อมจะรับผิดชอบชีวิตความรู้เรื่องพืชผักของตนมีไม่เท่ากู้ชิงเหอ สตรีร่างเล็กผู้นี้เดินขึ้นเขาเข้าป่าทุกวันราวกับเป็นบ้านหลังหนึ่ง หากให้นางเป็นคนสอนวิธีเอาตัวรอดให้น้องสาวก็ไม่เลวนัก“หากเจ้าแน่ใจว่าจะไป ข้าก็ไม่ขัด เพียงแต่ต้องฟังแม่นางกู้ให้ดี อย่าซุกซนจนเดินพลาดก็พอ”เจียงเหยียนตาเป็นประกาย รีบพยักหน้าอย่างหนักแน่น“เจ้าค่ะ ข้าจะระวังอย่างยิ่ง!”แววตาของกู้ชิงเหอเจิดจ้าขึ้น แม้จะยังไม่รู้ว่าบนเขานางจะโชคดีได้เจอผักป่าหรือไม่ แต่หากต้องรับตัวกู้ชิงฉีมาอยู่ที่นี่ด้วย ก่อนอื่นนางต้องทำให้เจียงเหิงมั่นใจว่านางมีความสามารถ และ
พอนางเห็นเขา ก็รีบวักน้ำในแอ่งน้ำใสสะอาดที่นางเพิ่งขุดขึ้นมาเองเมื่อเช้ามาล้างมือ แล้ววิ่งกลับมาหาเขาที่เรือน“เจียงเกอเกอกลับมาแล้ว!”“พี่ชายกลับมาแล้ว!” น้องสาวสองคนทักทายเขาพร้อมกันด้วยใบหน้าสดใส ทำเอาเจียงเหิงรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง“ข้าไปรับจ้างเขียนจดหมายให้พ่อค้าร้านชาในตำบล ได้เงินมานิดหน่อย” เขากล่าวพลางยิ้มมุมปาก “เลยซื้อข้าวสารมาเพิ่ม ที่เหลือก็เผื่อไว้วันหน้า”เขาหันมาทางกู้ชิงเหอ สีหน้าย้ำแน่วแน่ “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องข้าวสารในเรือน หุงหาได้ตามสบาย ข้าจะออกไปทำงานทุกวันเอง วันนี้เพิ่งเริ่มคนยังไม่รู้ว่าข้ารับจ้างเขียน แต่ถ้าไปทุกวันอาจจะมีคนจ้างให้ทำงานอื่นเพิ่มขึ้น”แม้จะกล่าวว่าให้กู้ชิงเหอหุงหาได้ตามชอบ แต่ในใจของเจียงเหิงก็หดหู่ไม่น้อย เดือนก่อนกู้ต้าซุนใช้เงินหกร้อยอีแปะซื้อข้าวสารมาได้ยี่สิบชั่ง แต่วันนี้ข้าวราคาขึ้นสูงถึงชั่งละ 45 อีแปะแล้ว ทั้งตำบล มีเพียงไม่กี่คนที่อ่านออกเขียนได้ แต่ใช่ว่าผู้มีวิชาเหล่านั้นจะยอมลดตนลงมารับจ้างเขียนจดหมายให้ใครคนมีการศึกษายิ่งหายาก ยิ่งถือตัว ห่วงศักดิ์ศรีมากกว่าปากท้องมีเพียงตนเท่านั้น ที่ยอมตั้งโต๊ะเล็ก ๆ หน้าศาลเจ้าป
“พี่สาวกู้ ท่านจะขยายบ่อน้ำตื้นเพิ่มขึ้นอีกหรือเจ้าคะ?” เจียงเหยียนเอียงคอถามนางกับกู้ชิงเหอช่วยกันขุดบ่อน้ำตื้นจนมีความลึกมากพอให้ใช้ถังไม้จ้วงลงไปตักน้ำได้โดยไม่ทำให้น้ำขุ่นสำเร็จแล้ว แต่พี่สาวร่างเล็กกลับยังไม่ยอมหยุดมือ นางยังคงเดินพลิกหินก้อนใหญ่ตามธารน้ำไม่หยุดคล้ายกำลังหาสิ่งใดอยู่“ข้าจะหาปลามาทำเป็นมื้อเย็นให้พวกเราได้กินกัน”“ปลา!! ยังจะมีปลาเหลืออยู่อีกหรือเจ้าคะ?”“ที่ใดมีน้ำ ที่นั่นย่อมมีปลา ยอมเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกนิดวันนี้เราจะได้กินเนื้อปลาแน่นอน!”“ข้ากลัวแต่ท่านจะเหนื่อยเปล่าน่ะสิ..พี่เสี่ยวเหวินชอบหาปลา เขาออกไปจับปลากับเด็กชายในหมู่บ้านทุกวัน จนเวลานี้แม้แต่ปลาตัวเล็กๆ ก็ไม่เหลือแล้ว”“เสี่ยวเหวินหาปลาในน้ำใช่หรือไม่ แต่ข้าจะหาปลาจากในดินให้เจ้าดูเอง” กู้ชิงเหอกล่าวด้วยรอยยิ้มและแววตาซุกซน นางเชื่อว่าในน้ำต้องมีปลาอย่างแน่นอน แต่หากต้องการปลาที่มีขนาดใหญ่สักหน่อย นางต้องหาจากโคลนใต้หินเหล่านี้นั่นล่ะ“เจ้ามาดูนี่สิ!” หญิงสาวกวักมือเรียกเจียงเหยียนเข้ามาใกล้“เจ้าดูให้ดี ดินตรงนี้จะต่างจากบริเวณอื่นเล็กน้อย” เจียงเหยียนนั่งยองพิจารณาดินทรายใต้ก้อนหินที่กู้ชิงเหอเพิ
เมื่อผลักประตูเข้ามาในเรือน เขามองเห็นกู้ชิงเหอยังคงนั่งอยู่ข้างเตาไฟ นางหันมามองเขาเพียงครู่เดียวก็หันกลับไปจัดการกับข้าวต้มบนเตาต่อ“ข้าอุ่นไว้รอท่านเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางตักข้าวใส่ถ้วยเดินมาวางบนโต๊ะ ทำท่าเชื้อเชิญให้เขานั่งลงกินเจียงเหิงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาคิดว่านางเลินเล่อจนลืมดับไฟในเตากลับกลายเป็นว่ากู้ชิงเหออยู่รออุ่นข้าวให้เขานั่นเองเขาเสมองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิท “เหยียนเอ๋อร์หลับไปแล้ว?”“สักพักแล้วเจ้าค่ะ” นางหมุนตัวกลับไปยกจานผักดองมาวางให้เขาอีกครั้งพลางกล่าว“วันนี้ข้าเผลอใช้ข้าวสารไปไม่น้อยเลย แต่ท่านได้น้ำสะอาดมาแล้ว ไว้พรุ่งนี้ข้าจะเติมน้ำแล้วต้มโจ๊กเป็นมื้อเช้าให้นะเจ้าคะ”เจียงเหิงก้มศีรษะตอบรับแต่ไม่รู้จะว่าตนเองควรตอบกลับนางว่าอะไรดี เขาไม่ใช่คนช่างเจรจาอยู่แล้ว เรื่องอาหารการกินมีนางมาช่วยอีกคนก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ นางอยากทำอะไรก็ทำไปเถิด เขามีหน้าที่ต้องหาเงินมาดูแลครอบครัวเท่านั้นชายหนุ่มเลือกก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มกับผักดองไปเงียบๆ สายตาก็แอบมองร่างเล็กที่ค่อยๆ เทน้ำที่เขาไปแบกมาใส่ไปในโอ่งดินที่ว่างอยู่อีกใบช้าๆยามเขากินนางก็เพิ่มฟืนในเตาให้ลุ
Comments